Skip to content

Tales of Herding Gods 151

ตอนที่ 151 ไร้ความสามารถ

 

พร้อมกับเสียงร้องตะโกนของคณบดีป้าซาน กําแพงแสงบางเฉียบสูงหลาย 10 วาก็ปรากฏขึ้นมาเบื้องหน้าพวกเขา

ม่านแสงสูงชันนี้เปล่งแสงเรืองสีส้มและมีความกว้าง 300 วา มีรอยจารึกประหลาดคลี่คลุมไปทั่วผิวม่านและในแต่ละจุด ศูนย์กลางของรอยจารึกประหลาดนั้นเป็นดาวเพลิงแผดแสงเจิดจ้า มีรอยจารึกทั้งหมด 36 รอยบนม่านสวรรค์ และก็มีดาวเพลิงลุกไหม้ 36 ดวงเช่นกัน อันดูเหมือนแผนที่ดาวบนฟากฟ้า

ขณะที่คณบดีร่ายเวทมนตร์ม่านสวรรค์แขนดาวหมีใหญ่นั่นเอง เสียงการต่อสู้ฆ่าฟันก็ดังมาจากข้างหน้าเขา เมื่อสมรภูมิรบหนึ่งเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้

ผู้ฝึกวิชาเทวะหลายร้อยคนกรูกันมาบนหลังสัตว์ขี่ยักษ์ซึ่งร้องคํารามไปด้วยระหว่างที่ตะบึงเร่งฝีเท้าไป และพลันพบปะกับม่านแสงอันโผล่ขึ้นมากะทันหันกั้นกางระหว่างสวรรค์และพื้นพิภพ

สีหน้าของคนเถื่อนผู้ฝึกวิชาเทวะเหล่านั้นกลับกลายเป็นซีดเผือด และแม่ทัพคนเถื่อนผมขาวโพลนก็ตะโกนด้วยเสียงอันดัง “เร็วเข้า ทลายมันเข้าไป!”

ทักษะเทวะจํานวนนับไม่ถ้วนถาโถมเข้าใส่ม่านแสงส่งเสียงครืนครันอย่างต่อเนื่อง

มีทั้งกระบี่บินอันส่งเสียงหวีดหวิวทิ่มแทงเข้าใส่ม่านสวรรค์ดาวหมีใหญ่ แต่ทว่ากระบี่ส่วนใหญ่แทงเข้าไปไม่ได้ และบางส่วนที่แทงเข้าไปก็เข้าได้แค่ปลายและถูกม่านสวรรค์อันไร้สิ้นสุดนั้นจับเอาไว้ กระบี่พวกนั้นมิอาจไปข้างหน้าต่อและก็มิอาจถอนกลับมาได้

หึ่ง หึ่ง หึ่ง

ม่านสวรรค์ดาวหมีใหญ่สั่นสะเทือนอย่างไม่หยุดหย่อนจากการโจมตี และก็มีกระบี่หลายร้อยเล่มที่ถูกปักเพิ่มเข้ามาบนกําแพง และข้างหลังกําแพงนั้นก็ยังมีทักษะเทวะจํานวนมากที่ถูกทุ่มซัดใส่หมายจะทลายม่านสวรรค์เข้ามา

คนเถื่อนผู้ฝึกวิชาเทวะหลายร้อยคนนั้นเข้าปะทะกับกําแพงแสง และด้วยทักษะเทวะจํานวนไร้ประมาณอันถล่มเข้ามา ทําให้รอยร้าวเริ่มปรากฏบนม่านสวรรค์ คณบดีป้าซานกู่ร้องและผลักฝ่ามือไปข้างหน้าอีกครั้ง ทําให้เสียงหึ่งดังขึ้นมา ม่านสวรรค์ดาวหมีใหญ่อีกชั้นหนึ่งพลันปรากฏขึ้นและเข้าไปหลอมรวมกับม่านสวรรค์เก่าที่กําลังแตกร้าว

แรงกดดันที่เขาต้องแบกรับไว้นั้นมากมายเกินจินตนาการ และทําให้เขาก็ต้องถอยกรูดๆ มาเรื่อยๆ ท่ามกลางเหล่าผู้ฝึกวิชาเทวะนอกม่านแสงเหล่านั้น มีทั้งขั้นเจ็ดดาว ขั้นชาวสวรรค์ และขั้นเป็นตาย เมื่อพวกเขาทั้งหมดร่วมมือกันสร้างแรงกดดัน มันก็มหัศจรรย์เหลือเชื่อที่คณบดีป้าซานด้วยตัวคนเดียวจะยังคงใช้ม่านสวรรค์ดาวหมีใหญ่ต้านทานเอาไว้ได้ และไม่ปล่อยให้พวกเขาเหล่านั้นทําลายม่านสวรรค์

“ปล่อยไจดาบ!” แม่ทัพเฒ่าตะโกนอย่างดุดัน

วิ้ว!

ลูกกลมของมีดดาบโบยบินขึ้นสู่ท้องฟ้าและหมุนหวืออยู่ตรงหน้าม่านสวรรค์ ทันใดนั้นแสงมีดจํานวนไร้ประมาณก็พวยพุ่งเข้าใส่ม่านสวรรค์ สร้างเสียงเคร้งคร้างดังมาถี่ยิบ ในเสี้ยววินาทีเดียว ม่านสวรรค์ก็ถูกแทงทะลุโดยสมบูรณ์ด้วยมีดดาบบินกว่าหมื่นเล่มนั้น

สีหน้าของคณบดีป้าซานแปรเปลี่ยนอย่างรุนแรงและก้าวถอยหลังอีก 10 ก้าวจากแรงกดดันที่ถ่ายทอดมาจากม่านสวรรค์ ม่านสวรรค์ดาวหมีใหญ่ของเขาหดเล็กลงทุกทีจากพลังกดดันมหาศาลอันน่าตระหนก

“ศิษย์น้อง องค์หญิง พวกเรากําลังจะเข้าสู่สนามรบของคนเถื่อน!”

คณบดีป้าซานตะโกน “พวกเจ้าทั้งสองระวังตัวด้วย!”

ฉินมู่สะท้านใจและพลันได้ยินเสียงเป่าแตรเขาสัตว์จากส่วนลึกของทุ่งหญ้า กองทัพอีกกองหนึ่งพลันติดตามกองทัพแรกมาทัน

แม่ทัพเฒ่าจนปัญญา และตวาดสั่งด้วยนํ้าเสียงเข้ม “เตรียมปะทะศัตรู!”

กองทัพที่ไล่ตามมาเป็นกองทัพใหญ่มหึมา อันประกอบไปด้วยผู้ฝึกวิชาเทวะและผู้ฝึกยุทธ์ของเผ่าคนเถื่อนเป็นส่วนใหญ่ ผู้ฝึกยุทธ์นั้นเป็นทหารราบ ส่วนผู้ฝึกวิชาเทวะเป็นทหารม้าอันควบขี่สัตว์พิสดารตัวใหญ่ นอกจากนั้นก็ยังมีนกยักษ์ที่แผ่สยายปีกของมันบนฟากฟ้า และทหารแห่งจักรวรรดิคนเถื่อนตี้จํานวนหนึ่งก็ยืนอยู่บนหลังนก แต่ทว่าพวกนางทุกคนเป็นสตรีที่ปักขนนกสีรุ้งไว้บนหัว และเขวี้ยงซัดเวทมนตร์และกระบี่คมกล้าลงมาข้างล่าง

ฉินมู่มองผ่านม่านสวรรค์และเห็นแม่ทัพคนเถื่อนท่วงทีน่าเกรงขามนั่งมาบนช้างเผือกตัวหนึ่ง ช้างเผือกนี้ตัวสูงใหญ่กว่าสัตว์พิสดารอื่นค่อนข้างมาก และแทบไม่ด้อยไปกว่าวัวเขียวที่แบกพวกเขาไว้เลย

แม่ทัพคนเถื่อนหนุ่มผู้นั้นกวาดสายตามาและเผยสีหน้าแตกตื่นใจเมื่อสังเกตพบม่านสวรรค์ดาวหมีใหญ่ เขาพลันระงับกิริยาของตนแล้วตะโกน “วายุ!”

กองกําลังหนึ่งก้าวออกมาข้างหน้า และปลดขวดนํ้าเต้าที่หลังพวกเขาออกมา พวกเขาเปิดจุกขวดนํ้าเต้าข้างหน้าตนเองและมวลลมดําพลันพวยพุ่งออกจากขวดนํ้าเต้ายักษ์ มวลลมดําพลันแปรเปลี่ยนเป็นพายุหมุนรุนแรงอันขยายตัวใหญ่ขึ้นใหญ่ขึ้น ราวกับว่ามันคือมังกรมหึมาที่ทะยานศีรษะขึ้นไปบนฟ้าและมีหางเชื่อมต่อกับพื้นดิน ทําลายล้างปั่นป่วนทุกสถานที่ที่มันกวาดพัดไป

ในขณะเดียวกันนั้น เหล่ากองกําลังที่ปลดปล่อยลมดําออกมาก็กระโดดขึ้นไปบนท้องฟ้าเหยียบยอดลมวิ่งไล่ไปทางกองทัพของแม่ทัพเฒ่า ดูดหมุนผู้ฝึกวิชาเทวะจํานวนมากให้ปลิวขึ้นไปบนห้วงนภา

เมื่อทหารของเผ่าคนเถื่อนนี้ถูกซัดลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า กองกําลังวายุก็เฉือนฟันพวกเขาด้วยมีดดาบ สังหารคนเถื่อนเหล่านั้นทีละหัวๆ

แม่ทัพบนช้างเผือกตะโกนด้วยเสียงหนัก “พิรุณ!”

กองกําลังอีกกองก้าวออกมา และวางไหดินที่พวกเขาแบกไว้บนหลังลงตรงหน้า เมื่อพวกเขาเปิดฝาไห มวลก้อนหมอกก็พวยพุ่งออกมาจากไห กองกําลังคนเถื่อนนั้นพลันกระโดดขึ้นไปบนอากาศเหยียบมวลก้อนหมอกอันเริ่มปลดปล่อยฝนห่าใหญ่ลงมา

กองกําลังนี้ร่ายเวทมนตร์อยู่บนก้อนเมฆ เปลี่ยนหยดฝนให้กลายเป็นกระบี่พิรุณ และทิ่มแทงลงไปเบื้องล่าง ทหารคนเถื่อนที่ตกเป็นเป้านั้นไม่มีโอกาสหลบหลีกและศีรษะของพวกเขาก็ถูกหยาดฝนแทงทะลุ ให้พวกเขาพรุนเป็นรังผึ้ง!

แม่ทัพหนุ่มผู้นั้นตะโกนอีกครั้ง “อัสนี!”

เหล่าคนเถื่อนหญิงบนหลังนกยักษ์เริ่มตีกลองของพวกนางทันที อันสร้างเสียงคํารามฟ้าร้อง สายฟ้าฟาดพลันฟาดลงมาจากเบื้องบน ทําให้ทหารคนเถื่อนที่กําลังป้องกันตนจากลมและฝนสติหลุดไปวูบหนึ่งจากแรงสั่นสะเทือน นี่ทําให้การป้องกันของพวกเขาขาดหายและถูกซัดทําลายด้วยการโจมตีของลมและฝนตายคาที่

ด้วยวายุ พิรุณ อัสนี สามกองกําลังร่ายเวทมนตร์ของตนผสานกัน ก็แทบไม่หลงเหลือคนเถื่อนในกองทัพฝ่ายตรงข้ามที่รอดชีวิต พวกที่ยังรอดอยู่นั้นเป็นผู้เยี่ยมยุทธอันไม่อาจถูกทําร้ายได้ด้วยเวทมนตร์ธรรมดา

แม่ทัพคนเถื่อนเฒ่ารู้ว่าตนมิใช่คู่มือของพวกเขา และก็ไม่สามารถหลบหนีไปได้ ดังนั้นเขาจึงรีบคุกเข่าแล้วโขกหัวลงกับพื้นและกล่าวด้วยเสียงอันชัดเจน “แม่ทัพตอริมู ข้ายอมแพ้ ยอมแพ้แล้ว! วิงวอนแม่ทัพตอริมูไว้ชีวิตข้าด้วย!”

เมื่อเห็นเช่นนั้น ผู้มีวรยุทธ์สูงที่เหลืออยู่ 20 กว่าคนของเผ่าคนเถื่อนก็คุกเข่าลงเช่นกันแม้ว่าพวกเขาจะไม่เต็มใจแต่เพื่อเอาชีวิตรอดนั้นสําคัญกว่ามาก “พวกเราขอยอมแพ้!”

ดวงตาของแม่ทัพตอริมูมีประกายเย็นเยียบ “พวกเจ้าเผ่าตอริมูกล้าก่อกบฏแล้วยังคิดจะมีชีวิตรอดอีกรึ? ท่านข่านได้ถ่ายทอดคําสั่งมาว่าไม่ยอมรับการยอมแพ้เด็ดขาด!”

สีหน้าของแม่ทัพเฒ่าแปรเปลี่ยนอย่างรุนแรง และขณะที่เขากําลังจะลุกขึ้นมาสู้ แม่ทัพตอริมูก็ยื่นมือออกมาชี้เสากระบี่อันหนาเท่ากับหัวแม่โป้งแทงทะลุอากาศและแม้ว่าพวกเขาจะอยู่ห่างกัน 150 วา เสากระบี่นั้นก็พุ่งเข้าถึงในเสี้ยวพริบตา ไม่ปล่อยให้แม่ทัพเฒ่ามีโอกาสหลบเลี่ยง แทงทะลุกะโหลกเขาโดยตรง

เสากระบี่นั้นปักมันเข้าไปที่กําแพงแสงอันสร้างขึ้นจากม่านสวรรค์ดาวหมีใหญ่ และสร้างรูเล็ก ๆ ขึ้นบนทักษะเทวะของคณบดีป้าซาน

คณบดีป้าซานเลิกคิ้ว จากนั้นสลายม่านสวรรค์ดาวหมีใหญ่ พวกเขาเห็นกองทัพของแม่ทัพตอริมูบุกตะลุยมาและเข่นฆ่าสังหารคนเถื่อนๆ ทุกๆ คนในกองทัพกบฏ ไม่ปล่อยให้ผู้ใดเหลือรอด

ทหารคนเถื่อนเหล่านั้นตัดคอศัตรูแล้วแขวนศีรษะที่ล่ามาได้ไว้ข้างเอว จากนั้นโห่ร้องด้วยความคึกใจไม่มีที่สิ้นสุด

มีแม้กระทั่งคนที่แย่งชิงหัวมนุษย์กันโต้เถียงว่าใครกันแน่ที่เป็นคนสังหารศัตรูคนนี้

ฉินมู่ นิ่วหน้า แม้ว่าจะเป็นแดนโบราณวินาศก็ไม่มีขนบประเพณีแย่งชิงหัวคนกัน

“เก็บเกี่ยววิญญาณของพวกมันมาทั้งหมด แล้วเอาไปถวายให้วังทอง!”

แม่ทัพตอริมูผู้นั้นขี่ช้างเผือกเข้ามาแล้วทักทายคณบดีป้าซาน “หรือว่านี่จะเป็นข่านบู๊”

คณบดีป้าซานพยักหน้า

ประกายของแม่ทัพตอริมูลุกวาบ และมีทีท่ากระเหี้ยนกระหือรือ อยากลองมือ “ข่านบู๊สามารถขัดขวางต่อต้านผู้ฝึกวิชาเทวะ 800 คนได้ด้วยกําลังตนคนเดียว กําลังฝีมือเจ้านับว่าเหนือธรรมดา แต่ทว่าไม่เห็นจะแข็งแกร่งเหมือนกับที่เขารํ่าลือกันในตํานาน ดูท่าว่าสมญานามข่านบู๊ของเจ้าจะหมดราคาเสียแล้วสิ”

คณบดีป้าซานหัวเราะในคอ และยืนนิ่งอยู่อยู่บนวัวเขียว ประกายแสงพุ่งวาบจากดวงตาแม่ทัพตอริมู และเขาก็ลุกขึ้นยืนบนหลังช้างเผือกทันใด แสงกระบี่ในมือของเขาแผ่ขยายออกไปอย่างคมกล้า และปราณกระบี่ของเขาก็พุ่งแหวกอากาศทิ่มแทงไปยังคณบดีป้าซาน ทั้งกล่นเกลื่อนเวหนด้วยแสงกระบี่ในพริบตานั้น!

คณบดีป้าซานยื่นมือชักดาบออกแล้วฟันไปข้างหน้าหนึ่งครา แสงกระบี่ทั้งมวลพลันหายวับ เหลือแต่แสงมีดที่ซัดออกไปขวาง ขนานระหว่างสวรรค์และพื้นพิภพ เสียงครืนครันพลันดังขึ้นมา จากนั้นแสงมีดก็หายวับไป หายไปพร้อมๆ กับแม่ทัพตอริมูที่เคยยืนอยู่บนหลังช้างเผือกเมื่อครู่ด้วย

ในกองทัพนี้ยังมีแม่ทัพคนเถื่อนคนอื่นๆ ที่ขี่ช้างเผือกอยู่เช่นกันและพวกเขาทั้งหมดต่างก็ตกตะลึง พวกเขาได้ยินเสียง “อ๊าาา” ดังมาจากข้างหลัง และเมื่อหันหัวไปดูก็เห็นแม่ทัพตอริมูปลิวไปไกลลิบๆ

“กําลังฝีมือเขาไม่เลว แต่ไม่รู้จักประเมินคู่ต่อสู้” คณบดีป้าซานเก็บมีดกลับ

หลังจากนั้นครู่หนึ่ง แม่ทัพตอริมูก็กลับมา เกราะบนร่างของเขาถูกเฉือนผ่าออกเป็นสองแล่ง สายตาของเขากลับมาเต็มไปด้วยความยกย่องนับถือเมื่อมองไปยังคณบดีป้าซาน

“ข่านบู๊ ชื่อเสียงฝีมืออันเอกอุของท่านยังคงสืบทอดบอกเล่าต่อกันมาในทุ่งหญ้าจนถึงทุกวันนี้”

ตอริมูคุกเข่าลงข้างหนึ่งและทาบฝ่ามือข้างหนึ่งที่หน้าอก “ข่านบู่กําลังจะไปวังทองหรอกหรือ หมอผีอาวุโสได้ถ่ายทอดคําสั่งให้พวกเราต้อนรับข่านบู๊เป็นอย่างดี”

คณบดีป้าซานพยักหน้า “เข้าใจล่ะ ยืนขึ้นได้ เมื่อครั้งนั้นหมอผีอาวุโสได้มอบสมญาฐานะข่านบู๊แก่ข้า เท่าที่ข้าเห็นในเมื่อเขามอบให้ข้าด้วยตนเอง เขาก็ย่อมต้องถอดถอนด้วยตนเองเช่นกัน ทุกวันนี้คงจะมีวีรบุรุษผู้กล้ากําเนิดขึ้นในทุ่งหญ้ามากมาย มิเช่นนั้นไหนเลยหมอผีอาวุโสจะหมายมาดคาดหวังให้ข้าไปที่วังทองโหรวหลัน”

ตอริมูยืนขึ้นแล้วกล่าว “วีรบุรุษผู้กล้าในทุ่งหญ้าของเรามากมายประดุจดาวบนฟากฟ้า ดังนั้นพวกเราย่อมต้องมีผู้คนที่สามารถเอาชนะข่านบู๊ได้”

ฮู่หลิงเอ๋อหัวเราะคิกคัก “แม่ทัพผู้นี้ ข้าชอบที่เจ้าโม้เป่าวัว”

“เป่าวัว? ใครมันกล้าเป่าข้า?”

วัวเขียวแค่นเสียงหยันและทันใดนั้นเขาก็เหลือบไปเห็นช้างเผือกตัวนั้น เขารีบกระแซะเข้าไปใกล้ๆ แล้วเอาสีข้างเบียดสั่นอีกฝ่ายเรียกร้องความสนใจ ขณะที่หัวเราะฮี่ๆ อย่างไม่น่าไว้วางใจ “ช้างขาว เจ้าเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย”

ช้างเผือกฟาดงวงใส่เขา ทําให้วัวเขียวจบลงด้วยที่จมูกแตกเลือดกําเดาไหล

“มันเป็นตัวเมีย” ฮู่หลิงเอ๋อขยับเข้าไปใกล้หูวัวเขียวแล้วกระซิบบอก

วัวเขียวพลันคึกคักขึ้นมาทันที และหัวเราะต่อกระซิกกับช้างเผือก “ผิวของเจ้าข๊าวขาว ข้าชอบเจ้าจัง เจ้ากินดอกโบตั๋นไหม ข้ามีอยู่หลายกิ่งเลยเนี่ย พวกมันที่อ่อนนุ่มกรุบๆ ขนาดว่าเคี้ยวไปก็มีนํ้าหวานละลายออกมา…”

ตอริมูนํากองทัพของตนคุ้มกันพวกเขาไปยังวังทองโหรวหลัน ฉินมู่เพ่งพิศดูกองทัพนี้ด้วยความสนอกสนใจ

ยุทธวิธีที่กองทัพนี้ใช้เพื่อกําจัดกองกําลังกบฏนั้นหาดูได้ยากทีเดียว มันคล้ายกับยุทธวิธีทหารของจักรวรรดิสันตินิรันดร์ ดังนั้นเขาไม่รู้ว่าเป็นจักรวรรดิสันตินิรันดร์ที่ลอกเลียนวิธีรบของคนเถื่อน หรือเป็นเหล่าคนเถื่อนที่ลอกเลียนวิธีรบของจักรวรรดิสันตินิรันดร์

หลังจากประมือหนึ่งครั้ง ตอริมูก็เคารพนับพวกเขาอย่างสุดใจ และเสนอเครื่องดื่มและอาหารให้แก่พวกเขาตลอดการเดินทาง ดูนอบน้อมเป็นอย่างยิ่ง

คณบดีป้าซานมิได้หลบเลี่ยงเขาเมื่อสอนฉินมู่และฮู่หลิงเอ๋อในการผสมผสานเวทมนตร์เข้ากับวิชาบู๊ แต่ทว่าเมื่อถึงเนื้อหาสําคัญจริงๆ เขาก็จะใช้วิธีถ่ายทอดเสียงทางปราณ

หกเจ็ดวันให้หลัง พวกเขามาถึงส่วนลึกที่สุดของทุ่งหญ้าอันไม่ไกลจากวังทองโหรวหลัน ตอริมูมิได้นําขบวนส่งพวกเขาอีกต่อไป แต่พากองทัพของเขากลับไปยังเผ่า

คณบดีป้าซานขมวดคิ้วและระบายลมหายใจขุ่นมัว “ดูเหมือน หมอผีอาวุโสจะพิถีพิถันกับการมาถึงของข้าเป็นอย่างยิ่ง คราวนี้เขาคงถอดถอนตําแหน่งข่านบู๊เข้าจริงๆ ข้าเกรงว่าเมื่อข้าไปถึงวังทองโหรวหลัน ข้าอาจจะเป็นฝ่ายที่ถูกท้าสู้แทน หากเป็นเช่นนั้น ข้าคงวุ่นวายธุระล้นมือจนไม่อาจไปขโมยร่างท่อนล่างของอาจารย์ได้”

ฉินมู่รู้สึกคันไม้คันมืออยากลองดู แล้วกล่าว “ศิษย์พี่ ข้าก็เคยเรียนวิชาขโมยมา”

คณบดีป้าซานเหลือบมองเขาแล้วส่ายหน้า “วังทองโหรวหลันเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งทุ่งหญ้า ซึ่งเทียบเท่ากับแดนศักดิ์สิทธิ์สํานักเต๋า และวัดใหญ่ฟ้าคําราม สถานที่เหล่านั้นย่อมเต็มไปด้วยกับดัก

กลไก และผนึกต่างๆ ในนั้น วิชาขโมยของเจ้าจะไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง เจ้าไม่อาจทําลายกําดับกลไกหรือฝ่าผนึกในนั้นได้”

“แต่คนที่สอนวิชาขโมยให้ข้านั้นเก่งกาจเอามากๆ เลยนะ” ฉินมู่กล่าวอย่างขึงขัง “เขาคือท่านปู่เป๋แห่งหมู่บ้านของเรา แม้ว่าเขาจะเสียขาไปหนึ่งข้าง แต่ก็…”

คณบดีป้าซานส่ายหัวแล้วกล่าว “ขาของเขาถูกคนอื่นสับออกไป นี่แปลว่าเขานั่นไร้ความสามารถ เจ้าไม่ต้องคิดเรื่องขโมยร่างครึ่งท่อนของอาจารย์กลับมาเลย ข้าจะจัดการเรื่องนี้เอง พวกเจ้าทั้ง 2 จดจ่อกับแค่เรื่องการขวางประตูภูเขาของวังทองโหรวหลันเอาไว้ก็พอ! ส่วนที่เหลือข้าจัดเอง”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version