ตอนที่ 152 วังทองโหรวหลัน
เขาไม่เปิดโอกาสให้ฉินมู่พูดอะไรมากมายอีกต่อไป และพึมพํา “ข้ากลัวก็แต่ว่าเจ้าหมอผีอาวุโสผู้นี้จะเล่นเกมวิ่งผลัดกับข้า และหาผู้คนมาสู้กับข้าวนผลัดกันคนแล้วคนเล่า จนทําให้ข้าวุ่นวายไม่มีเวลาแวบไป…นี่ดูเหมือนจะยากขึ้นไปอีกหน่อย”
ไม่นานนัก วังทองโหรวหลันก็ปรากฏต่อสายตาของคณะเดินทาง
ฉินมู่มองไปยังที่ไกลๆ และเห็นว่ามีทะเลสาบที่มาโผล่เอาเฉยๆ กลางทุ่งสะวันนา คลื่นของมันเป็นระลอกสีเขียวฟ้า ทะเลสาบนี้กว้างใหญ่ไพศาลจนเหมือนกับว่ายกมหาสมุทรมาตั้งไว้กลางทุ่งสะวันนา
ฉินมู่มองไปยังทิศไกลๆ และพอมองเห็นทิวเขาใหญ่อยู่รางๆ อันห่อหุ้มไปด้วยสีเงินและหิมะขาว
ในเวลาเดียวกัน ที่ใจกลางของทิวเขาสูงเทียมเมฆก็มีขุนเขาทองคําลูกหนึ่งเปล่งประกายเจิดจรัส ฉินมู่เปิดเนตรสวรรค์ของเขา และมองไปจึงพบว่านั่นมิใช่ขุนเขาทองคํา แต่เป็นปราสาทราชวังทองคําสุกปลั่งตระการตา
แต่เพราะว่ามีเรือนตําหนักโถงวังจํานวนมากที่สร้างอยู่บนขุนเขาลูกนั้น คลี่คลุมไปทั่วทั้งขุนเขา ทําให้เมื่อมองจากไกลๆ มันก็ดูเหมือนภูเขาทองคํา
ในทุ่งหญ้าแห่งนี้ไม่มีหน่วยเงินที่ตายตัว มีแต่ทองคําที่ได้รับการต้อนรับโดยไม่มีข้อแม้ ดังนั้นพวกเขาจึงต้องใช้ตําลึงทองที่แม่ทัพเปี่ยนเสินอวิ๋นมอบให้ในการจ่ายค่าอาหารตลอดการเดินทาง
สําหรับคนธรรมดาทั่วไปในทุ่งสะวันนา ทองคํานั้นเป็นสิ่งหายากและมีมูลค่าสูงเป็นอย่างยิ่ง แต่ปราสาทราชวังที่นี่ถึงกับปลูกสร้างขึ้นมาจากทองคําล้วนๆ นี่แสดงถึงความรํ่ารวยหรูหราของวังทองโหรวหลัน
คณบดีป้าซานมาที่ทะเลสาบ ส่วนฉินมู่มองไปรอบๆ มีเรือไม้จอดอยู่ใกล้ๆ และบนกราบเรือนั้นมีบุรุษหนึ่งซึ่งมีเขางอกเงยอยู่บนหัวยืนอยู่ เขาสวมใส่ชุดดําทั้งตัวและยืนเอนพิงพายไม้ไผ่ที่ไว้ใช้คัดเรือไป
บนเขตนํ้าตื้นของทะเลสาบก็มีเสาไม้ปักอยู่หลายต้นและบนเสาไม้เหล่านั้นก็มีศีรษะคนที่เน่าเปื่อยเสียบอยู่
วิชาเก็บเกี่ยววิญญาณของลัทธิหมอผีดูชั่วร้ายยิงกว่าลัทธิมารฟ้าเราเสียอีก
ฉินมู่มองไปที่บุรุษผู้นั้นและพบว่าใบหน้าของอีกฝ่ายเหมือนกับแพะภูเขา และเป็นแพะภูเขาขนนํ้าตาลอันแตกต่างจากแพะภูเขาทั่วไป และบนใบหน้าเขาก็ไม่ค่อยจะมีขน
“หมอผีหน้าแพะ?” ฉินมู่ตะลึงเล็กน้อย เมื่อเขาอยู่ในเมืองหลวง เขาได้รักษาทหารจํานวนหนึ่งที่เจ็บ
ไข้จากพิษหมอผี และได้ยินทหารกล่าวว่าพบกับคนเถื่อนที่มีเขางอกเงยบนศีรษะ คนเถื่อนผู้นั้นใช้กระจกส่องเงาพวกเขา ทําให้พวกเขาสิ้นสติไม่ฟื้นขึ้นมา
ตอนแรกฉินมู่คิดว่าหมอผีคนนั้นสวมใส่หน้ากาก และบัดนี้เมื่อเขาเห็นหมอผีบนเรือไม้จึงได้รู้ว่าจริงๆ แล้วมีคนเถื่อนที่มีเขางอกเงยขึ้นมาบนศีรษะจริงๆ
หมอผีหน้าแพะผู้นั้นเหลือบมองพวกเขาและกล่าวด้วยเสียงแหลม “ข่านบู๊ หมอผีอาวุโสรออยู่นานแล้ว! กรุณาขึ้นเรือมา!”
คณบดีป้าซานขึ้นไปบนเรือและแย้มยิ้ม “นํ้าในทะเลสาบนี้เป็นนํ้าบางซึ่งไม่มีความต้านทานวัตถุเลยแม้แต่น้อย แม้แต่ขนนกก็ยังจมลงไปเมื่อสัมผัสกับผิวทะเลสาบพวกเราต้องพึ่งเรือของวังทองโหรวหลันจึงจะสามารถข้ามไปได้ ขึ้นเรือกันเถอะ”
ฉินมู่และหลิงอวี้จิวขึ้นไปบนเรือไม้พร้อมๆ กับวัวเขียวและฮู่หลิงเอ๋อ สายตาของหมอผีจับจ้องที่ฮู่หลิงเอ๋อ เขายิ้มหยันหนึ่งทีแล้วจึงผลักเรือเพื่อให้มันแล่นไปยังอีกฟากฝั่ง
หลิงอวี้จิวยิ้ม “หากเรามิอาจเหยียบไปบนนํ้าบางได้ เราเดินอ้อมไม่ได้หรือ หรือเราบินข้ามได้ไหม”
หมอผีคนเถื่อนผู้นั้นหัวเราะเยาะ “บินข้าม? เจ้าลองแตะอากาศ ที่นี่ดูสิว่าเจ้าจะบินได้ไหม อากาศที่นี่ตายสนิท”
วัวเขียวข้างๆ กล่าวด้วยนํ้าเสียงอุดอู้ “อากาศที่นี่ตายนิ่งจริงๆ เจ้าบินที่นี่ไม่ได้หรอก”
เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญควบคุมพายุและสายฟ้าและเขาสามารถ สัมผัสได้ว่าอากาศที่นี่ไม่ไหลเวียนเลยสักนิด โดยปกติแล้วเมื่อผู้คนหายใจอากาศจะหมุนเวียนและเขาหายใจเข้าและออก หากว่าอากาศไม่ไหลเวียน อากาศข้างใต้จมูกก็จะว่างเปล่า เมื่อพวกเขาสูดลมเข้าไปเปลี่ยนอากาศบริเวณนั้นให้เป็นสุญญากาศ เมื่อ อากาศข้างๆ นั้นไม่อาจเข้าไปทดแทนได้เขาก็จะขาดอากาศหายใจ
ทะเลสาบนํ้าบางก็เป็นดังนี้ อากาศเหนือทะเลสาบถูกจํากัดไว้ตายตัวด้วยพลังอํานาจอันไม่ไหวติง ก็ต่อเมื่อเรือไม้แล่นไปข้างหน้า ผู้คนบนเรือจึงจะได้เคลื่อนไหวเช่นกัน ดังนั้นพวกเขาจึงไม่รู้สึกถึงความผิดปกติเมื่อหายใจเข้าและออก แต่หากว่าเรือหยุดแล่น พวกเขาก็จะหายใจเผาผลาญอากาศรอบตัวไปจนหมด และถ้าอยู่นานสักพัก ก็จะขาดอากาศหายใจในที่สุด
หากว่าพวกเขาใช้วิชาเหาะเหิน ก็เป็นไปไม่ได้อยู่ดีที่จะบินข้ามทะเลสาบ วิชาเหาะเหินนั้นจําเป็นจะต้องสั่นสะเทือนอากาศ สร้างแรงพยุงจากข้างล่าง แต่ทว่าการสั่นสะเทือนอากาศที่นี่มีแต่จะสร้างสภาวะสุญญากาศ จึงทําให้การบินไปนั้นเป็นไปไม่ได้
ฮู่หลิงเอ๋อลองดูหนนึงและพบว่าเวทมนตร์เรียกลมเรียกฝนใช้ไม่ได้ที่นี่
หมอผีคนเถื่อนนั้นหัวเราะในคอ “จะเดินอ้อมไปก็ไม่ใช่ว่าจะทําไม่ได้ แต่ทะเลสาบนํ้าบางนี้กว้างใหญ่ไพศาลมาก หากว่าเจ้าเดินอ้อมมันก็จะใช้เวลาอย่างน้อย 2 วัน ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อเจ้าไปถึงภูเขาหิมะ ฮี่ๆ มีไม่กี่คนหรอกที่รอดจากภูเขานั้นออกมาได้”
หลิงอวี้จิวพูดไม่ออก
ฉินมู่ลอบปลุกเนตรสวรรค์และเนตรสวรรค์เขียวของตนเพื่อมองขึ้นไปบนท้องฟ้า เขาสามารถมองเห็นม่านมัสลินคล้ายบางเบา หมอกที่คลี่คลุมทั่วฟ้าเหนือทะเลสาบ ทําให้เขาใจหวั่นไหวเล็กน้อย ข้าว่าน่าจะเป็นม่านมัสลินนี่แหละที่ทำให้อากาศตายนิ่งไม่ไหลเวียนมั้ง?
ม่านมัสลินบางนี้ไม่อาจแตะสัมผัสได้ แต่มันมีอยู่จริงๆ นี่น่าจะ เป็นเวทจํากัดอาณาเขตที่คณบดีป้าซานกล่าวถึง
เขาเผลอมองลงไปข้างในนํ้าและสะท้านใจเล็กน้อย ที่ก้นทะเลสาบแห่งนี้มีกองโครงกระดูกหลายซากร่าง อันทําให้หลิงอวี้จิวที่มองตามลงไปด้วยก็อุทานด้วยความตกใจ
คณบดีป้าซานกล่าว “โครงกระดูกพวกนี้ล้วนแต่เป็นทาสที่ลัทธิหมอผีใช้ในการปลุกเสกวิชา”
ฉินมู่รู้สึกหนาวเยือกไปถึงกระดูก หมอผีหน้าแพะพายเรือไปได้ค่อนข้างเร็ว เพราะว่าเขามีวิชา
ลับที่ใช้ในการเดินทางบนผิวทะเลสาบนํ้าบางโดยเฉพาะ อันทําให้เคลื่อนที่ว่องไวดุจสายลม แม้แต่นํ้าบางที่นี่ก็ไม่อาจจมเรือได้
ไม่นานนักเรือไม้ก็จอดเทียบที่ตีนภูเขาหิมะ หมอผีหน้าแพะผู้นั้นหัวเราะอย่างมีเลศนัย “ข่านบู๊ เชิญ!”
คณบดีป้าซานส่งยิ้มกลับแล้วเดินมุ่งหน้าไปยังภูเขาทองคํา
หวูด หวูด
เสียงลึกทุ้มยาวนานดังมาจากแตรเขาสัตว์ เสียงนั้นลึกลํ้าและสะท้อนก้องไปทั่วสะเทือนแก้วหูจากการสั่นพ้องของเสียง ในที่ ไกลๆ นั้นหิมะพลันถล่มลงไปหลายจุดในทุกๆ ภูเขา สร้างความเกรียงไกรอภินิหารแก่ภาพที่ทุกคนเห็น
คณบดีป้าซานหัวเราะด้วยเสียงอันดังและสยบแรงสั่นสะเทือนอันส่งมาจากแตรเขาสัตว์และหิมะถล่ม ฉินมู่และคนอื่นๆ ไม่รู้สึกถึงความผิดปกติ แต่เลือดลมของผู้คนที่อยู่บนภูเขาพลุ่งพล่านตีกลับจากเสียงหัวเราะนั้น ทําให้ทุกคนโลหิตไหลย้อนขึ้นไปทางศีรษะ
รู้สึกราวกับว่าหัวกําลังจะระเบิดจากโลหิตก้อนนั้น ทว่าก็ไม่อาจข่มระงับไว้ได้
ในตอนนั้นเอง เสียงลึกตํ่าก็ลอยมาจากยอดเขา “พลังโทสะของพลังวัตรข่านบู๊นั้นเหนือกว่าพลังโทสะของพวกเจ้า มีความจําเป็นอะไรจะต้องเบ่งพลังแข่งกับเขาตั้งแต่เมื่อเขาย่างเท้ามาถึงล่ะ
ข่านบู๊ เชิญขึ้นมาพบข้าบนภูเขา!”
เสียงดังกล่าวดังแจ่มชัดกังวานท่ามกลางเสียงหัวเราะของคณบดีป้าซาน เสียงนั้นชราภาพทว่าก็ยังทรงพลัง ดังนั้นจึงเห็นได้ว่าเขาก็เป็นยอดฝีมืออันหาได้ยากผู้หนึ่ง
“คําสั่งของหมอผีอาวุโส ข้าต้องน้อมรับอยู่แล้ว แต่ทว่าจุดประสงค์ที่ข้ามาในวันนี้นั้นเพื่อมาขวางประตู มิใช่มาเยี่ยมเยือนสนทนาความหลังเก่าก่อน”
คณบดีป้าซานและเจ้าของเสียงชรานั้นสนทนากันข้ามภูเขาด้วยท่าทีสบายๆ “ข้าจะขึ้นไปบนเขาเดี๋ยวนี้แหละ!”
ฉินมู่เงยหน้าขึ้นและเห็นขั้นบันไดทองคําที่ปูลาดเรียงรายเป็นทางขึ้นไปบนภูเขา และหลังจากเดินไปได้สักพักหนึ่ง ก็พบเจอประตูทองคําใหญ่โตตั้งอยู่ ประตูนั้นโล่งว่างไม่มีบานประตู
ประตูอันหล่อหลอมขึ้นมาจากทองคําบริสุทธิ์นั้นสูง 15 วา และกว้าง 30 วา มันถูกฝังประดับประดาไว้ด้วยหยกและมุกลํ้าค่าอันหรูหราเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อครั้งนั้นเป็นคนแล่เนื้อที่พาคณบดีป้าซานมาที่นี่ และขวางประตูอยู่ 3 เดือน เอาชนะยอดฝีมือรุ่นเยาว์ทั้งหมดของวังทองโหรวหลัน รวมทั้งยอดฝีมือผู้กล้าที่เร่งรุดมาจากทั่วท้องทุ่งสะวันนา หลังจากที่พวกเขาได้ทราบข่าวการขวางประตู
จากนั้น คณบดีป้าซานจึงได้รับการยกย่องเป็นข่านบู๊แห่งท้องทุ่งหญ้า
ในตอนนั้นคนแล่เนื้อก็ผ่านประสบการณ์ท้าสู้มามากกว่าร้อยศึกจากทุกรุ่นทุกรูปแบบ ต่อยตีพวกรุ่นอาวุโสแห่งวังทองโหรวหลันทั้งหมดทุกคนจนแหลกยับกันเป็นแถบๆ และได้รับสมญาว่าข่านสวรรค์ หรือจักรพรรดิสวรรค์
คณบดีป้าซานพาพวกเขามาที่หน้าประตูภูเขาและเห็นหมอผีจํานวนมากรออยู่ที่นี่แล้ว ยังมีผู้ฝึกวิชาที่แข็งแกร่งจากทุ่งสะวันนา ซึ่งมิได้เป็นศิษย์ของวังทองโหรวหลันแต่ทําหน้าที่อารักขาที่นี่ พวกเขาคงจะเป็นยอดฝีมือที่โด่งดังในท้องทุ่ง และเร่งรุดมารอพวกเขาที่นี่หลังจากทราบข่าวคราว
“มูมู่!” คณบดีป้าซานร้องเรียก
วัวเขียวร้องมูเสียงลึกยาว จากนั้นร่างของเขาพลันขยายขึ้นอย่างมโหฬาร เขาขยายตัวสูงขึ้น สูงขึ้น จนกระทั่งกลายเป็นปีศาจร่างมนุษย์ศีรษะวัวอันกํายําเต็มไปด้วยมัดกล้าม ก้าวอาดๆ ไปยังประตูทองคํา เขาย่อตัวยกไหล่ขึ้นงัดประตูภูเขาอันหนักอัศจรรย์นั้นขึ้นไปแบบถอนรากถอนโคน!
หมอผีและยอดฝีมือข้างๆ ล้วนแต่อ้าปากค้าง
คณบดีป้าซานกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ยกประตูขึ้นภูเขา!”
ฉินมู่ใจไหววูบเมื่อเขารู้เจตนาของคณบดีป้าซาน หากว่าเขาขวางประตูอยู่ที่ตีนเขา ก็คงจะยากที่จะเข้าไปในส่วนลึกของวังทองโหรวหลัน ด้วยการยกประตูขึ้นไปและขวางมันไว้หน้าโถงปราสาทใหญ่ของวังทอง พวกเขาก็จะเข้าไปขโมยร่างครึ่งท่อนของคนแล่เนื้อได้ง่ายขึ้น
แต่ว่าถ้าทําเช่นนี้ เท่ากับไม่ไว้หน้าวังทองโหรวหลันโดยสิ้นเชิง และวังทองก็จะต้องต่อสู้ยิบตาจนเลือดหยดสุดท้าย
หากว่าพวกเขาเดินลึกเข้าไปในวังทอง ยอดฝีมือเหล่านั้นก็เพียงแค่ขวางทางลงเขา พวกเขาก็จะกลายเป็นตะพาบในไหหนีไปไหนไม่ได้ อันนับว่าเป็นสถานการณ์อันยํ่าแย่ยิ่ง
คณบดีป้าซานแค่นเสียงเย็นชาหนึ่งทีแล้วก้าวไปข้างหน้า ถ่ายทอดเสียงไปยังหูของฉินมู่ “หลังจากที่ขึ้นภูเขาไปแล้ว ก็จะเหลือแต่เจ้าสองคนที่ขวางประตูภูเขาเอาไว้ พวกเขาคงจะลงมือโจมตีข้า สถานการณ์ที่นี่เหมือนจะแตกต่างจากที่ข้าคิดคะเนเอาไว้”
ฉินมู่ปลอบใจเขา “คนที่สอนให้ข้าขโมยคือท่านปู่เป๋ขาเดียว เขาฝีมือลํ้าเลิศมากๆ เลย”
“แล้วขาเขาหายไปข้างนึงได้อย่างไร” คณบดีป้าซานถาม
ฉินมู่ลังเล แต่ก็ตอบไปตามจริง “ดูเหมือนว่าเขาโดนสับขาหลังจากที่ถูกจับได้ว่าเข้าไปขโมยของ”
คณบดีป้าซานหัวเราะขื่นๆ “ตอนแรกที่ข้าได้ยินเจ้าบอกว่าเขาเป็นคนพิการขาเดียว ข้าก็นึกแล้วว่าเขาต้องถูกสับขาหลังจากก่อการขโมย แล้วเจ้าล่ะเคยขโมยอะไรมาก่อนไหม”
ฉินมู่ลังเลอีกครั้งแล้วส่ายหน้า “ข้ายังไม่ได้ลองเลย”
คณบดีป้าซานจึงเลิกฝันเฟื่องโดยสิ้นเชิง และสีหน้าของเขาก็ผสมปนเป แต่ทันใดนั้นเขาก็ยัดแผนที่ให้ฉินมู่แล้วกล่าว “นี่คือแผนที่ภูมิประเทศของวังทองโหรวหลัน เจ้าเก็บไว้ก่อนล่ะกัน…แต่ว่า ข้าหวังว่าเจ้าคงไม่จําเป็นต้องใช้มัน พวกเราจะทําตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปรไปทีละขั้น เมื่อพวกเราไปถึงวังทอง ลอง สังเกตดูสถานการณ์ หากมีจังหวะโอกาสเราก็อาจจะเข้าไปขโมยร่างท่อนล่างของอาจารย์พวกเรากลับมาก็เป็นได้!”
ขั้นบันไดของวังทองโหรวหลันนั้นยาวเหยียดสุดลูกหูลูกตา และทอดไปจนถึงจุดยอดสุดของขุนเขา ฉินมู่และหลิงอวี้จิวตามคณบดีป้าซานขึ้นไปบนภูเขาแล้วเหลียวมองไปรอบๆ เขา เห็นรูปปั้นเทพเจ้าทองคํามลังเมลือง แต่ละรูปสลักนั้นมีรูปร่างพิลึกพิกลเป็นอย่างยิ่ง พวกเขามีคล้ายมนุษย์แต่ก็มิใช่มนุษย์ คล้ายมารแต่ก็มิใช่มาร คล้ายเทพแต่ก็มิใช่เทพ รูปปั้นเหล่านั้นมีลักษณะอย่างละอันพันละน้อยของมนุษย์ มาร และเทพในเวลาเดียวกันและทําให้พวกเขามีรูปลักษณ์ต่างกันนับหมื่นพันประการ
เมื่อเดินผ่านถนนเช่นนี้ ทําให้ผู้คนรู้สึกระย่นย่อ และแม้แต่ฮู่หลิงเอ๋อที่ชอบพูดคุยสัพเพเหระกับวัวเขียวก็เงียบเสียงลง มีแต่เสียงฝีเท้าทึบหนักของวัวเขียวที่ดังตึกๆ เป็นจังหวะ
ฉินมู่เหลียวหลังกลับไปและเห็นสายตาของเหล่าหมอผีและยอดยุทธ์ทั้งหลายที่ดูราวจะพ่นไฟได้ มองตามหลังพวกเขามา
ส่วนด้านหน้านั้น มีปราสาทราชวังจํานวนนับไม่ถ้วนสีทองคําอร่ามเจิดจ้าตั้งเรียงราย และข้างหน้าหมู่ปราสาทราชวังนั้นมีผู้คนรูปร่างประหลาดพิสดารยืนอยู่ใต้เงาปราสาท บางพวกก็มีเขาบนหัว และบางพวกก็มีปีกที่หลัง มีบางคนที่ถึงกับมีหัวเป็นสัตว์เถื่อนทั้งหัว และบางคนก็มีหางงูงอกเงยออกมา
แต่ทว่า พวกเขามิใช่เผ่าปีศาจ เผ่าปีศาจนั้นจะมีปราณปีศาจแผ่ออกมา อย่างเช่นฮู่หลิงเอ๋อซึ่งมีปราณปีศาจ และวัวเขียวเองก็มีอยู่อย่างเบาบางจนแทบจะสังเกตไม่เห็น
ขณะที่ คนกลายพันธุ์เหล่านั้นไม่มีปราณปีศาจ ฮู่หลิงเอ๋อและวัวเขียวแปลงร่างไปในทิศทางที่เข้าใกล้มนุษย์ แต่ยอดยุทธ์ของวังทองโหรวหลันนั้นแปลงร่างไปในทิศทางที่ถอยห่างจากมนุษย์
นั่นคือกรอบคิดเรื่องวิธีการฝึกปรือวิทยายุทธ์ที่แตกต่างกันระหว่างสันตินิรันดร์และนอกกําแพงใหญ่ แปลงร่างถอยห่างจากรูปลักษณ์มนุษย์และดูคล้ายมารและเทพมากเข้าไปทุกที นั่นคือวิธีฝึกปรือของลัทธิหมอผี
ถึงอย่างไรก็ตาม ก็มีบางคนที่ดูเหมือนมนุษย์ธรรมดา คนเหล่านั้นน่าจะสามารถควบคุมร่างกายของตนได้ และแปลงร่างได้อย่างอิสระโดยใช้ทักษะเทวะของตน
และที่ห้าโถงปราสาทยังมีกรงขังจํานวนมากอันบรรจุไว้ด้วย ผู้คนในชุดขาดวิ่น พวกเขาเหล่านั้นคงจะเป็น ‘วัตถุดิบ’ ซึ่งหมอผีแห่งวังทองโหรวหลันช่วงใช้เพื่อการฝึกวิชา
หลิงอวี้จิวสีหน้าแปรเปลี่ยนและมีโทสะขึ้นทันใด “คนพวกนั้นเป็นประชากรของจักรวรรดิสันตินิรันดร์! ”
ฉินมู่กล่าวอย่างไม่รู้สึกรู้สา “จักรวรรดิสันตินิรันดร์ก็จับผู้คนจากแดนโบราณวินาศมาใช้เป็นทาสเหมือนกัน”
หลิงอวี้จิวตัวสั่นเทิ้ม และไม่กล่าวอะไรต่อ
“คุณชาย พวกเขาไม่ได้จับคนมาใช้ฝึกวิชาอย่างเดียว พวกเขายังจับปีศาจมาด้วย”
ฮู่หลิงเอ๋อใช้จมูกชี้ไป และฉินมู่มองตามทิศทางนั้นและเห็นปีศาจสามสี่ตัวถูกขังไว้ในกรงบางกรง
คณบดีป้าซานกล่าว “ลัทธิหมอผีมีวิชาพิสดารที่สามารถใช้วิญญาณในการฝึกปรือ ใช้วิญญาณเหล่านั้นมาเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของร่างกาย ยกตัวอย่างเช่นเมื่อพวกเขาดูดกลืนวิญญาณนกเข้าไป พวกเขาสามารถมีปีกงอกออกมา หรือแม้กระทั่งสามารถเปลี่ยนหัวตัวเองให้เป็นหัวนก โดยการดูดกลืนวิญญาณของแพะ ร่างกายของพวกเขาก็สามารถแปรเปลี่ยนเป็นร่างแพะ ผู้ที่ฝึกปรือด้วยวิชาเช่นนี้จนถึงระดับทักษะเทวะเรียกว่า หมอผีใหญ่ส่วนที่ยังไม่ถึงขั้นทักษะเทวะเรียกว่าหมอผีฝึกหัด
ขณะที่ผู้บรรลุถึงวรยุทธ์ขั้นชาวสวรรค์จะเรียกว่าราชาหมอผี วังโหรวหลันนั้นเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งลัทธิหมอผี และวิชาฝึกปรือของวังทองเรียกว่าคัมภีร์หมอผีอาวุโสโหรวเหลา ซึ่งนับว่าไม่
ธรรมดา”