ตอนที่ 149 จักรพรรดิบู๊
กําลังฝีมือของวัวตัวนี้สามารถเทียบได้กับจอมราชาปีศาจ เมื่อ วิ่งไปบนนํ้าเขายังวิ่งได้ดีกว่าบนบกเสียอีก ยิ่งไปกว่านั้นเขายังคล่องแคล่วในการควบคุมลมและสายฟ้า ทําให้ความเร็วของเขารวดเร็วอย่างน่าอัศจรรย์ ไปด้วยความเร็วระดับนี้ เขาสามารถเดินทางได้มากกว่า 300 ลี้ในหนึ่งวัน
คณบดีป้าซานอ่านม้วนคัมภีร์โบราณที่ฉินมู่และหลิงอวี้จิวเลือกอย่างคร่าวๆ และรู้สึกปวดหัวเมื่อเขาหยิบม้วนคัมภีร์ที่ฉินมู่เลือกขึ้นมาดู คัมภีร์โบราณที่หลิงอวี้จิวเลือกนั้นเป็นเพลงกระบี่ระดับทักษะเทวะ ส่วนอย่างอื่นนั้นเป็นวิชาเวทมนตร์ ขณะที่ของฉินมู่นั้นนอกจากเพลงกระบี่อาทิตย์อัสดงซึ่งดูปกติธรรมดาแล้ว อีก 2 คัมภีร์ก็ทําให้เขาชะงักอย่างแรง
คัมภีร์ 2 ม้วนนี้ หนึ่งเรียกว่านําทางวิญญาณ อีกหนึ่งเรียกว่าอักษรรูนบัญชาการผีย้ายเทพเคลื่อน
ไม่ว่าจะเป็นทักษะเทวะของเพลงกระบี่และเวทมนตร์ต่างก็มีวิชาฝึกปรือพื้นฐานเป็นมาตรฐานของมัน นี่คือสิ่งที่เรียกกันว่าสามารถเข้าใจได้ด้วยการเปรียบเทียบ สามารถอ้างถึงอย่างหนึ่งเพื่อทําความเข้าใจอีกอย่างหนึ่งจากตัวอย่าง ด้วยประสบการณ์และความรู้อันกว้างขวางของคณบดีป้าซาน เขาสามารถให้คําชี้แนะแก่ทั้งคู่ได้
มีแต่คัมภีร์โบราณ 2 ม้วนที่ฉินมู่เลือกนั้นเป็นวิชาที่ไม่เป็นที่นิยมและหาตัวอย่างได้ยาก ปกติแล้วแม้เมื่อคณบดีป้าซานเข้าไปในเรือนบันทึกสวรรค์และเขาเห็นเวทมนตร์ที่ไร้คนนิยมแบบนี้ เขาก็คงเหลือบแลดูทีนึงแล้วก็วางมันทิ้งไปไม่สนใจจะอ่านมันแม้แต่น้อย ดังนั้นจะให้เขาอธิบายมันเหมือนบอกให้ปลาอธิบายวิธีปีนต้นไม้
ในโลกทัศน์ของเขาที่วรยุทธ์ขั้นนี้ พลานุภาพของเวทมนตร์นําทางวิญญาณและอักษรรูนบัญชาการผีย้ายเทพเคลื่อนนั้นไม่แข็งแกร่งพอ และไม่มีอะไรโดดเด่นพอที่จะทําให้คนตาลุกวาวเมื่ออ่านมัน เขาไม่รู้ว่าฉินมู่คิดแผลงๆ อะไรถึงหยิบ 2 เวทมนตร์นี้มา
คณบดีป้าซานนั่งบนหลังวัวและโยนคัมภีร์โบราณ 2 ม้วนนี้คืนให้ฉินมู่ ให้เขาศึกษาตรึกตรองด้วยตนเอง จากนั้นเขาจึงอรรถาอธิบายคัมภีร์ที่หลิงอวี้จิวนํามาจากเรือนบันทึกสวรรค์
หลิงอวี้จิวเป็นธิดาของตระกูลจักรพรรดิ ดังนั้นนางจึงสามารถขึ้นไปยังชั้น 2 ของเรือนบันทึกสวรรค์ได้ ครานี้นางนําเวทมนตร์เต๋าลึกลับของสํานักเต๋าที่เรียกว่าชักนําสายฟ้าสวรรค์คราม
แค่ชื่อเพียงอย่างเดียวก็ดูเที่ยงธรรมกว่านําทางวิญญาณและอักษรรูนบัญชาการผีย้ายเทพเคลื่อน
มันคือเวทมนตร์สายฟ้าสายเที่ยงธรรมของสํานักเต๋า ดังนั้นมันย่อมมีชื่อเสียงที่เชื่อถือได้ คําอธิบายของคณบดีป้าซานทั้งกระจ่างชัดและมีเหตุผล หลายประเด็นที่ยากจะเข้าใจก็กลายเป็นกระจ่างแจ้งแทงทะลุแก่หลิงอวี้จิวภายใต้การชี้แนะของเขา
ฉินมู่เองฟังจนเคลิบเคลิ้ม ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่าเขาสามารถอ้างอิงชักนําสายฟ้าสวรรค์ครามไปเทียบเคียงแลกเปลี่ยนกับฟ้าคํารามแปดจู่โจมได้ และบางทีเขาอาจจะพัฒนาวิชาให้มีพลานุภาพอันเกินคาดฝัน
ความคิดของเขาเริ่มดําดิ่งและเขาก็ไม่ได้ยินคําพูดของคณบดีป้าซานอีกต่อไป จมจ่อมอยู่ในการคิดคํานวณของตน
หลิงอวี้จิวปรึกษาคณบดีป้าซานเกี่ยวกับบางส่วนที่นางไม่เข้าใจ และทดลองมันทันที วิธีร่ายกฎจํานวนหนึ่งถูกช่วงใช้อย่างต่อเนื่องเป็นชุดและทันใดนั้นก็มีเส้นสายฟ้าจํานวนมากผ่าเปรี้ยงปร้างมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยลงยังผิวแม่นํ้า ระเบิดปลายาววาครึ่งตัวหนึ่งกระเด็นขึ้นมา
หลิงอวี้จิวทั้งประหลาดใจและดีใจ นางพึงพอใจอย่างยิ่งกับฤทธิ์เวทมนตร์
คณบดีป้าซานส่ายหัวแล้วกล่าว “องค์หญิง พื้นฐานเจ้ายังขาดพร่องอยู่มากเจ้าไม่ได้ฝึกปรือพื้นฐานอย่างถูกต้อง พลานุภาพของชักนําสายฟ้าสวรรค์ไม่ควรจะมีเพียงแค่นี้”
เขาปิดผนึกสมบัติเทวะอื่นๆ ของตนเหลือแต่สมบัติเทวะทารกวิญญาณ และสมบัติเทวะห้าธาตุ ทําให้เขาอยู่ในวรยุทธ์ขั้นเดียวกับหลิงอวี้จิว จากนั้นเขาก็ร่ายชักนําสายฟ้าสวรรค์คราม คีบนิ้วชี้และนิ้วกลางเข้าด้วยกัน ดูราวกับว่านิ้วทั้ง 2 เขาก็ต่างเส้นด้ายที่พยายามสอยเข้าไปในเข็มอันล่องหนตรงหน้าเขา
ฟ้าแลบวาบมาทันที ตามด้วยฟ้าผ่าที่ฟาดเปรี้ยงลงมาบนผิวแม่นํ้า สายฟ้าฟาดใส่ทุกจุดที่เขาชี้นิ้วไป และมันคมกล้าอย่างยิ่ง ในชั่วพริบตานั้น มากกว่า 10 เส้นสายฟ้าฟาดถล่มลงมา!
ผิวนํ้าพลันขุ่นพล่านเป็นฟองขาว และทุกๆ ที่ล้วนแต่เป็นปลาใหญ่ที่ปลิวกระเด็นกระดอนจากไฟฟ้าช็อต
หลิงอวี้จิวสยบราบคาบต่อการสําแดงพลานุภาพเวทมนตร์นี้ของคณบดีป้าซาน นี่เป็นครั้งแรกที่คณบดีป้าซานฝึกปรือเวทมนตร์นี้ แต่ด้วยกระบวนท่าเดียวเขาก็สามารถช่วงใช้มันออกมาอย่างสุดฤทธิ์เดชของมันราวกับเชี่ยวชาญมานานปี ทําให้ผู้ชมดูได้แต่อุทานด้วยความทึ่งชื่นชม
คณบดีป้าซานกล่าว “วิชาฝึกปรือของราชวงศ์จักรพรรดิ วิชาเก้ามังกรราชันย์นั้นทั้งกร้าวแกร่งและทรงอํานาจ หากว่ารากฐานของเจ้าแน่นหนาเพียงพอ เวทมนตร์ชักนําสายฟ้าสวรรค์ครามที่เจ้าใช้ก็มีแต่จะแข็งแกร่งกว่าข้า องค์หญิงเจ็ด ในช่วงไม่กี่วันต่อไปนี้ข้าจะไม่สอนวิชาอื่นให้กับเจ้า ข้าจะช่วยเจ้าปรับรากฐานให้แน่นหนาเพียงประการเดียวเท่านั้น”
หลิงอวี้จิวตกลงรับคําทันที คณบดีป้าซานเองนั้นเป็นตัวตนระดับเจ้าสํานักผู้เปี่ยมไปด้วย
ความรู้และประสบการณ์อันกว้างขวาง ซํ้ายังได้พบพานสัมผัสการปฏิรูปของราชครูสันตินิรันดร์โดยตรง และปักหลักอยู่ในแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งมหาวิทยาลัยจักรวรรดิเพื่อตรึกตรองทําความเข้าใจวิชาฝึกปรือ วิชาทักษะ และทักษะเทวะของสํานักและลัทธิทั้งหมดในโลกหล้า ด้วยความรู้และประสบการณ์อันสั่งสมมาอย่างลึกซึ้งเช่นนี้ เขาก็ได้กลายเป็นสุดยอดของสุดยอดฝีมือแห่งจักรวรรดิสันตินิรันดร์เรียบร้อยแล้ว
วัวเขียววิ่งตะบึงไปยังชายแดนในขณะที่คณบดีป้าซานก็ถ่ายทอดเต๋าของเขา และอ่านเพื่ออธิบายคัมภีร์ต่างๆ ที่พวกเขานําออกมาจากเรือนบันทึกสวรรค์ หลังจากสองสามวัน พวกเขาก็เข้าใกล้ด่านชิงเหมินในที่สุด
ด่านชิงเหมินเป็นชายแดนร่วมระหว่างจักรวรรดิสันตินิรันดร์และจักรวรรดิคนเถื่อนตี้ และยังเป็นชายแดนร่วมระหว่างแดนโบราณวินาศและจักรวรรดิคนเถื่อนตี้อีกด้วย
ที่ตรงนั้นระหว่างด่านชิงเหมินและสถานีชายแดนของจักรวรรดิคนเถื่อนตี้มีระยะห่างกันราวๆ ร้อยลี้ แต่ใจกลางของระยะห่างระหว่างดินแดนร้อยลี้นั้นมีป่าที่ยื่นเข้ามายาวหลายลี้ ป่านี้ขยายเข้ามาจากแดนโบราณวินาศและเป็นส่วนหนึ่งของเขตแดนโบราณวินาศ เมื่อกลางคืนมาถึงและความมืดเข้ามาเยือน มันก็จะกั้นกาง 2 ด่านยิ่งใหญ่จาก 2 จักรวรรดินี้ออกจากกัน
แดนโบราณวินาศกลายเป็นอุปสรรคขัดขวางตามธรรมชาติระหว่างจักรวรรดิคนเถื่อนตี้และจักรวรรดิสันตินิรันดร์ กองทัพของทั้ง 2 ฝ่ายหมายจะลอบโจมตีซึ่งกันและกันแต่ก็มิอาจทําได้ในภายใต้ม่านความมืดของราตรี พวกเขาทําได้แต่ผลัดกันโจมตีไปมาในตอนกลางวัน ดังนั้นศึกสงครามของที่นี่จึงติดพันไม่คืบหน้าไปไหน
นายทหารและไพร่พลของทั้ง 2 ฝั่งเรียกพื้นที่ของแดนโบราณวินาศที่ยื่นเข้ามานี้ว่าลิ้นเป็ด
ฉินมู่และคนอื่นๆ เข้าไปในด่านชิงเหมินและคณบดีป้าซานก็ยื่นเอกสารรับรองตนแก่แนวรบด่านหน้า พลทหารที่กําลังนับจํานวนผู้คนพลันเห็นฉินมู่ เขาตะลึงไปครู่หนึ่งจากนั้นรีบวิ่งเข้าไปในเมืองด่านทันที
ทุกคนดูงุนงงและคณบดีป้าซานก็ถามฉินมู่ด้วยความพิศวง “นี่เจ้าเคยก่อเรื่องที่นี่หรือเปล่า”
วัวเขียวดูเริงร่ากับโชคร้ายของฉินมู่ “ก่อเรื่องอะไรหรือนายผู้เฒ่า ท่านลืมไปแล้วหรือว่าศิษย์น้องของท่านเป็นผู้คนที่ถูกละทิ้งจากแดนโบราณวินาศ ทหารที่ชายแดนได้รับพยากรณ์เทพให้สังหารผู้คนที่ถูกละทิ้งคนใดก็ตามที่มาจากแดนโบราณวินาศและกล้าลักลอบเข้าจักรวรรดิสันตินิรันดร์ ข้าว่านะเดี๋ยวศิษย์น้องของท่านก็คงจะถูกตัดหัว ไม่ก็ถูกส่งไปขายเป็นทาส”
คณบดีป้าซานขมวดคิ้ว และอีกสักพักเสียงเคร้งคร้างของเกราะกระทบกันก็ดังมาจากในเมืองพร้อมกับเสียงอันลึกทุ้มกังวาน “หมอเทวดามือศักดิ์สิทธิ์ หมอเทวดาฉินอยู่ที่ใด”
ทหาร 100 นายถ้วนๆ จัดแถวนําทางแม่ทัพผมขาวโพลนออกมาจากสถานีชายแดนและหยุดยืนมองดูตรงหน้ากลุ่มคน “ผู้ใดในนี้ที่เป็นหมอเทวดาฉิน”
ฉินมู่แย้มยิ้ม “ข้าอยู่ที่นี่ ข้าไม่คู่ควรขนาดที่จะเรียกว่าหมอเทวดาหรอกนะแม่ทัพผู้นี้…”
วืด
ตรงหน้าเขา ทหารเหล่านี้พลันคุกเข่าลง ทั้งแม่ทัพเองก็คุกเข่าลงข้างหนึ่งและประสานมือคารวะเหนือศีรษะตน “ยาที่หมอเทวดาฉินมอบให้แก่พวกเราได้ช่วยชีวิตทหารนับไม่ถ้วนที่สถานีชายแดน ข้าได้รับคําสั่งให้คอยป้องกันสถานีชายแดน จึงมิอาจมีโอกาสเข้าไปกล่าวขอบคุณหมอเทวดาฉินที่เมืองหลวงได้ ไม่คิดเลยว่าหมอเทวดาฉินจะให้เกียรติมาเยี่ยมเยือนพวกเราด้วยตนเอง โปรดรับการคารวะจากพวกเราเหล่าทหาร!”
ฉินมู่รีบยกมือขึ้นแล้วกล่าว “ลุกขึ้นเถอะท่านแม่ทัพ ยาหยางพิสุทธิ์เผาแมลงของข้าได้ผลดีหรือ”
แม่ทัพเปี่ยนยืนขึ้นและเส้นผมขาวของเขาขยับไหวไปมาเมื่อเขาผงกหัว “ได้ผล ตอนนี้พวกหมอผีแห่งจักรวรรดิคนเถื่อนตี้ไม่อาจทําร้ายพวกเราด้วยเวทมนตร์ได้อีกต่อไป ไม่มีผู้ใดในด่านชิงเหมินที่จะไม่รู้สึกซาบซึ้งในความกรุณาของหมอเทวดา”
“นั่นหนักหน่วงเกินไป มันเป็นแค่การช่วยเหลือเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น”
ฉินมู่ยิ้ม “แม่ทัพเปี่ยน นี่คือคณบดีป้าซานจากมหาวิทยาลัยจักรวรรดิของเรา ส่วนคนนี้คือองค์หญิงเจ็ด”
เปี่ยนเสินอวิ๋นกล่าว “ได้ยินกิตติศัพท์ชื่อเสียงของคณบดีป้าซานมาช้านานราวอสนีบาตฟาดกรอกหู มาวันนี้ได้พบตัวจริงก็สมกับคํารํ่าลือ ส่วนสําหรับองค์หญิงเจ็ด…”
สีหน้าเขาครํ่าเครียดลงไปและยิ้มหยัน “องค์หญิงมาเที่ยวเล่นอะไรที่นี่ในสถานที่รกร้างห่างไกลเช่นนี้ หากว่าเกิดอะไรขึ้นกับนางใครจะเป็นคนรับผิดชอบ”
คณบดีป้าซานยิ้มกล่าว “ข้าเป็นคนที่หมายจะพาพวกเขาออกมาฝึกฝนแสวงประสบการณ์ แม่ทัพเปี่ยนช่วยผ่อนปรนให้หน่อยได้หรือไม่”
เปี่ยนเสินอวิ๋นมีสีหน้าดีขึ้นและกล่าวอย่างไม่ค่อยเต็มใจ “เห็นแก่หมอเทวดา ข้าจะผ่อนปรนให้ท่าน คณบดีคิดจะพาพวกเขาไปที่ด่านชิงเหมินเพื่อแสวงประสบการณ์อย่างนั้นหรือ”
คณบดีป้าซานส่ายหน้า “เปล่า ข้าจะพาไปที่จักรวรรดิคนเถื่อนตี้”
เปี่ยนเสินอวิ๋นกระโดดโหยงด้วยความตกใจแล้วร้องออกมา “ท่านคิดจะเข้าไปในจักรวรรดิคนเถื่อนตี้? ท่านจะเข้าไปหาที่ตายหรือ ตอนนี้ 2 ประเทศรบราฆ่าฟันกัน ถ้าท่านบุ่มบ่ามเข้าไปต้องถูกสังหารเป็นแน่! ยิ่งไปกว่านั้นองค์หญิงก็ไปกับท่านด้วย หากว่าเกิดอะไรขึ้นกับนาง ทั้งมหาวิทยาลัยจักรวรรดิมีอันได้หัวหลุดจากบ่า!”
คณบดีป้าซานยิ้มกล่าวอย่างใจเย็น “มีข้าอยู่ด้วยไม่เกิดอะไรขึ้นแน่นอน ข้าเองก็มีหูมีตาในจักรวรรดิคนเถื่อนตี้เช่นกัน”
เปี่ยนเสินอวิ๋นยิ้มหยัน “ทําไมข้าต้องใส่ใจมากมายด้วย นี่เป็นธุระเรื่องราวของมหาวิทยาลัยจักรวรรดิท่านแม้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นมาจริงๆ ผู้รับผิดชอบก็คือมหาวิทยาลัยจักรวรรดิ หมอหลวงฉิน เชิญท่านเข้าเมืองก่อน”
หลิงอวี้จิวรู้สึกกังวล ตอนแรกที่คณบดีป้าซานบอกพวกเขาว่าจะพาไปฝึกฝนหลังกําแพงใหญ่ นางคิดว่าเพียงไปที่ชายแดนแต่ไม่นึกเลยว่าคณบดีป้าซานตั้งใจจะบุกเข้าไปในใจกลางจักรวรรดิคนเถื่อนตี้!
แต่ถึงอย่างไร นางเป็นคนใจกล้าชอบความท้าทาย และถึงกับเคยติดตามฉินเฟยเยว่เข้าไปในแดนโบราณวินาศ และในตอนนี้เมื่อได้ยินว่าพวกเขากําลังจะบุกเข้าไปในจักรวรรดิคนเถื่อนตี้ ถึงจะกังวลอยู่บ้าง แต่ความตื่นเต้นนั้นล้นเหลือ
เมื่อยามราตรีมาถึง ก็มีงานเลี้ยงจัดขึ้นที่จวนแม่ทัพ เปี่ยนเสินอวิ๋นนํากองทหารเชื้อเชิญฉินมู่ให้เข้าร่วมงานเลี้ยง คณบดีป้าซานและคณะเองก็ได้รับคําเชิญแต่ในฐานะผู้ติดตาม
เช้าวันถัดมา เปี่ยนเสินอวิ๋นส่งพวกเขาออกไป และมอบก้อนตําลึงทองคําให้ถาดหนึ่ง “จักรวรรดิคนเถื่อนตี้ไม่รับเหรียญสมบูรณ์พูนสุข และรับแต่ตําลึงทองคําเท่านั้น หมอเทวดาโปรดรับมันไว้เป็นค่าใช้จ่ายระหว่างเดินทาง”
ฉินมู่กล่าวขอบคุณ
ทุกๆ คนขึ้นไปบนหลังวัว และวัวเขียวก็เริ่มออกเดินจากด่านชายแดน
พวกเขาเดินทางผ่านลิ้นเป็ดแห่งแดนโบราณวินาศและข้ามกําแพงใหญ่ไป พวกเขาเห็นผงคลีคลุ้งไปหมด และภายในฝุ่นผงที่ล่องลอยไปทั่วนั้น ก็มีสัตว์หน้าตาประหลาดจํานวนหนึ่งที่มีหนามกระดูกงอกอยู่บนหัววิ่งเข้ามา และยังมีแม่ทัพร่างสูงใหญ่กํายําจากเผ่าอื่นขี่มาบนหลังสัตว์พิลึกนี้ พลางตะโกนด้วยเสียงอันดัง “ยะโห้ว!”
คณบดีป้าซานก้าวเท้าขึ้นไปเหยียบยืนบนศีรษะมหึมาของวัวเขียว ด้วย 2 เท้าเขาเหยียบบนเขาวัว เขาพลันถลกเปิดเสื้อคลุมขนเซเบิลของตน
แม่ทัพจากเผ่าอื่นเห็นรอยสักบนหน้าอกเขาและพลันตะโกนเพื่อยับยั้งสัตว์ประหลาดที่เขาขี่อยู่ พวกเขานั่งอยู่บนหลังสัตว์ขี่และคารวะป้าซาน ก่อนที่จะชักสัตว์ขี่ของตนวกกลับแล้วตะบึงจากไป
คณบดีป้าซานปิดคลุมหน้าอกของตนไว้ดุจเดิม และลงมาจากศีรษะวัว ฉินมู่และหลิงอวี้จิวประหลาดใจเล็กน้อย และไม่รู้ว่าทําไมคนเถื่อนเหล่านั้นถึงคารวะเขาเมื่อพบเห็น
เมื่อพวกเขามาถึงด่านชายแดนของจักรวรรดิคนเถื่อนตี้ มันก็มีเมืองอันสูงใหญ่ซึ่งมีการรักษาการณ์อย่างเข้มงวดกวดขัน คณบดีป้าซานพวกทุกคนมาที่ข้างล่างกําแพงด่านและทันใดนั้นประตูด่านก็เปิดอ้า และมีทหารคนเถื่อนจํานวนมากออกมาตั้งแถวเรียงราย 2 ข้างทางรอต้อนรับพวกเขาเข้าไปในด่านด้วยความ เคารพอย่างยิ่ง
สองหนุ่มสาวยิ่งฉงนฉงาย
ในตอนนี้เอง แม่ทัพที่คุ้มกันสถานีชายแดนของจักรวรรดิคนเถื่อนตี้ก็เดินเข้ามาแล้วหัวเราะด้วยเสียงอันดัง “ข่านบู๊ผู้ไร้เทียมทานในโลกหล้า ราชาแห่งทุ่งหญ้าของเรา นานมากแล้วที่ข้าไม่ได้พบหน้าท่าน ตั้งแต่เมื่อท่านผู้สูงศักดิ์ลดตัวไปรับใช้เป็นขุนนางให้จักรวรรดิสันตินิรันดร์ นับแต่นั้นชื่อเสียงของข่านบู๊ก็มีแต่เหม็นโฉ่!”
คณบดีป้าซานหัวเราะร่า “ตัวข้าจริง ๆ แล้วก็ไม่ใช่ผู้คนจากทุ่งหญ้า ข้าเพียงแต่เอาชนะนักรบของพวกเจ้าจึงได้รับการยกย่องให้เป็นข่านวิทยายุทธ์”
“ข่านบู๊?” ฉินมู่และคนอื่นๆ ต่างก็มองหน้ากันอย่างสงสัยใจ และฮู่หลิงเอ๋อก็โพล่งถามขึ้นมาทันที “คณบดี ที่อกท่านสักอะไรไว้ และทําไมพวกเขาถึงต้องคารวะท่านเมื่อพบหน้า”
คณบดีป้าซานเลิกเสื้อของเขาแล้วยิ้มกล่าว “อ่ะดูสิ”
ฉินมู่มองไปและเห็นรูปกะโหลกอันพิลึกพิลั่นที่เต็มไปด้วยหนามกระดูกสักอยู่บนอกของเขา
“นี่คือรอยสักของข่านแห่งจักรวรรดิคนเถื่อนตี้ มันได้รับการปลุกเสกจากหมอผีใหญ่แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ของจักรวรรดิคนเถื่อนตี้ และมีไม่กี่คนที่ได้รับมันมา”
คณบดีป้าซานปิดเสื้อของเขาลงคืนแล้วกล่าว “แต่เดิมข้าเป็นข่านของจักรวรรดิคนเถื่อนตี้ เมื่อครั้งโน้นข้าติดตามอาจารย์ท่องเที่ยวไปทั่วหล้าและพวกเราได้มายังจักรวรรดิคนเถื่อนตี้ พวกเราได้ยินว่าจักรวรรดิคนเถื่อนตี้ยกย่องวิชาบู๊ ข้าก็เลยได้ต่อสู้กับยอดฝีมือทั้งหลายแห่งทุ่งหญ้า เอาชนะร้อยศึกโดยไม่พ่ายแพ้แม้แต่ครั้งเดียว ดังนั้นข้าจึงได้รับการยกย่องให้เป็นข่านบู๊ ข่านบู๊นั้นมีความหมายเทียบเท่ากับจักรพรรดิบู๊ในคลังศัพท์ของจักรวรรดิสันตินิรันดร์”