Skip to content

Tales of Herding Gods 75

75. ทรัพย์สินของฉินมู่

ปราณชีวิตของท่านยายซีท่วมท้นขึ้นมา และเทพสวรรค์แปดเศียรแปดกรก็ปรากฏเบื้องหลังนาง มันเหมือนกับวิชาเทวฤทธิ์แปดเท่าของฝูอวิ๋นตี้ ฉินมู่เพ่งพิศอย่างถี่ถ้วนก็มิอาจหาจุดแตกต่าง

“นิพนธ์เสกสรรในคัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิตน่าอัศจรรย์จริงๆ สมคำร่ำลือว่าเป็นคัมภีร์ที่ทำให้สำเร็จเทพสำเร็จมาร”

เฒ่าบอดอุทานทึ่ง แล้วจึงถามต่อ “นี่คือวิชาเทพสวรรค์เสกสรรในนิพนธ์เสกสรรหรือเปล่า”

ท่านยายซีพยักหน้า นางกล่าวด้วยเสียงของฝูอวิ๋นตี้ “นิพนธ์เสกสรรในคัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิตแบ่งเป็น ฟ้า ดิน มนุษย์ เทพ ภูต มาร วิญญาณนิพนธ์ วิชาเทพสวรรค์เสกสรรเหมาะใช้ในการเลียนแบบวิชาอื่นๆ”

เฒ่าบอดนิ่งไปครู่หนึ่ง กล่าว “ข้าก็ไม่อยากจะยุ่มย่ามมากหรอกนะ แต่นี่มู่เออก็สิบสี่ปีแล้ว ดังนั้นข้าคงต้องย้ำเตือนเจ้าอีกหน ตอนนี้มู่เอ๋อเป็นจ้าวลัทธิน้อยของลัทธิมารฟ้าและจะต้องไปจากแดนโบราณวินาศในสักวันหนึ่ง แล้วเมื่อไหร่เจ้าจึงจะถ่ายทอดคัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิตให้กับเขา”

ฉินมู่เองก็ฉงนใจ สองปีที่ผ่านมานี้ ท่านยายซีมิได้ถ่ายทอดคัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิตให้กับเขา ไม่แม้แต่จะพูดถึงมัน

ท่านยายซีถอนหายใจ “เฮ้อ หากข้าปล่อยให้เขาฝึกปรือคัมภีร์มารฟ้าในตอนนี้ มันอาจจะทำให้ความคิดเขาบิดเบี้ยว ธรรมชาติในวิชานี้เข้มข้นจนเกินไป”

เฒ่าบอดพยักหน้า คัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์แห่งลัทธิมารที่ยกย่องกันทั่วไปว่าสามารถทำให้ผู้คนสำเร็จเทพสำเร็จมาร คัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิตย่อมต้องมีธรรมชาติมารอันเข้มข้น แม้แต่สำหรับผู้ใหญ่ที่มีปัญญาญาณสุกงอมก็อาจจะถูกล่อลวงโดยวิชามารชั่วร้ายประหลาดนับพันนับหมื่นที่บันทึกไว้ในคัมภีร์ และก้าวเดินไปในทางที่ผิด

ตัวอย่างที่เห็นกันก็อย่างเวรยามราตรีที่ฝึกวิชาเซียนเถียนไร้พันธนา เขาตีความวิชาฝึกปรือนี้ผิดพลาด และเลี้ยงงูยักษ์มาคอยดูกินปราณเซียนเถียนของทารกแรกคลอด นำไปสู่ความตายของเขาด้วยน้ำมือท่านยายซีและเฒ่าบอด

“แต่จริงๆ แล้ว หากว่าเขาสามารถเข้าใจคัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิตจนกระจ่าง การฝึกคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์นี้ก็ไม่แตกต่างจากวิชาสำนักเที่ยงธรรม ไม่มีความชั่วร้ายใดๆ แต่หากว่าตีความผิดพลาดไปแม้แต่นิดเดียว เขาก็จะตกไปสู่หนทางที่ผิด แม้ว่าจะฝึกวิชานั้นได้ก็ตาม”

ท่านยายซีปวดหัวตึ้บและกล่าวต่อ “นอกจากนั้น ต่อให้ตีความพลาดก็ยังทำให้ผู้ฝึกได้รับพลังมหาศาลในครอบครอง ทำให้นั่นยิ่งประหลาดพิลึก แต่ในการนั้นมันก็จะทิ้งช่องโหว่ในวิชาฝีมือ ข้อดีอย่างเดียวของมันคือการที่วรยุทธจะรุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว นั่นแหละลัทธิมารฟ้าจึงถูกขนานนามว่าลัทธิมารฟ้า ตอนแรกที่ลัทธิก่อตั้ง ลัทธิมารฟ้ามีนามเดิมว่าลัทธินักบุญสวรรค์ ร่ำลือกันว่าลัทธินี้ก่อตั้งโดยนักบุญที่มาจากสรวงสวรรค์ผู้หมายเผยแผ่แสงสว่างแห่งปัญญาแก่สรรพชีวิต จึงถ่ายทอดวิชาลงมา แต่ทว่าสาวกลัทธิหลายต่อหลายคนฝึกปรือวิชาอย่างผิดๆ และวิชาเหล่านั้นยิ่งมาก็ยิ่งชั่วร้าย ทำให้ในกาลต่อมาลัทธิจึงถูกเรียกว่าลัทธิมารฟ้า แม้ว่ามู่เอ๋อจะมีความคิดเป็นของตนเองไม่ถูกชักจูงโดยง่าย แต่ข้าก็เกรงว่าเขาจะตีความนิพนธ์ในคัมภีร์ผิดพลาด หากว่ายื่นคัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิตให้กับเขาไปเฉยๆ”

นางพลันโจนทะยานขึ้นไปบนอากาศทางทิศเมืองเขตมังกร “ข้าจะกลับไปเมืองก่อน ไปตระเตรียมรอรับทัพหน้าของจักรวรรดิสันตินิรันดร์! พวกเจ้าตามไปพักรอในเมืองก่อน!”

หลังจากนั้นไม่นาน ฉินมู่และเฒ่าบอดก็กลับมายังเมืองเขตมังกรอีกครั้ง เมืองเขตมังกรตอนกลางวันไม่ได้ดูครึกครื้นคับคั่งเหมือนกับยามราตรี แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีชาวบ้านจากหลายหมู่บ้านก็ยังไม่ได้เดินทางกลับ

ฉินมู่และเฒ่าบอดกลับไปที่โรงเตี๊ยมเดิม และในเมื่อเถ้าแก่โรงเตี๊ยมเป็นคนของลัทธิมารฟ้า เขาจึงรู้ล่วงหน้าและตระเตรียมห้องไว้ให้เรียบร้อยแล้ว

เฒ่าบอดคึกคักขึ้นทันใด “มู่เอ๋อ ให้ข้าพาเจ้าไปเปิดหูเปิดตาที่บ่อนพนัน พวกเราสองปู่หลานวันนี้ต้องมือขึ้นชนะพนันกันอักโข!”

ฉินมู่พลันนึกถึงภาพตอนที่เฒ่าบอดถูกโยนลงกลางถนนจากบ่อนพนัน แล้วจึงส่ายหน้า “ข้าไม่ไปหรอก”

เฒ่าบอดจึงพึมพำ “เช่นนั้นเจ้าให้เหรียญมังกรข้าสักหน่อยเป็นอย่างไร…”

ฉินมู่นำถุงเหรียญออกมา เฒ่าบอดล้วงมือเข้าไปหยิบเหรียญมากำนึง แล้วเดินต๊อกแต๊กจากไปอย่างลิงโลดด้วยไม้เท้าไผ่ของเขา ฉินมู่ไม่รู้จะหัวเราะหรือร่ำไห้ เฒ่าบอดชื่นชอบการพนัน แต่ไม่ยอมใช้ความสามารถของตนในการพนัน กลับอาศัยโชคเคราะห์ล้วนๆ

ตั้งแต่ยังเด็ก ฉินมู่เรียนวิธีใช้คลื่นเสียงหยั่งวัตถุ และสามารถระบุหน้าเต๋าและโดมิโน่ได้เพียงแค่เงี่ยหูฟัง หากว่าฉินมู่ทำได้ ไฉนเฒ่าบอดจะทำไม่ได้

ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยเนตรจิตเทวะของเฒ่าบอด เขาสามารถชนะพนันขันต่อใดๆ ก็ได้ แต่เขาไม่ใช้มันโดยสิ้นเชิง และพึ่งพาแต่ดวงตน ดังนั้นเขาจึงแพ้พนันอยู่ร่ำไป

ฉินมู่เดินลงไปชั้นล่าง และเฒ่าแก่โรงเตี๊ยมก็เดินเข้ามาหาพร้อมกับรอยยิ้ม “เจ้าลัทธิน้อยกำลังจะออกไปข้างนอกหรือ ท่านต้องการให้บ่าวตระเตรียมอะไรให้หรือไม่”

ฉินมู่ส่ายศีรษะ “หน้าต่างมีหูโรงเตี๊ยมมีช่อง ไม่จำเป็นต้องเรียกข้าว่าเจ้าลัทธิน้อย เรียกว่านายน้อยก็พอ”

“ขอรับ นายน้อย”

ฉินมู่ครุ่นคิดนิดหนึ่ง ก่อนถาม “บ่อนพนันข้างๆ ใครเป็นเจ้าของ”

เถ้าแก่โรงเตี๊ยมยิ้มแก้มปริแล้วกล่าว “แน่นอนว่าเจ้าของทรัพย์สินนี้ก็คือนายน้อย หรือว่านายน้อยคิดอยากไปที่นั่นและเยี่ยมชมทรัพย์สินของท่าน บ่าวจะรีบไปเรียกเถ้าแก่บ่อนพนันมาที่นี่และรับใช้…”

“ทรัพย์สินของข้า?”

ฉินมู่สะดุ้งโหยงและตระหนกใจเล็กน้อย จากนั้นเขาส่ายหน้าแล้วกล่าว “ไม่ต้องหรอก ว่าแต่มีกิจการอะไรบ้างในเมืองเขตมังกรที่เป็นของข้า”

เถ้าแก่โรงเตี๊ยมพึมพำอยู่ครู่หนึ่งพลางนับนิ้วคำนวณ “ตลาด, บ่อนพนัน, โรงเตี๊ยม, ภัตตาคาร, หอโคมเขียว, ร้านขายของโบราณ, ร้านอุปกรณ์ครัวเรือน, ร้านขายยา, ร้านตีเหล็ก, ร้านอาวุธ… นายน้อย ในบรรดากิจการทั้งหมดในเมืองเขตมังกร กว่าครึ่งเป็นทรัพย์สินของนายน้อย และประชากรในเมืองกว่าครึ่งก็เป็นคนของนายน้อย ทุกบ่อนพนัน ทุกหอนางโลม ทุกแผงขายผัก และทุกร้านขายเนื้อในตลาด ทุกเสี่ยวเอ้อในโรงเตี๊ยม ทุกช่างตีเหล็ก ทุกผู้ช่วยนักปรุงยาและนักปรุงยาในร้านยา ทุกเจ้าของร้านขายอาวุธ ตราบเท่าที่นายน้อยถ่ายทอดคำสั่ง พวกเขาพร้อมจะสละชีวิตเพื่อนายน้อยโดยไม่ปริปาก!”

“มิน่าล่ะ เมื่อคืนนี้ถึงมีผู้คนจำนวนมากช่วยสังหารผู้ไล่ตามสะกดรอยข้า”

ฉินมู่ยืนตะลึงรับฟังจนมึนงง สักพักหนึ่งเขาจึงกล่าวอย่างแช่มช้า “บอกบ่อนพนันข้างๆ ว่าอย่าชนะพนันชายตาบอดที่มากับข้าไปเสียทุกครั้ง ปล่อยให้เขาชนะพนันเสียหน่อย แต่อย่าให้เขาชนะไปเสมอ ชนะบ้างแพ้บ้าง ให้ที่เขามีความสุขสนุกใจก็พอ”

“รับทราบ”

เถ้าแก่โรงเตี๊ยมจึงถอยไป แล้วออกจากโรงเตี๊ยมไปจัดการตามที่สั่ง ไม่นานนัก เขาก็นำชายกลางคนซึ่งสวมใส่เสื้อแพรไหมและสวมทับไว้ด้วยเสื้อคลุมขนเซเบิล นิ้วของเขาก็ประดับประดาไปด้วยแหวนหยกหลายวง เถ้าแก่โรงเตี๊ยมโค้งคารวะแล้วกล่าว “นี่คือเถ้าแก่บ่อนพนัน หัวหน้าธูปแซ่หานของลัทธิเรา”

หัวหน้าธูปแซ่หานมีสีหน้ายุ่งยากใจ “นายน้อย มิใช่ว่าบ่าวไม่ปล่อยให้ชายตาบอดผู้นั้นชนะพนัน แต่เพราะว่าเขาโกงพนันอย่างเปิดเผยด้วยวิธีแบบขอไปที หากว่าวิธีของเขาไม่ชัดเจนคาตาขนาดนั้น ข้าคงหลับตาข้างหนึ่งทำเป็นไม่เห็นได้”

ฉินมู่ฉงน “เขาโกงอย่างไรน่ะ”

หัวหน้าธูปแซ่หานกล่าวตอบ “เมื่อเล่นไพ่นกกระจอก เมื่อใดก็ตามที่ชายตาบอดผู้นี้จั่วได้ไพ่ไม่ดี เขาก็จะชี้ไปที่หน้าต่างแล้วตะโกนว่ามีนกเทพยดาอยู่ข้างนอกนั่น จากนั้นรีบสลับไพ่นกกระจอกของเขาอย่างเปิดเผยท่ามกลางสายตาของทุกคน ไม่เพียงแค่นั้นไพ่ชิ้นที่เขาหยิบมาเปลี่ยนยังเป็นสีเขียว ขณะที่ไพ่นกกระจอกของบ่อนเราเป็นสีดำทั้งหมด ข้าจนปัญญา วอนนายน้อยสั่งงานอะไรที่ยากเย็นน้อยกว่านี้ได้หรือไม่”

ฉินมู่ไม่รู้จะหัวเราะหรือร่ำไห้ เขานิ่งไปครู่หนึ่งก่อนกล่าว “ปล่อยให้เขาชนะสักสองสามตาล่ะกัน หากว่าเขาโกงอีกก็ทุบตีเขาเบาๆ หน่อย”

“บ่าวรับคำสั่ง”

หัวหน้าธูปหานหันกายกลับไปที่บ่อน ฉินมู่เองก็ตั้งสติคิด กิจการทั้งเมืองเขตมังกรเป็นของเขา? ผู้คนที่นี่มากกว่าครึ่งก็เป็นคนของเขา?

เขากลายเป็นเสี่ยใหญ่มากอิทธิพลไปตั้งแต่เมื่อไหร่

จ้าวลัทธิน้อยลัทธิมารฟ้านับว่ามีนามยิ่งใหญ่ เมื่อเทียบนี่กับสามพันกว่าเหรียญมังกรที่ข้าได้มาเมื่อวาน เทียบกันไม่ติดฝุ่น

เขารู้สึกพิลึกกึกกือ อย่างนี้ใครเป็นเจ้าของเมืองเขตมังกรกันแน่ ฝูอวิ๋นตี้ หรือว่าเขา

และยิ่งไปกว่านั้น ในเมื่อท่านยายสังหารฝูอวิ๋นตี้และสวมใส่หนังของเขา นี่ไม่แปลว่าทั้งเมืองก็ตกเป็นของยายหลานโดยสมบูรณ์แล้วน่ะหรือ

เขารู้สึกเหนือจริงและส่ายศีรษะ ก่อนออกจากโรงเตี๊ยมเพื่อเดินเล่นในเมือง เมื่อคืนนี้เขาได้แค่เยี่ยมชมวัดโบราณหน้าจวนเจ้าเมือง และวันนี้เขาวางแผนที่จะไปชมดูเสามังกรแห่งเมืองเขตมังกร

เมืองเขตมังกรอาณาบริเวณกว้างใหญ่ขนาดนี้ แต่เสามังกรก็ยังอุตส่าห์ป้องกันเขตแดนจากการรุกรานของความมืดได้ ดังนั้นพวกมันต้องมีอะไรพิเศษเหนือธรรมดา

ฉินมู่ปลุกเนตรสวรรค์และตรวจสอบเสามังกรตรงหน้าเขา พลางอุทานด้วยความทึ่ง รูปสลักบนเสามังกรคือมังกรเทวะซึ่งใหญ่โตมโหฬาร มังกรแต่ละตัวใหญ่เกือบเท่ากับซากกระดูกราชามังกรที่เขาพบเห็นในวังมังกรแม่น้ำหย่ง

มังกรเทวะเหล่านี้รัดพันรอบเสาหินอันหนาสี่สิบห้าวา ล้วนสลักไว้อย่างสมจริงดุจมีชีวิต ความสูงของเสาหินก็ห้าร้อยวา คงจินตนาการได้ว่ามังกรเทวะเหล่านี้ตัวใหญ่มหึมาแค่ไหน

ฉินมู่เงยหน้าขึ้นมอง มังกรเทวะบนเสามังกรดูจะกลับมามีชีวิต แม้ว่ามังกรเหล่านั้นจะดูดุร้าย แต่ก็มีบรรยากาศอันยิ่งใหญ่และความเป็นเทพที่ฉายเรืองรองออกมา

ในแผนที่แดนโบราณวินาศ ที่นี่ไม่ได้เรียกว่าเมืองเขตมังกร แต่เรียกว่าวังดาวมังกรฟ้า นี่คืองานฝีมือของช่างสลักเทวะ และหากข้าสามารถศึกษาริ้วรอยสลักเสลาบนรูปปั้นนี้ได้ มันต้องเสริมส่งฝีมือพู่กันและวาดภาพของข้าเป็นแน่ ข้าอาจจะสามารถเข้าใจวิชาเทวะของช่างสลักได้เลยด้วยซ้ำ!

ฉินมู่รู้สึกคึกคักขึ้นมาทันที เขาเพ่งพิศดูองค์ประกอบของริ้วรอยสลักต่าง ๆ บนเสามังกรอย่างช้า ๆ และถี่ถ้วน แม้ว่าช่างสลักเทวะที่สลักเสามังกรขึ้นมาจะไม่หมายฝังแฝงวิชาเทวะของตนลงในผลงาน ทว่าเส้นทางการสลักเสลาอันปรากฎในรูปปั้นได้แฝงฝังไว้ด้วยริ้วรอยแห่งวิชาเทวะของเขาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ สำหรับบุคคลอื่นนี่อาจจะเป็นแค่รูปสลักประดับประดา แต่สำหรับฉินมู่ที่ร่ำเรียนวิชาพู่กันและวาดภาพจากเฒ่าหนวก เขาเห็นหลักการกฎเกณฑ์อันซ่อนอยู่ภายใน

บนแผนที่แดนโบราณวินาศ ข้างๆ วังดาวมังกรฟ้ายังมีทะเลดาวซึ่งห่างจากที่นี่ไปเพียงสองร้อยลี้ ดูจากชื่อแล้ววังดาวมังกรฟ้าน่าจะเป็นนิวาสสถานของมังกรฟ้า แต่สถานที่นี้กว้างใหญ่ไพศาล หรือว่านี่จะเป็นแหล่งที่เผ่าพันธุ์มังกรมารวมตัวกัน การรุกรานของความมืดก็ได้ล้างเผ่าพันธุ์มังกรให้เหลือแต่ซาก

ฉินมู่มองไปรอบๆ ทอดถอนใจด้วยความเศร้า ทันใดนั้นก็มีเสียงร้องด้วยความตระหนกดังมาจากเบื้องบน “เด็กเลี้ยงวัว ทำไมเจ้ายังอยู่ที่เมืองเขตมังกรอีกล่ะ”

ฉินมู่ได้ยินเสียงที่คุ้นเคย และเงยหน้ามองตามทิศทางเสียง เขาเห็นศีรษะเล็กๆโผล่มาจากยอดเสามังกร และนั่นคือเด็กผู้หญิงที่พาเข้าเข้าไปกินฟรีดื่มฟรีในจวนเจ้าเมือง

หลิงอวี้จิวโบกมือให้เขาและร้องเรียก “เจ้าขึ้นมาบนนี้ได้ไหม”

ฉินมู่มองความสูงของเขาและลังเล เสาหินนี้สูงเยี่ยมเทียมฟ้า และตอนนี้ก็ไม่มีกระแสลมให้เขาหยิบยืมพลัง เขาทำได้แต่ต้องวิ่งตั้งฉากขึ้นไปบนเสา

เขาสามารถวิ่งตั้งฉากขึ้นไปบนหน้าผาภูเขาอันสูงสองร้อยสามร้อยวา แต่ไม่เคยวิ่งตั้งฉากขึ้นไปบนที่สูงห้าร้อยวาแบบนี้

ฉินมู่ก้าวถอยหลังไปสิบก้าว เขารวบรวมพลังไว้ที่ข้อเท้าโดยพลัน และดีดตัววิ่งไปยังเสามังกร ภายในไม่กี่ก้าว ความเร็วของเขาขับเคลื่อนไปถึงขีดจำกัดสูงสุด เงาร่างเขาวูบไปยังเสามังกรราวกับแสงกะพริบ เท้าของเขาพลันเหยียบขึ้นไปบนเสามังกร และวิ่งตะบึงไปข้างบนราวกับพื้นราบ!

ความเร็วและพลังระเบิดของเขาน่าาอัศจรรย์ เมื่อเขาตะบึงไปได้ราวๆ สองร้อยวาในอึดใจเดียว และยังคงวิ่งต่อไปยังยอดเสา

แย่แล้ว สงสัยจะไปไม่ถึง…

ฉินมู่พบว่าพลังระเบิดของเขามาถึงขีดจำกัด และความเร็วของเขาก็ลดลงอย่างรวดเร็ว ตอนนี้เหลือเพียงอีกห้าสิบวาเท่านั้นก็จะถึงยอดเสา

เขาฮึดวิ่งไปได้อีกราวๆ ห้าวา พละกำลังของเขาก็หมดสิ้น และเมื่อร่างของเขากำลังจะร่วงกลับลงไป ก็มีริบบิ้นยาวพุ่งมาจากยอดเสามังกรช้อนเอวเขาเอาไว้ มันกระตุกอีกคราอย่างแผ่วเบา ดึงร่างเขาลอยขึ้นไปตามทิศทางริบบิ้น

ฉินมู่พลิกตัวในอากาศ จากนั้นร่วงลงเหยียบพื้นเหนือเสามังกร เมื่อเขามองไปรอบๆ เขาพบว่ายอดเสานั้นราบเรียบประดุจลานดาดฟ้าหิน มีศีรษะมังกรสลักไว้ที่ทิศใต้ของลานดาดฟ้านี้ ซึ่งเชื่อมต่อกับลานดาดฟ้า

หลิงอวี้จิวเดินเข้ามาคลายริบบิ้นที่มัดรอบเอวของเขาออก พลางเผยรอยยิ้ม “เจ้าวิ่งขึ้นมาได้ด้วย เจ้าไม่รู้หรือ มีบันไดอยู่ในเสามังกรที่เจ้าขึ้นมาจากทางนั้นได้”

ฉินมู่มองริบบิ้นของนางแล้วอุทาน “วัสดุของริบบิ้นนี้ไม่เลวเลย”

“แน่นอน”

หลิงอวี้จิวกล่าวอย่างภาคภูมิใจ “นี่ถูกถักทอด้วยไหมหอมธรรมชาติซึ่งเป็นเครื่องบรรณาการแด่จักรพรรดิ ก็แน่อยู่แล้วว่าต้องคัดสรรคุณภาพชั้นเลิศ ลองดมดูสิ มันหอมมากเลยนะ มันเป็นกลิ่นของธรรมชาติ และไม่มีทางจางหายไป”

ฉินมู่ค้อมศีรษะจมูกฟุดฟิด และพบว่ามันมีกลิ่นหอมเบาบาง เขาจึงยิ้มแล้วกล่าว “ข้าก็มีผ้าเช็ดเหงื่อที่ถักทอด้วยไหมหอมธรรมชาติเหมือนกัน มันมีกลิ่นเดียวกันเด๊ะๆ” เมื่อเขากล่าวจบ เขาก็ล้วงเอา ‘ผ้าเช็ดเหงื่อ’ ที่ว่าออกมาจากอกเสื้อ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version