Skip to content

Tales of Herding Gods 76

76. กองกำลังหมาป่าพยัคฆ์

ฉินมู่เขย่าให้ ‘ผ้าเช็ดเหงื่อ’ คลี่ออกมาเต็มผืน และเพ่งพิศคุณภาพเนื้อไหม “ถึงว่าล่ะข้าคิดว่ากลิ่นของเจ้าหอมคุ้นจมูก ที่แท้เราก็ใช้ผืนผ้าชนิดเดียวกัน”

หลิงอวี้จิวมองไปที่ ‘ผ้าเช็ดเหงื่อ’ ของเขา และใบหน้าของนางก็พลันแดงสดใสราวลูกตำลึงสุก ราวรีบฉวยคว้าผ้าเช็ดเหงื่อนั้นมาด้วยความโกรธและอาย “นี่มันของข้า! มันไปอยู่กับเจ้าได้อย่างไร เจ้าถึงกับใช้มันเป็นผ้าเช็ดเหงื่อ! ข้าไม่สนใจเจ้าแล้ว!”

เด็กสาวขยี้เท้าอย่างขัดเคือง แล้วไปนั่งจุ้มปุ๊กอยู่ที่ศีรษะมังกรหิน นางเท้าคางของนางแล้วมองไปที่อื่นไกลๆ

ฉินมู่ตะลึง “นี่เป็นผ้าเช็ดเหงื่อของเจ้าหรือ”

“มันไม่ใช่ผ้าเช็ดเหงื่อ!”

หลิงอวี้จิ้วโมโห “นี่มันคือ…คือ… โอ๊ย ข้าไม่สนใจเจ้า!”

“หากว่ามันไม่ใช่ผ้าเช็ดเหงื่อแล้วมันคืออะไร”

หนุ่มน้อยงุนงง “ท่านปู่เป๋ส่งนี่ให้ข้าและบอกว่ามันใช้สำหรับเช็ดเหงื่อ ข้าเห็นว่าเนื้อผ้าคุณภาพดีจึงพกติดตัวมาด้วย ในเมื่อนี่เป็นของเจ้า ข้าก็จะคืนให้เจ้า ทำไมต้องโมโหด้วย”

หลิงอวี้จิวโยนเสื้อชั้นในของนางทิ้งไปด้วยความโมโห “ถึงเจ้าจะคืนให้ข้า ข้าก็ไม่เอา!”

ฉินมู่รีบใช้ปราณชีวิตม้วนพันเสื้อชั้นในสตรีกลับมาในมือเขาแล้วกล่าว “หากว่าเจ้าโยนทิ้งไปแบบนี้ คนอื่นๆ ก็จะเก็บมันกลับไปใช้เป็นผ้าเช็ดเหงื่ออยู่ดี เอาให้ข้าไม่ดีกว่าหรือ เวลาข้าฝึกวิชา เหงื่อข้าออกตั้งเยอะแยะ”

หลิงอวี้จิวขัดใจ “คืนมาให้ข้านะ!”

เด็กหนุ่มยิ่งฟังยิ่งงง “ทำไมข้าต้องคืนให้เจ้าล่ะ ในเมื่อเจ้าจะโยนมันทิ้งอยู่แล้ว ไม่ดีกว่าหรือที่ยกให้ข้าไปใช้ทำประโยชน์เช็ดเหงื่อไคล…”

หลิงอวี้จิวฉวยคว้ามันกลับไป แล้วครุ่นคิด จากนั้นนางจึงล้วงผ้าเช็ดหน้าออกมาแล้วยื่นให้เขา “ผ้านี่เป็นของส่วนตัวของเด็กผู้หญิง เจ้าเป็นผู้ชายไม่อายบ้างหรืออย่างไรที่จะใช้มันน่ะ ให้ข้ายกผ้าเช็ดหน้าผืนนี้ให้เจ้าแทน มันก็ถักทอจากไหมหอมธรรมชาติเช่นกัน แถมยังมีลายปักฝีมือข้าอยู่นั้นด้วย ใช้นี่แหละเช็ดเหงื่อเจ้า”

ฉินมู่รับผ้าเช็ดหน้ามา และเห็นบนผ้าเช็ดหน้าปักลายหัวหมูบิดๆ เบี้ยวๆ “ลายปักนี้น่าเกลียดจริงๆ”

หลิงอวี้จิวทั้งโมโมทั้งกระสับกระส่าย “ถ้าเจ้าไม่เอาก็คืนมาเดี๋ยวนี้!”

ฉินมู่รีบเก็บเข้าชายเสื้อ แล้วเดินเข้าไปนั่งข้างๆ นาง “เจ้าเอาผ้าเช็ดเหงื่อข้าไป ก็สมควรแล้วที่จะต้องให้ของชดเชยกับข้า ผ้าผืนที่เจ้าเอาไปยังใหญ่กว่าผ้าเช็ดหน้าผืนนี้ ข้าเสียอีกที่เป็นฝ่ายเสียเปรียบน่ะ”

ดวงตะวันขึ้นสูงบนท้องฟ้า แสงอาทิตย์แรกวสันต์ให้ความอบอุ่นกำลังเหมาะ เมื่อเด็กหนุ่มเอนตัวนอนลงดูริ้วเมฆอันลอยเลื่อนบนท้องฟ้า

หลิงอวี้จิวกะพริบตาสองสามที ก่อนจะถาม “เจ้าคิดว่าคุณชายเจ็ดที่เจ้าว่าอ้วนนั้นหน้าตาดีไหม”

ฉินมู่ขบคิดนิดหนึ่งก่อนตอบไป “เขาก็พอดูได้ แต่มีกลิ่นอายของสตรีเพศเยอะไปหน่อย ทำให้เขาดูเหมือนผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย”

หลิงอวี้จิวลูบไล้ปอยผมนางที่ลงมาระหน้าอกโดยไม่รู้ตัว ก่อนจะหัวเราะคิกคัก “แล้วเจ้าว่าข้าหน้าตาดีไหม”

ฉินมู่หันไปมองนางด้วยสีหน้าจริงจัง แล้วกล่าว “แม้ว่าหน้าของเจ้าจะอ้วนท้วนไปหน่อย แต่ก็ค่อนข้างสวยเลยล่ะ”

หลิงอวี้จิวฟังแล้วก็พึงพอใจ จากนั้นถามอย่างสงสัย “ทำไมเจ้าถึงไม่รีบหนีไปจากเมืองหลังจากที่สังหารบุตรของฝูอวิ๋นตี้ล่ะ”

“มีบางอย่างที่ข้าต้องทำที่นี่”

ฉินมู่หลับตาพริ้มแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “กองทัพใหญ่ของจักรวรรดิสันตินิรันดร์กำลังมุ่งหน้ามา ข้ากลับมาเพื่อหยุดยั้งการรุกรานของจักรวรรดิ”

ใจของหลิงอวี้จิวเต้นตึกตักขึ้นมาทันที นางมีสีหน้าเคร่งเครียดและเอ่ยถาม “เจ้ารู้ไหมว่าเจ้าเหมือนเอาไข่ไปเขวี้ยงใส่หิน ไพร่ฟ้าประชาราษฎร์ในจักรวรรดิสันตินิรันดร์ล้วนแต่มีชีวิตอันสงบสันติและทำงานกันด้วยความสุข ทุกสำนักทุกแซ่ตระกูลล้วนแต่เคารพกฎหมายของราชสำนัก อันธำรงระเบียบเรียบร้อยในจักรวรรดิ ที่ชายแดนของพวกเราไม่มีสงครามใดๆ อย่างมากก็ข้อพิพาทกันเล็กๆ น้อยๆ แล้วอย่างนี้จักรวรรดิจะไม่ดีกว่าแดนโบราณวินาศได้อย่างไร แดนโบราณวินาศปั่นป่วนวุ่นวายแค่ไหน ผู้คนที่นี่ไม่มีหนทางทำมาหากิน ต้องปล้นชิงฆ่าฟันกันเป็นนิจ พวกเขาแทบไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามื้อหน้าจะมีอะไรกินหรือไม่ เมื่อข้ามาแดนโบราณวินาศ ข้าเห็นผู้คนนับไม่ถ้วนขายลูกชายขายลูกสาว สถานการณ์ของพวกเขาน่าเวทนานัก ดังนั้นกองกำลังของจักรวรรดิสันตินิรันดร์จึงมาด้วยเจตนาดี มาสร้างระเบียบและความอุดมสมบูรณ์แก่แดนโบราณวินาศ เจ้าน่ะควรล้มเลิกความคิดต่อต้าน และเปลี่ยนไปรอต้อนรับราชครูสันตินิรันดร์จะดีกว่า”

ฉินมู่ลืมตาขึ้น สายตาของเขาลึกซึ้งซ่อนนัย “ผู้คนแห่งแดนโบราณวินาศก็ไม่ได้อยากอยู่ที่นี่เหมือนกัน แต่ข้าได้ยินว่าผู้คนแห่งแดนโบราณวินาศ ถูกเรียกว่าผู้คนที่ถูกเทพเจ้าละทิ้ง หากว่าพวกเขาไปจากแดนโบราณวินาศ พวกเขาก็จะถูกจับที่ชายแดนจักรวรรดิสันตินิรันดร์ บางคนก็ถูกสังหารฆ่าฟันเสียเดี๋ยวนั้น และบางคนก็ถูกส่งไปเป็นทาสทำงานเหมืองจนกว่าจะตกตายในไม่กี่ปี”

เขาลุกขึ้นนั่งและประสานมือไว้ที่หัวเข่าตน สีหน้าของเขานิ่งสงบ “พวกเขาเพียงอยากจะมีชีวิตอยู่ต่อไป แต่กลับตายเร็วยิ่งกว่าเดิมเมื่อไปยังจักรวรรดิสันตินิรันดร์ อย่างนั้นไม่ดีกว่าหรือถ้าพวกเขาจะยังคงอาศัยในแดนโบราณวินาศที่ยังพอประทังชีวิตได้ หากว่าจักรวรรดิสันตินิรันดร์เข้ายึดครองแดนโบราณวินาศ พวกเขาจะจัดการพวกเรา ผู้คนที่ถูกเทพเจ้าละทิ้งอย่างไร พวกเขาจะฆ่าฟันเราหรือเอาเราไปเป็นทาส?”

“น้องสาวอวี้จิว จักรพรรดิแห่งจักรวรรดิสันตินิรันดร์และราชครูสันตินิรันดร์ไม่ได้มีประชาชนคนทั่วไปอยู่ในสายตา สิ่งที่พวกเขาใส่ใจมีแค่ดินแดนอาณาเขต…ดินแดนที่ถูกเทพเจ้าละทิ้ง สำหรับผู้คนที่ถูกเทพเจ้าละทิ้งนั้นซึ่งต้องเผชิญกับการรุกรานของความมืดทุกค่ำคืน และทุกเช้าพวกเขาก็ต้องผจญอันตรายในการออกล่า แต่อย่างน้อยพวกเขาก็ยังพอมีชีวิตอยู่ได้ และหาอยู่หากินให้ลูกหลายดำรงชีพต่อไป แต่ทว่าเมื่อจักรวรรดิสันตินิรันดร์เข้าครอบครองที่นี่ ผู้คนเหล่านั้นก็จะไม่มีที่ที่พวกเขาจะอยู่ได้อีกต่อไป”

หลิงอวี้จิวรับฟังจนอึ้งใจ นางไม่เคยคิดเรื่องพวกนี้เลย นางแค่คิดว่าจักรวรรดิสันตินิรันดร์นั้นถูกต้องชอบธรรม และไม่ได้ขบคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับผู้คนดั้งเดิมที่อาศัยอยู่ที่นี่

นางอดไม่ได้จึงถามต่อ “แต่เจ้าไม่รู้หรือ หากว่าเจ้าต่อสู้กับกองทัพใหญ่ของจักรวรรดิสันตินิรันดร์ ก็มีแต่ตายเท่านั้น! ไม่มีโอกาสรอดเลยสักนิด!”

ฉินมู่เผยรอยยิ้มแจ่มจ้าอันเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ เขาเงยหน้ามองไปทางทิศตะวันออก “ไม่เลย! จักรพรรดิและราชครูสันตินิรันดร์จะต้องเจอกับอุปสรรคที่นี่ พวกเขาจะพบกับกำแพงมหึมาอันไม่อาจก้าวข้ามไปได้ และกองกำลังของพวกเขาก็จะถูกริดรอนเขี้ยวเล็บ! เขาไม่รู้หรอกว่ามีอะไรซุ่มซ่อนอยู่ในดินแดนเปี่ยมมนตราแห่งนี้ และจะต้องเผชิญกับอะไร! ตำนานไร้พ่ายของสันตินิรันดร์จะจบลงที่นี่ วันนี้!”

หลิงอวี้จิวผุดลุกขึ้นทันทีและร้องด้วยความโกรธ “เจ้ามันลาโง่ดื้อดึง! ทำไมข้าต้องสนใจเจ้าด้วยว่าเจ้าจะตายในเมืองนี้หรือไม่”

ฉินมู่ลุกขึ้นเช่นกันและจ้องตานาง “ผู้คนที่ถูกละทิ้งมีแต่เผชิญความตายเมื่อไปยังจักรวรรดิสันตินิรันดร์ และบัดนี้จักรวรรดิวางแผนที่จะรุกรานที่นี่ฮุบรวมแดนโบราณวินาศให้เป็นอาณาเขตของจักรวรรดิ ผู้คนที่ถูกละทิ้งที่นี่คงจะต้องล้มตายอย่างไม่ต้องสงสัย และในเมื่อไม่ว่าจะสู้หรือไม่สู้ พวกเราก็ต้องตกตาย ทำไมผู้คนที่ถูกละทิ้งถึงจะไม่สู้กลับล่ะ เพื่อความหวังแม้น้อยนิดในการเอาชีวิตรอด”

หลิงอวี้จิวหน้าแดงพูดไม่ออก นางเดินกลับจากเศียรมังกรมายังลานหินดาดฟ้า นางหันกลับไปมองเขา กัดฟันกล่าว “ข้ามาจากจักรวรรดิสันตินิรันดร์ และจุดมุ่งหมายของข้าคือการเข้ายึดครองแดนโบราณวินาศ ทำให้สถานที่แห่งนี้เป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิ”

ฉินมู่พยักหน้า

หลิงอวี้จิวกล่าวต่อ “ข้าไม่มีทางทรยศสันตินิรันดร์ ใครก็ตามที่ต่อต้านจักรวรรดิสันตินิรันดร์ นับว่าเป็นศัตรูของข้า!”

ฉินมู่พยักหน้าอีกครั้ง “ข้าเป็นผู้คนที่ถูกละทิ้ง และข้าก็ไม่มีทางทรยศแดนโบราณวินาศ”

หลิงอวี้จิวฟังแล้วก็หันหลังกลับและเดินมุ่งหน้าไปยังบันไดของลานหินนี้ ร่างของนางหายลับไป แต่เสียงของนางยังถ่ายทอดมาจากในเสาหิน “หากว่าข้าเจอเจ้าในสนามรบ ข้าจะไม่ปรานีแน่!”

ฉินมู่มองไปไกลๆ และมองเห็นผงคลีที่ตลบอยู่ไกลๆ คล้ายกับหมอกหนาอันปกคลุมยาวกว่าร้อยลี้อันคืบคลานเข้ามาทิศทางนี้ เขาพึมพำ “ข้าก็เช่นกัน”

ในหมอกหนานั้น สัตว์ยักษ์หลายพันตัวกำลังดุ่มเดินไปข้างหน้า พวกมันมีงวงยาวและร่างกายอันใหญ่โตราวภูเขา ทั้งเนื้อตัวมันปกคลุมด้วยเกราะกระดูกและยุทโธปกรณ์หนักๆ จำนวนมาก ทว่าความเร็วของม้ามิได้ลดทอนเลยแม้แต่นิด เมื่อมันดุ่มเดินไป เกราะกระดูกของมันก็จะเสียดสีกระทบกันส่วนเสียงกร๊องแกร๊งดังสนั่น

ข้างหลังสัตว์ยักษ์เหล่านั้น คือกำลังพลจำนวนมากกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา กองทัพนี้ให้ความรู้สึกเคร่งครัดเต็มไปด้วยระเบียบ และมีธงทิวโบกไสว ที่ใจกลางกองทัพมีรถศึกเคลื่อนไปเบื้องหน้า พร้อมกับเรือบินลอยอยู่ในอากาศ

เรือบินนั้นเต็มไปด้วยทหารหาญและที่ใจกลางของเรือแต่ละลำ มีนักปรุงยาสิบกว่าคนที่ปรุงกลั่นยาเซียนและยาวิเศษอย่างบ้าคลั่ง และยังมีเด็กรับใช้คอยป้อนยาเซียนและยาวิเศษเหล่านั้นเข้าไปในหม้อใจกลางเรือ

เมื่อยาเซียนและยาวิเศษถูกโยนเข้าไปในหม้อยักษ์ มันก็แปรเปลี่ยนเป็นพลังเวทมนตร์รุนแรงแล่นจากหม้อเตานั้นไปยังรูปสลักของสัตว์กระหึ่มลมที่ส่วนท้ายเรือบิน ในปากรูปสลักสัตว์กระหึ่มลมเหล่านั้นพลันพ่นกระแสลมรุนแรงออกมา ทำให้เรือนั้นบินไปข้างหน้าได้

กองทัพจักรวรรดิสันตินิรันดร์เคลื่อนพลมาจากด่านชายแดน และนี่ยังเป็นเพียงแค่ทัพหน้า ข้างหลังนั้นยังมีกองทัพอันทรงพลังยิ่งกว่านั้นกำลังจัดริ้วพลอยู่ที่ด่านชายแดน!

และที่นี่คือจุดอันมีธงประจำตัวของราชครูจักรวรรดิชูสะบัดไหวอยู่

ฉินมู่มองไปยังทัพใหญ่ของจักรวรรดิสันตินิรันดร์ที่กำลังคืบหน้าเข้ามาใกล้ และใจตกวูบ ทหารแต่ละนายในกองทัพล้วนแต่เป็นผู้ฝึกยุทธมากฝีมือที่ผ่านประสบการณ์ต่อสู้ดุเดือดมาแล้ว สำนวนกองกำลังหมาป่าพยัคฆ์ใช้เรียกหากองทัพใหญ่เช่นนี้ได้อย่างเหมาะเจาะ!

ปะทะกับกองกำลังใหญ่เช่นนี้ ทำให้เมืองเขตมังกรอันเคยดูมั่นคงแข็งแกร่งก็คล้ายกับกระดาษบางๆ แผ่นหนึ่งที่อาจเจาะให้ทะลุได้โดยง่าย!

“จักรวรรดิสันตินิรันดร์…” ฉินมู่ข่มความตระหนกในใจและพึมพำ

ผู้ใหญ่บ้านเคยกล่าวไว้ว่า จักรวรรดิสันตินิรันดร์นั้นก็คือสำนักที่สวมคราบจักรวรรดิ แต่แต่สิ่งที่ฉินมู่เห็นพบว่าจักรวรรดินั้นมีกำลังอำนาจเหนือล้ำกว่าสำนัก มีความแน่นแฟ้นและรีดเร้นกองกำลังปะทุออกมาได้รุนแรงกว่า!

เมื่อสำนักแปรเปลี่ยนเป็นองค์กรอันมีระเบียบโครงสร้าง ซึ่งประกอบไปด้วยระบบราชการอันไม่มีผิดพลาด ทั้งยังมีประเทศเขตแดนต่างๆ ผลิตกำลังคนป้อนเข้าสู่ระบบรุ่นต่อรุ่น สำนักเยี่ยงนี้จะกลับกลายเป็นแข็งแกร่งสักเพียงไหน

กลายเป็นจักรวรรดิ คือหนทางสุดท้ายที่สำนักจะก้าวเดินไปเพื่อขยายตัว!

ในจวนเจ้าเมือง ท่านยายซีซึ่งสวมผืนหนังของฝูอวิ๋นตี้ ยืนไพล่หลังอยู่ เทพฤทธิ์แปดเท่าปรากฏอยู่เบื้องหลังนาง ทำให้เจ้าเมืองเขตมังกรฝูอวิ๋นตี้ดูเหี้ยมหาญและโอหังเป็นพิเศษ ในที่สุดราชครูก็มาถึง…”

ที่หน้าบ่อนพนัน เฒ่าบอดยืนอิงไม้เท้าของตนและเอียงหูฟังเสียงการเคลื่อนทัพใหญ่มหึมาที่ใกล้เข้ามาทุกที

หน้าตลาดสด คนแล่เนื้อที่เหลือร่างเพียงครึ่งท่อนบนกำลังลับมีดของเขา และในร้านหนังสือฝั่งถนนตรงข้าม ชายหูหนวกที่มีหูเหล็กสวมไว้แทนหูจริงกำลังวาดภาพอยู่ในลานบ้านด้านหลังร้าน พู่กันของเขายาววาครึ่ง เฒ่าหนวกตวัดพู่กันวาดภาพอย่างบ้าบิ่นราวกับเสียสติ และภาพเมฆสายฟ้าที่เขากำลังวาดอันยาวหลายวาก็พลันลอยขึ้นไปบนท้องฟ้าหลังจากที่เขาตวัดพู่กันเสร็จ

ภาพวาดนั้นลอยขึ้นไปบนท้องฟ้าและหายลับไปในที่สุด และในเสี้ยววินาทีถัดมา ท้องฟ้าก็เต็มไปด้วยเมฆดำทะมึนทั้งยังมีฟ้าแลบฟ้าผ่าเปรี้ยงปร้างลงจากก้อนเมฆ สร้างเสียงกัมปนาท

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version