77. รัชทายาทภาพสวรรค์
บนเสามังกร ฉินมู่เงยหน้ามองเห็นพื้นที่ท้องฟ้าอันถูกเมฆดำเข้าครอบงำ ซึ่งขยายตัวกว้างขึ้นกว้างขึ้น ราวกับตาพายุใหญ่อันประกอบด้วยพายุสายฟ้าจำนวนเหลือคณาที่ฟาดเปรี้ยงปร้างไม่ขาดสาย แต่ก็ไม่เกินเลยไปจากตาพายุนั้น
เมฆสายฟ้ามืดครึ้มเคลื่อนตัวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วไปยังทัพหน้าของจักรวรรดิสันตินิรันดร์ สายฟ้าพลันฟาดใส่พื้น และประกายไฟฟ้าแล่นพล่านไปทั่วราวกับอสรพิษสีทอง สร้างเสียงสะเทือนเลื่อนลั่นไปพร้อมๆ กัน
สิ่งที่ตามมาคือกระแสอสุนีบาตจำนวนนับไม่ถ้วนอันดูเหมือนจะพบเป้าหมายของมันเมื่อมันฟาดลงจากท้องฟ้า ภาพที่เห็นก็ดูราวกับคราดยักษ์ที่สับลงมาจากสรวงสวรรค์ คราดคร่ามหากองทัพของจักรวรรดิสันตินิรันดร์!
เปรี้ยง เปรี้ยง เปรี้ยง
สายฟ้าจำนวนไร้ประมาณฟาดใส่ทัพหน้าสันตินิรันดร์ และเสียงไม่ถึงชั่วอึดใจ สัตว์ยักษ์ที่นำหน้าทัพก็ถูกฟ้าผ่าจนไหม้เกรียม เมื่ออสุนีบาตฟาดลงไป สัตว์ยักษ์หลายตัวถึงกับร่างฉีกกระจุยกระจาย ราวกับว่ามันถูกฟาดเฉือนด้วยกระบี่คมกริบ
สัตว์ยักษ์เหล่านั้นร้องแปร๋แปร๋นด้วยความเจ็บปวด และวิ่งหนีกระเจิงไปทั่วสารทิศ หลายตัววิ่งตะลุยเข้าไปในกองทัพและกระทืบเหยียบทหารจำนวนมากจนแหลกเละ
คลื่นสายฟ้าฟาดตามเข้ามาฟาดใส่กองทัพอย่างติดๆ ทำให้ทั้งไพร่พลทหารม้าตกอยู่ในความปั่นป่วน ไม่รู้ว่ามีทหารกี่นายที่ตกตายจากฟ้าพิโรธเหล่านี้
เรือบินอันถูกอสุนีบาตหลายลูก ก็ติดไฟลุกโหมไหม้ หม้อเตาปรุงยาเรือระเบิดทำลาย แผดเผาสังหารนักปรุงยาและเด็กรับใช้ให้กลายเป็นมนุษย์เพลิง
ฤทธิ์ร้ายแรงของตัวยาจากหม้อยานั้นก็พวยพุ่งออกจากห้องปรุงยาลุกลามไปสู่หม้อเตาหลักขับเคลื่อนเรือให้มันระเบิดปะทุตามไปด้วย เรือบินมหึมาพลันแตกทำลายเป็นชิ้นๆ หายวับไปจากท้องฟ้า!
มีเรือบินบางลำที่หม้อเตาหลักถูกทำลายแต่ไม่มีแรงระเบิดตามมา ทำให้พวกมันร่วงลงสู่พื้นพร้อมกับควันดำหนาทึบที่พวยพุ่งจากในเรือ บดขยี้ทหารบกจำนวนมากที่วิ่งหนีไม่ทัน
ตอนแรกนั้นกองทัพของจักรวรรดิสันตินิรันดร์ก็มีบรรยากาศคุกคามน่าเกรงขามอยู่หรอก แต่ในบัดนี้ความยิ่งใหญ่เหล่านั้นสาบสูญไปโดยสิ้นเชิง หลงเหลือไว้แต่ความเละเทะไร้ระเบียบ
“แม่ทัพหลู่ เมฆสายฟ้าพวกนั้นดูไม่ชอบมาพากล ยังกับว่ามันพุ่งเข้ามาโจมตีกองทัพสันตินิรันดร์โดยเฉพาะ!”
หน่วยสอดแนมเข้ามารายงานอย่างเร่งด่วน เมื่อเข้ามาถึงใจกลางกองทัพ เขาก็คุกเข่าข้างหนึ่งประสานมือคารวะรายงาน “เมฆสายฟ้ากินพื้นที่แปดสิบลี้พอดิบพอดี และไม่มีเมฆอื่นใดนอกรัศมีแปดสิบลี้นี้!”
แม่ทัพหลู่ผู้นั้นมีร่างกายบึกบึนน่าเกรงขาม ประกายแสงวูบวาบในดวงตาของเขา และกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ให้กองพันวายุเคลื่อนกำลังมา และเป่าเมฆสายฟ้าพวกนี้ไป!”
“รับคำสั่ง! ถ่ายทอดคำสั่งแม่ทัพ ให้กองพันวายุเป่าเมฆสายฟ้าไป!”
ข้างหลังเขา มีทหารกองหนึ่งแต่งกายแปลกประหลาด และทุกนายมีขวดน้ำเต้ายักษ์อันสูงครึ่งตัวคนสะพายไว้ข้างหลัง เมื่อทหารเหล่านั้นเปิดจุกขวดน้ำเต้า สายลมดำทะมึนก็พลันลอยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าจากขวดน้ำเต้าเหล่านั้น
ทหารในกองพันเร่งเร้าปราณชีวิตของเขาและชี้ปลายนิ้ว ทำให้ลมดำเหล่านั้นหวีดหวือขยายตัว แปรเปลี่ยนเป็นพายุหมุนรุนแรงอันพัดพุ่งใส่หมู่เมฆสายฟ้าเบื้องบน
แต่ในตอนนั้นเอง ในร้านหนังสือในเมืองเขตมังกร ภาพที่สองของเฒ่าหนวกก็วาดเสร็จ มันเป็นภาพวาดของไต้ฝุ่นและลมเพชรหึง ด้วยการพลิกปลายพู่กันตวัดสุดท้าย ภาพไต้ฝุ่นและลมเพชรหึงก็ลอยลิ่วขึ้นสู่ท้องฟ้าและหายวับไป
และในขณะที่กองพันวายุร่ายเวทมนตร์ใช้ลมดำปัดเป่าเมฆสายฟ้านั่นเอง สถานการณ์ก็แปรเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว จากเมฆสายฟ้า พายุไต้ฝุ่นมหึมาราวกับขนดหางมังกรเทพยดาก็หย่อนลงมา พัดเป่าดูดดึงรี้พลจำนวนมากในกองทัพใหญ่
มันไม่ใช่แค่ไต้ฝุ่นลูกเดียว แต่มากกว่าสิบลูกที่พัดเป่าทำลายลมดำของกองพันวายุ กลืนมันเข้าเสริมกำลังของพายุหมุน ทหารจำนวนนับไม่ถ้วนถูกซัดลอยขึ้นไปบนอากาศอย่างไม่อาจช่วยเหลือตนเองได้
และที่น่าหวาดผวาไปกว่านั้นคือ เมื่อทหารเหล่านั้นถูกซัดขึ้นไปบนอากาศ สายฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วนก็ฟาดใส่พวกเขา เผาร่างให้ไหม้เกรียมเป็นตอตะโก!
ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นผู้ฝึกยุทธหรือผู้ฝึกวิชาเทวะ ก็มิอาจต้านทานมหิทธานุภาพของธรรมชาติได้!
พายุหมุนและอสุนีบาตสร้างความวินาศไปทั่ว ตามมาด้วยห่าฝนที่ซัดโซมลงมาซ้ำ ทำให้ทั้งกองทัพสันตินิรันดร์เปียกปอน และเมื่อสายฟ้าฟาดใส่พื้นดิน กระแสไฟก็ไหลแล่นไปตามน้ำช็อตเผาร่างของทหารหาญและเสริมอานุภาพของอสุนีบาตขึ้นอีกหลายเท่าตัว!
ผู้คนจำนวนมากร่างหงิกงอ และแปรเปลี่ยนเป็นศพดำเกรียมในไม่ช้า
“ภูตผีปีศาจ บังอาจนัก! กองพันเต่าดำ ยกโล่ของพวกเจ้า!”
แม่ทัพหลู่โลดเต้นด้วยความเดือดดาล และกระแทกสองมือลง ร่างของเขาพลันทะยานขึ้นไปบนอากาศ และฟาดฟันรุกไล่ใส่เมฆร้ายเหล่านั้น ร่างของเขาพุ่งไปมา ทำลายพายุหมุนและลมเพชรหึงโดยตรง
ประกายอสุนีบาตฟาดใส่เขา แต่ก่อนที่อานุภาพสายฟ้าจะเข้าถึงตัว มันก็กระดอนกลับไปจากแสงเรืองอันเปล่งออกมาจากชุดเกราะ ทำให้อสุนีบาตไม่อาจทำอันตรายเขาได้
เบื้องล่าง กองพันเต่าดำกู่ตะโกนเป็นเสียงเดียวกัน และปราณพวกเขาแปรเปลี่ยนเป็นโล่ยักษ์อันลอยขึ้นไปบนอากาศ โล่ปราณชีวิตลอยเหนือพื้นสิบห้าวา ปกคลุมป้องกันกองพันกองร้อยอื่นๆ ไม่ให้ต้องห่าฝนและสายฟ้า
ประกายอสุนีบาตก็ถูกป้องกันด้วยโล่เต่าดำ ทำให้ขวัญกำลังใจของกองทัพกลับมามั่นคง นายพันของแต่ละกองพันรีบใช้โอกาสนี้จัดระเบียบกองพันของตนเองใหม่ และสังหารทหารหนีทัพ รวมกำลังใหม่หลังจากเพลี่ยงพล้ำ
ในเมืองเขตมังกร ภาพวาดขนาดใหญ่ลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า แต่คราวนี้เป็นภาพวาดร้อยมารปีศาจ
ภาพวาดร้อยมารปีศาจจางหายไปในท้องฟ้าโดยปราศจากร่องรอย
และหลังจากนั้นไม่ถึงอึดใจ เหล่าเทพมารดุร้ายถมึงทึงก็คุกคามลงมาจากมวลเมฆสายฟ้า และกลุ้มรุมรายล้อมแม่ทัพหลู่ เพื่อสังหารคนของเขา แม่ทัพหลู่ขนหัวลุก เขารีบดิ้นรนสุดชีวิตเพื่อป้องกันการโจมตีของเทพมาร แต่ทว่าในจังหวะนั้นเอง ก็มีภาพขนาดยักษ์ลอยขึ้นมาจากเมืองเขตมังกร แม่ทัพหลู่เหลือบมองแวบหนึ่งและผวาจนแข็งทื่อ
มันเป็นภาพพายุอุกกาบาต และมีอุกกาบาตจำนวนนับไม่ถ้วนถล่มลงมาจากฟากฟ้า!
“ถอยทัพ!”
และไม่ทันที่เขาจะตะโกนขาดคำ สภาพภูมิอากาศเหนือกองทัพพลันแปรเปลี่ยน อุกกาบาตมหึมาที่มีเปลวหางลุกเป็นไฟก็พุ่งวาบร่วงลงมาจากท้องฟ้า กรีดผ่านสรวงสวรรค์ทุ่มใส่กองทัพใหญ่สันตินิรันดร์
“ภาพวาดหนึ่งบุรุษ สามารถหยุดทัพล้านไพร่พล นี่ทำให้ข้านึกถึงคนผู้หนึ่ง”
ที่ชายแดนระหว่างจักรวรรดิสันตินิรันดร์และแดนโบราณวินาศ ที่หอปราการประตูด่าน ชายกลางคนผู้มีคิ้วยาวคมประดุจดาบยืนอยู่ เบื้องหลังเขามีเหล่าแม่ทัพ ชายกลางคนผู้นี้คือราชครูแห่งจักรวรรดิสันตินิรันดร์ และแม้ว่ากองทัพใหญ่สันตินิรันดร์จะตกอยู่ในสภาวะคับขันขนาดนั้น เขาก็ยังคงไม่มีท่าทีแตกตื่นและกล่าวอย่างใจเย็น “ครั้งเมื่อประเทศภาพสวรรค์ยังคงไม่สิ้นแผ่นดิน รัชทายาทภาพสวรรค์เป็นมังกรในฝูงชนรุ่นเดียวกัน และพรสวรรค์ของเขาไร้เทียมทาน เขายังเป็นชายที่รูปงามที่สุดในประเทศภาพสวรรค์และยังมีฝีมือสูงส่งที่สุด ทว่าเขางมงายอยู่แต่กับงานพู่กันและภาพวาด เขาเคยกล่าวว่าเขาไม่สนใจสิ่งใดในโลก และหมกมุ่นอยู่แต่กับการอ่านหนังสือโบราณและคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ และเมื่อประเทศกองทัพหมาป่ารุกรานเข้ามาหมายจะฆ่าล้างประเทศภาพสวรรค์ ประเทศภาพสวรรค์ก็มิอาจต้านทานการโจมตีนั้นได้ ในขณะเดียวกันนั้น รัชทายาทภาพสวรรค์ก็งมงายอยู่กับมรรคาพู่กันของตน จนเมื่อเขาฟื้นสติขึ้นมาอีกทีก็พบว่าประเทศกองทัพหมาป่าได้เข้ายึดครองและเข่นฆ่าประชาชนของเขา บิดาของเขา จักรพรรดิแห่งประเทศภาพสวรรค์ก็ถูกสังหารและถูกทหารนำศีรษะแห่ไปรอบๆ เมือง”
เบื้องหลังเขา บรรดาแม่ทัพแห่งจักรวรรดิสันตินิรันดร์รับฟังอย่างเงียบเชียบไม่ปริปากสอดคำ แต่กระบี่เล่มหนึ่งบนเอวของแม่ทัพพลันลอยลิ่วขึ้นไปบนท้องฟ้า และกลายเป็นรังสีแสงพุ่งวาบออกไปทิศไกลๆ มันพุ่งเข้าใส่ร้อยปีศาจและเทพมารที่อยู่ทั่วเมฆหนานั้น!
“เมื่อนั้น รัชทายาทภาพสวรรค์ก็บ้าคลั่งขึ้นมา”
ราชครูสันตินิรันดร์มีแววตาลึกซึ้งเมื่อเขากล่าวต่อ “ในเมื่อสองหูเขาไม่ใส่ใจรับฟังเรื่องราวในโลก อันนำไปสู่ความล่มสลายของประเทศ เช่นนั้นสองหูของเขาจะมีไว้ทำไม เขาเป็นคนสุดโต่งและใจบ้าบิ่น เขาจึงเฉือนใบหูทั้งสองข้างออกและทะลวงรูหูให้หนวกสนิท จากนั้นเขาจึงใช้เลือดของไพร่ฟ้าของเขาวาดภาพ และวาดออกมาเป็นรูปนรกภูมิ เขาวาดภาพนรกสิบแปดขุม”
“หลังจากนั้น ทั้งประเทศภาพสวรรค์ก็หายวับและแปรเปลี่ยนเป็นเหวลึกไร้สิ้นสุด ทหารนับล้านของประเทศกองทัพหมาป่าร่วงหล่นลงไปในเหวดำมืดนั้นกลายเป็นส่วนหนึ่งของนรกภูมิ ถูกกัดทึ้งโดยเทพมารในนรก ยอดยุทธหลายคนพยายามจะหนีออกมา แต่ก็ถูกเทพมารลากกลับลงนรก”
“หลังจากศึกนั้น ทั้งประเทศภาพสวรรค์และประเทศกองทัพหมาป่าก็ถึงจุดจบ ทั้งสองประเทศล่มสลายโดยสิ้นเชิง และรัชทายาทภาพสวรรค์ก็หายสาบสูญไปตั้งแต่บัดนั้น ข้าเคยไปยังซากของประเทศภาพสวรรค์และกระโดดลงไปในเหวทมิฬ ข้าเดินชมดูรอบๆ ขุมนรกสิบแปดขุม และเห็นภาพวาดสิบแปดขุมนรกของเขา ข้าสัมผัสได้ถึงความรวดร้าวใจไร้ทางออกในก้นบึ้งใจของรัชทายาทผู้นั้น และในคราวเดียวกันข้าก็รู้สึกเสียดายความสามารถของเขา นั่นจึงเป็นเหตุให้ข้ากราบทูลจักรพรรดิให้ตั้งหอจิตรกรศักดิ์สิทธิ์ อันที่จริงแล้ว ไม่มีใครอื่นใดที่เหมาะสมกับสมญานามจิตรกรศักดิ์สิทธิ์ยิ่งไปกว่ารัชทายาทภาพสวรรค์”
“ข้าคิดว่าคงไม่มีโอกาสได้พบพานจิตรกรศักดิ์สิทธิ์อีกแล้วในชีวิตนี้ แต่ไม่นึกเลยว่าจะได้พบเขาอีกครั้งที่ริมเขตแดนโบราณวินาศ แต่น่าเสียดายที่เขาได้กลายเป็นศัตรูของจักรวรรดิสันตินิรันดร์”
เมื่อเขากล่าวเล่า ทั้งเมฆดำทะมึน อสุนีบาต ร้อยมารปีศาจ ใต้ฝุ่นและลมเพชรหึง ต่างก็หายวับไป กลายเป็นหยาดหมึกที่ร่วงหล่นลงจากท้องฟ้า
ภาพที่เห็นทำให้รี้พลในกองทัพสันตินิรันดร์ตัวสั่นเทิ้มด้วยความหวาดกลัว ปรากฏการณ์ขนพองสยองเกล้าเหล่านั้นที่คร่าชีวิตสหายร่วมรบจำนวนมาก ที่แท้ก็เป็นเพียงน้ำหมึก!
“ท่านเจ้าเมือง มีจอมเวทชั่วร้ายสร้างความวุ่นวายอยู่ในเมือง”
ในเมืองเขตมังกร ฉินเฟยเยว่เห็นปรากฏการณ์บนท้องฟ้าก็รีบรุดเข้าไปในจวนเจ้าเมือง เขาพบท่านยายซีแล้วกล่าว “จอมเวทชั่วร้ายผู้นี้ร่ายคาถายับยั้งการเคลื่อนพลของกองทัพสันตินิรันดร์ของพวกเรา พลังอำนาจของเขาพิสดารร้ายกาจ และเขาซุ่มซ่อนอยู่ในร้านหนังสือในเมืองนี้ ข้าขอให้ท่านเจ้าเมืองส่งกำลังไปสังหารจอมเวทชั่วร้ายนั้น!”
ท่านยายซีมีสีหน้าเคร่งขรึมและแค่นเสียงเย็นชา “มีจอมเวทชั่วร้ายอย่างงั้นด้วยรึ กล้าดีอย่างไรถึงสร้างความวุ่นวายในเมืองของข้า บังอาจอะไรอย่างนี้! แม่ทัพน้อยฉินไม่ต้องห่วง ข้าจะไปประหารมันบัดเดี๋ยวนี้!” เมื่อนางกล่าวจบ นางก็รีบรุดไปยังร้านหนังสืออย่างคุกคามเขื่องโข
ฉินเฟยเยว่รีบตามไปติดๆ แต่เมื่อเขาไปถึงร้านหนังสือ ก็พบว่าทั้้งตึกนั้นว่างเปล่าไร้เงาร่างผู้คน