78. เรือตะวัน
ยายเฒ่าซีขมวดคิ้วแล้วออกคำสั่งด้วยเสียงอันดัง “ปิดล้อมเมืองเอาไว้อย่าให้ใครเข้าออก แล้วค้นหาจอมเวทผู้นั้นออกมาให้ได้! กวาดต้อนผู้คนในเมืองทุกคนให้ไปจัตุรัสกลางเมือง ข้าอยากรู้นักว่าจะมีใครหน้าไหนมันกล้าตุกติกภายใต้จมูกข้า!”
ผู้ฝึกวิชาเทวะของจวนเจ้าเมืองรับคำสั่งและรีบไล่ติดตามทุกคนในเมือง รวมทั้งพ่อค้าแม่ขายทั้งหลายให้มารวมตัวกันในจัตุรัสกลางเมือง
ฉินเฟยเยว่ก็ขมวดคิ้วนิ่วหน้า ไม่สามารถหาตัวจอมเวทที่ป่วนเมืองนั้นได้ทำให้เขารู้สึกสังหรณ์ไม่ดี
“ไม่มีอะไรต้องห่วง แม่ทัพน้อยฉิน ที่นี่เป็นเมืองของข้า ไม่มีผีสางที่ไหนที่เข้ามาปั่นป่วนได้!”
ยายเฒ่าซีที่สวมใส่ผืนหนังของฝูอวิ๋นตี้แย้มยิ้ม “และตอนนี้เมื่อพวกเรากวาดต้อนทุกคนในเมืองมารวมตัวกันที่นี่ ไม่ว่าจอมเวทผู้นั้นจะเก่งเรื่องหลบๆ ซ่อนๆ มากแค่ไหน ก็ไม่มีทางพ้นเงื้อมมือข้าไปได้! แม่ทัพน้อยจงวางใจเชื้อเชิญกองทัพจักรวรรดิเข้ามาในเมือง แดนโบราณวินาศเต็มไปด้วยพวกนอกกฎหมายเกลื่อนกลาดที่ต้องสั่งสอน! จะว่าไปแล้ว ข้าก็ได้ยินนามอันสูงส่งของท่านราชครูมาช้านาน และชื่นชมยกย่องเป็นอย่างยิ่ง ข้าแทบอดใจรอไม่ไหวที่จะได้พบกับท่านราชครู และรับการสอนสั่งจากเขา!”
ฉินเฟยเยว่ข่มระงับความกระสับกระส่ายใจ และยิ้มบางๆ “ท่านเจ้าเมืองไม่ต้องกังวล ท่านราชครูแยกแยะความชอบความผิดอย่างแจ่มชัดโปร่งใส ในเมื่อท่านเจ้าเมืองได้สร้างความชอบใหญ่หลวงให้กับจักรวรรดิสันตินิรันดร์ ท่านก็ย่อมจะได้รับการแต่งตั้งเป็นขุนนางราชสำนัก และประสบความสำเร็จเฟื่องฟูรุ่งเรือง ไม่จำเป็นต้องจับเจ่าเฝ้าเมืองรกร้างห่างไกลแบบนี้อีกต่อไป”
ยายเฒ่าซีหัวร่ออย่างสมใจยิ่ง ทันใดนั้นนางก็กล่าวอย่างเฉียบขาด “จอมเวทชั่วร้ายที่วุ่นวายทำลายเมืองจะไม่มีทางได้รับการผ่อนปรน เมื่อข้าจับมันได้ ข้าจะประหารมันให้ตายอย่างทรมาน และห้อยหัวของมันไว้ที่ประตูเมืองเพื่อตักเตือนคนชั่วช้าอื่นๆ จริงสิ ไม่ทราบว่าข้าจะขอให้แม่ทัพน้อยฉินช่วยพูดถึงข้าในแง่ดีแก่ท่านราชครูเสียหน่อยได้ไหม เพราะว่าจอมเวทที่ก่อความวุ่นวายเมื่อครู่ไม่เกี่ยวกับข้า ดังนั้น…”
ฉินเฟยเยว่เข้าใจและเผยยิ้ม “ท่านเจ้าเมืองไม่ต้องกังวล ข้ารับรองว่าจะพูดถึงความดีความชอบของท่านให้ท่านราชครูรับรู้”
ยายเฒ่าซีระบายลมหายใจโล่งอก และแววตานางก็วูบไหว จากนั้นก็หรี่เสียงลง “อันที่จริงแล้ว หลังจากปกครองเมืองนี้มาหลายต่อหลายปี ข้าก็สะสมสมบัติล้ำค่าไว้หลายชิ้น เมื่อยามที่ท่านราชครูเข้าเมือง แม่ทัพน้อยไปดูสมบัติพวกนั้นกับข้าหน่อยไหม เผื่อว่ามีอะไรต้องตาต้องใจท่าน แม่ทัพน้อยฉินสามารถนำไปได้เลย…”
ฉินเฟยเยว่หวั่นไหวขึ้นมาทันที แดนโบราณวินาศเต็มไปด้วยสมบัติล้ำค่า และแม้แต่ยุคก่อนความมืดรุกราน แดนโบราณวินาศก็ไม่เคยขาดแคลนวัตถุทรงค่าราคาสูง ปกครองเมืองเขตมังกรมาตั้งหลายปี ฝูอวิ๋นตี้ย่อมต้องได้มาซึ่งสมบัติพิสดารและหายากจำนวนนับไม่ถ้วน หากว่าเขาสามารถเข้าไปในคลังสมบัติของฝูอวิ๋นตี้เพื่อเลือกหยิบสมบัติหายากเหล่านั้นสักชิ้นสองชิ้น ย่อมจะได้ผลประโยชน์อันมหาศาล!
บนยอดเสามังกร ฉินมู่ทึ่งและอัศจรรย์ใจอย่างมหันต์เมื่อเห็นเฒ่าหนวกวาดภาพ และใช้ภาพวาดเหล่านั้นเป็นวิชาเทวะ เมื่อยังเล็กๆ เขาได้เรียนพู่กันและภาพเขียนจากเฒ่าหนวก ทั้งยังต้องอ่านหนังสืออย่างหนัก แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นเฒ่าหนวกสำแดงวิชาเทวะของตน
ด้วยพลังของคนคนเดียว หยุดยั้งไพร่พลนับแสนของกองทัพใหญ่จักรวรรดิสันตินิรันดร์ ความสามารถเยี่ยงนี้นับได้ว่าเกินคำว่ามหัศจรรย์!
หากว่าในฝั่งจักรวรรดิสันตินิรันดร์ไม่มียอดฝีมือที่คลี่คลายวิชาเทวะของเฒ่าหนวกได้ ทั้งทัพใหญ่ไพร่พลเรือนแสนเห็นที่จะต้องมาทิ้งชีวิตตกตายภายใต้วิชาเทวะนี้
“บนยอดเสานั่นใช่มู่เอ๋อไหมน่ะ”
ทันใดนั้นก็มีเสียงของคนแล่เนื้อดังมาจากข้างล่าง ฉินมู่ชะโงกหัวออกไปดูและพบว่าคนแล่เนื้อกำลังฟาดฟันมีดของเขาใส่เสามังกร แต่เขางุนงงที่เห็นว่า พลังมีดเหล่านั้นไม่มีอันใดเลยที่ตกกระทบใส่เสามังกร
เมื่อคนแล่เนื้อฟาดฟันมีด ร่างของเขาก็ลอยลิ่วขึ้นสูงขึ้นไปพร้อมๆ กัน จนกระทั่งขึ้นมาหยุดยั้งบนยอดเสา
“ท่านปู่คนแล่เนื้อ ท่านทำอะไรหรือ” ฉินมู่ถามด้วยความสงสัย
“ฝังวิชาเทวะของข้าเพื่อทำลายเสามังกร”
คนแล่เนื้อเก็บมีดเชือดหมุของตนกลับเข้าฝัก แล้วใช้สองมือยันตนเองกระโดดไปที่เศียรมังกร จ้องมองไปยังทัพใหญ่ที่กำลังรุกคืบเข้าใกล้เมือง เขากล่าว “เมื่อกองทัพใหญ่ของจักรวรรดิสันตินิรันดร์เข้ามาในเมือง วิชาเทวะของข้าก็จะระเบิดปะทุกลางดึก เสามังกรนี้ก็จะพังทลายแหลกเป็นชิ้นด้วยรังสีมีดของข้า”
ทัพหน้าของจักรวรรดิสันตินิรันดร์รับการโจมตีของเฒ่าหนวกและสูญเสียกำลังพลไปมหาศาล แต่ในขณะนี้กองทัพที่สองก็ตามมาร่วมผสานกับทัพหน้าและรีบบุกเข้ามาทางเมืองเขตมังกรด้วยความเร็ว
แม้ว่าพวกเขาจะเพิ่งเพลี่ยงพล้ำต่อการโจมตีของเฒ่าหนวก แต่เมื่อกองทัพทั้งสองรวมเข้าด้วยกัน ความเกรียงไกรและพลังอำนาจของกองทัพก็กลับเพิ่มขึ้น
ฉินมู่กระโดดโหยงและร้องออกมา “ท่านปู่คนแล่เนื้อตั้งใจจะใช้ความมืดร้ายกาจกำจัดกองทัพใหญ่จักรวรรดิสันตินิรันดร์อย่างนั้นหรือ”
คนแล่เนื้อพยักหน้าและกล่าว “ข้าได้ฝังวิชาเทวะของข้าไว้ในเสามังกรสามต้น เหลือเพียงแต่ต้นนี้ที่ไม่ได้ทำอะไร”
ฉินมู่รู้สึกหนาวเยือกถึงสันหลัง หากว่าเสามังกรทั้งสู่จู่ ๆ ก็ถูกทำลายกลางดึก สิ่งที่กองทัพใหญ่สันตินิรันดร์จะประสบก็มีแต่ถูกทำลายย่อยยับไม่เหลือซาก!
เมื่อเวลานั้นมาถึง ก็ไม่รู้ว่าจะต้องมีกี่ชีวิตที่ล้มตายในความมืดอันร้ายกาจนั้น!
ฉินมู่ลังเล “ท่านปู่คนแล่เนื้อ แต่ว่าผู้คนในเมืองนี้…”
คนแล่เนื้อฉีกยิ้ม “เมื่อครู่นี้ที่เฒ่าบอดร่ายเวทมนตร์โจมตีกองทัพสันตินิรันดร์ ยายเฒ่าซีก็ปิดล้อมเมืองและรวบรวมผู้คนให้ไปอยู่ในจัตุรัสกลางเมือง”
ฉินมู่รู้สึกโล่งอก ในจัตุรัสกลางเมืองมีวัดโบราณมากมายที่ตั้งบูชารูปสลักหินไว้หลายรูป วัดเหล่านั้นจะสามารถช่วยป้องกันความมืดรุกรานได้
ดูท่าท่านยายซีและเฒ่าหนวกได้นัดแนะกันเรียบร้อยและวางแผนการนี้ขึ้นมา เมื่อเสามังกรพังทลาย ความมืดก็จะเข้ารุกราน และจัตุรัสกลางเมืองอันรายล้อมไปด้วยวัดโบราณจำนวนมากจะกลายเป็นเขตปลอดภัย และในเมื่อประชาชนคนทั่วไปในเมืองมารวมตัวกันในจัตุรัส พวกเขาก็จะปลอดภัยไร้อันตราย
“เมื่อราตรีมาถึง กองทัพใหญ่สันตินิรันดร์ก็จะถูกทำลายล้าง ผู้ที่สามารถรอดชีวิตกลับไปได้ก็คงมีแต่ราชครูสันตินิรันดร์และยอดฝีมือจำนวนหนึ่งเท่านั้น และเมื่อเวลานั้นมาถึง ก็จะเป็นศึกชี้ขาดระหว่างพวกเรากับพวกเขา”
คนแล่เนื้อยิ้มแล้วกล่าว “ดังนั้น ผู้ใหญ่บ้านก็เลยมาที่นี่ด้วย”
ฉินมู่งงงวย ผู้ใหญ่บ้านมาแล้วจะทำอะไรได้ ในเมื่อเขาไม่มีแขนขาสักข้าง
คนแล่เนื้อตื่นเต้นหัวเราะในคอ “พวกเราจะได้เห็นสุดยอดกระบี่ยุคก่อนปะทะกับสุดยอดกระบี่ยุคนี้! พ่อมัน แม่มัน! ข้าแทบอดใจรอคืนนี้ไม่ไหว เอ๊ะ…แต่มันอะไรวะ”
สีหน้าของเขาพลันแข็งทื่อเมื่อมองไปยังที่ไกลๆ นั้น ราวกับว่าเขาเห็นผีสาง เขาตะโกนขึ้นมา “นั่นมันห่าอะไรวะ”
ฉินมู่มองตามสายตาของเขาและตะลึงไปเล็กน้อย เขาเห็นแค่จุดดำเล็กๆ และไม่รู้ว่าทำไมคนแล่เนื้อถึงต้องตกอกตกใจขนาดนี้
แต่ว่าทิศทางที่จุดดำนั้นแล่นมา น่าจะเป็นจุดที่เรียกว่าทะเลดาว ซึ่งอยู่ห่างจากเมืองเขตมังกรไปสองร้อยลี้
“แม่มึงเอ๊ย แม่มึงเอ๊ย…”
คำผรุสวาทหลุดจากปากคนแล่เนื้อมาเป็นชุด เขาพลันทะยานขึ้นไปบนอากาศ แล้วร่วงลงมาตามเดิม ก่อนจะตะโกนบอก “อยู่นี่นะ อย่าไปไหน ข้าจะไปตามหาพวกผู้ใหญ่บ้านนักปรุงยา แม่มึงเอ๊ย อยู่แดนโบราณวินาศมานานก็เพิ่งเคยพบเคยเห็นห่าอะไรแบบนี้”
ฉินมู่ฉงน เขาเพิ่งเคยเห็นคนแล่เนื้อร้อนใจจนเสียกิริยา เมื่อคนแล่เนื้อบ้าคลั่งเสียสติ เขาก็ไม่สบถสาบานหนักขนาดนี้ อย่างมากก็ตะโกนด่าท้องฟ้าสรวงสวรรค์
เมื่อมองไปยังจุดดำเล็กๆ เขาก็ตะลึงอีกครั้ง เมื่อจุดดำเล็กนั้นขยายใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว
จุดดำเล็กนั้นใหญ่ขึ้นใหญ่ขึ้น ตอนแรกมันดูเหมือนเข็มเล่มเล็กๆ ปักบนกระดาษขาว แต่ทว่าตอนนี้มันเหมือนกับหยดน้ำหมึกที่ราดลงไปบนกระดาษและขยายตัวกว้างขึ้นทุกที
ทันใดนั้น ก็มีเงาร่างวูบไหว และผู้คนหกเจ็ดคนก็ปรากฏตัวข้างๆ ฉินมู่ พวกเขาคือผู้ใหญ่บ้านไร้แขนขา นักปรุงยาไร้หน้า เฒ่าใบ้ และคนอื่นๆ
เฒ่าบอดไม่ได้มาด้วย เขาน่าจะถูกกักกันไว้ในจัตุรัสกลางเมืองพร้อมๆ กับผู้คนจากบ่อนพนัน
“โอ้ สวรรค์..”
นักปรุงยามองจุดดำนั้นและอ้าปากค้างอย่างตกตะลึง เขาพึมพำ “เรือใหญ่อะไรอย่างนี้..”
“ตำนานนั้นเป็นเรื่องจริง มีเรือแบบนี้อยู่จริงๆ ด้วย!”
ผุ้ใหญ่บ้านซึ่งอึ้งไปเหมือนกันก็พึมพำ “ทำไมเรือนี้มาปรากฏเอาตอนนี้”
เฒ่าใบ้ยืนเหม่อ จ้องมองด้วยสายตาว่างเปล่า
เฒ่าหนวกเองก็ยืนจ้องไม่ไหวติง
“ยายมึงเอ๊ย…” คนแล่เนื้อก็ยังพ่นคำสบถต่อไม่หยุดปาก
ฉินมู่ปลุกเนตรสวรรค์และพยายามเต็มที่ที่จะมองรายละเอียดของจุดดำนั้น แต่ไม่อาจเห็นอะไรได้ถนัด
ไม่นานนัก จุดดำดังกล่าวก็ขยายใหญ่ขึ้นใหญ่ขึ้น และตอนนี้มันใหญ่เท่ากับจานดำ ทั้งยังขยายไม่หยุดหย่อน ตอนนี้จานดำดังกล่าวขยายใหญ่ขนาดวาครึ่ง
สักพัก จานดำนั้นก็ใหญ่จนบดบังท้องฟ้าไปมาก
แรงสั่นสะเทือนส่งมาจากพื้นดินเบื้องล่าง ฉินมู่รู้สึกขาของเขาเป็นเหน็บชาเมื่อแรงสั่นสะเทือนนั้นแรงขึ้นและแรงขึ้น ราวกับว่ามีสัตว์ประหลาดขนาดยักษ์กำลังมุ่งหน้าตรงมา
เขารู้สึกว่าอุณหภูมิในอากาศพุ่งสูงขึ้น ราวกับว่าเป็นความร้อนของแสงอาทิตย์ที่แผดเผาพื้นโลก แต่ว่าตอนนี้ยังเป็นฤดูใบไม้ผลิ และเหลืออีกตั้งสองเดือนกว่าจะย่างเข้าหน้าร้อน
และหลังจากนั้นฉินมู่ก็มองเห็นสิ่งที่ผู้ใหญ่บ้านและคนอื่นๆ เห็น
เรืออันเคลื่อนมาจากทะเลดาวเคลื่อนเข้ามาใกล้ขึ้นใกล้ขึ้นทุกที
เป็นเรือนั่นแหละที่เคลื่อนเข้ามาใกล้ เหนือเรือนั้นมีวัตถุทรงกลมสีดำขนาดมหึมาที่ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
สีหน้าฉินมู่แปรเปลี่ยนพิสดาร และความตระหนกใจของเขายิ่งทวีคูณ หลังจากพักหนึ่งเขาถึงปล่อยลมหายใจที่กลั้นไว้ และกัดฟันแน่น “ยายมึงเอ๊ย…”
คนแล่เนื้อถลึงตาจ้องเขา “เป็นเด็กเป็นเล็กอย่าพูดคำหยาบ! แม่มึงเอ๊ย นั่นมันอะไรวะนั่นที่โผล่ออกมา”
เรือที่แล่นมานั้นใหญ่มหึมา มันคือเรืออันประกอบสร้างขึ้นจากภูเขาไฟใหญ่อลังการ อันพ่นควันและไฟโขมงขึ้นสู่ก้อนเมฆ ฟ้าแลบแปลบปลาบปรากฏไปทั่วควันหนาเข้มข้นนั้น ประกายไฟฟ้าส่องแสงวูบวาบไปทั่วนภากาศ
รูปลักษณ์ของภูเขาไฟนั้นก็แปลกประหลาด ในเมื่อมันไม่มียอดเขา รูปทรงของเรือก็คล้ายกันในเมื่อมันไม่มีสิ่งก่อสร้างใดปลูกไว้บนยอด นอกจากราชวังยิ่งใหญ่อันมองแล้วละลานตา แม้ว่าควันภูเขาไฟจะขมุกขมัวไปทั่ว แต่ประกายทองอร่ามจากราชวังก็ยังส่องแสงเจิดจ้าให้เห็นความงามของมัน
และยังมีโซ่อันหนาใหญ่ขนาดสิบคนโอบลอยโยงอยู่บนท้องฟ้าราวกับสายป่านโยงว่าวโซ่เหล่านั้นล้วนมัดอยู่กับวัตถุทรงกลมดำสนิท ยามที่เรือนั้นเคลื่อนที่ไปในอากาศ โซ่ก็กระทบกันไปมาส่งเสียงโกร่งกร่าง
และเมื่อทรงกลมดำมหึมาถูกลากไป มันก็จะส่งเสียงดังกัมปนาท แม้กระทั่งอากาศก็สะเทือนเลื่อนลั่นราวกับว่าลูกกลมนั้นหนักฉกาจฉกรรจ์
และในตอนนั้นเองเรือนี้ก็ล่องมาตามแม่น้ำหย่ง ทำให้แม่น้ำสายใหญ่แห่งแดนโบราณวินาศเดือดพล่านจากความร้อนและแห้งระเหย เหล่าปลาปีศาจและสัตว์ประหลาดแม่น้ำต่างพากันกระโดดขึ้นฝั่งแล้วตะกายหนี!
“นี่มัน…”
ฉินมู่ตะลึงไปครู่หนึ่ง แล้วร้องออกมา “เรือตะวัน!”