79. นักต้อนตะวันแห่งแดนโบราณวินาศ
ผู้ใหญ่บ้าน นักปรุงยา และคนอื่นๆ มองไปที่เขาอย่างฉงนฉงาย นักปรุงยาจึงเอ่ยปากถามอย่างกังขา “มู่เอ๋อ เจ้าเคยเห็นเรือนี้มาก่อนรึ”
“ข้าเคยเห็นมันจากแผนที่แดนโบราณวินาศ…”
ทั้งตัวและใจของเขาสั่นไหว สิ่งใหญ่โตมโหฬารที่ดูเหมือนเรือนี้น่าจะเป็นเรือตะวันที่เขาเห็นภาพของมันบนแผนที่ในวังสะกดเภทภัย
เมื่อเขาเห็นคำว่า ‘เรือตะวัน’ เขาก็งงอยู่ว่าทำไมมันถึงเรียกว่าเรือตะวัน แต่บัดนี้เขาสิ้นสงสัยแล้ว
เรือตะวัน ก็คือเรือที่ลากดวงตะวัน!
และดวงตะวันนั้นก็คงเป็นวัตถุทรงกลมสีดำที่มัดโซ่โยงมากับเรือนี้
ลูกกลมดำขนาดมหึมาน่าจะเป็นดวงตะวันที่ดับแสงไปแล้ว
น่าจะคาดเดาได้ว่าก่อนที่ความมืดจะรุกรานแดนโบราณวินาศ มันน่าจะมีเรือตะวันที่ลากดวงตะวันส่องแสงเจิดจ้าข้ามผ่านดินแดนแห่งนี้ไปมา
ฉินมู่สรรหาคำ มาพูดไม่ถูก เหตุใดดวงตะวันบนเรือตะวันถูกดับแสงไป
ในเมื่อเรือตะวันลากดวงตะวัน แล้วเรือจันทราที่เขียนไว้บนแผนที่ล่ะ? หรือว่ามันก็คือเรือยักษ์ที่ลากดวงจันทร์เช่นกัน
แล้วบ่อตะวันล่ะอยู่ที่ไหน และอะไรคือบ่อจันทรา
ตูม ตูม
เมื่อเรือมุ่งหน้ามายังที่นี่ ฉินมู่ก็พบว่าเรืออันใหญ่โตเกินจินตนาการนั้นมีขางอกเงย แต่ละขาหนาใหญ่ราวกับภูเขา ขาเหล่านั้นประกอบสร้างจากหินแมกมา และตามรอยแยกหินสามารถเห็นแสงแดงเรืองส่องทะลุออกมาได้
แสงเหล่านั้นคือหินหลอมเหลวอันประดุจโลหิตหล่อเลี้ยงเรือตะวัน
เรือยักษ์นี้มีขาทั้งหมดยี่สิบสี่ข้าง อันสอดคล้องกับภูมิอากาศทั้งยี่สิบสี่
ขาของมันดูหนาหนัก แต่ทุกย่างก้าวสามารถเคลื่อนที่ไปได้ไกลหกเจ็ดลี้
การปรากฏตัวของวัตถุยักษ์นี้น่าแตกตื่นโกลาหล
เฒ่าหนวกมองไปที่เฒ่าใบ้ซึ่งมองด้วยไปยังเรือด้วยสายตารุ่มร้อน และส่งภาษามือไปๆ มาๆ เฒ่าหนวกแปลความหมาย “นั่นไม่ใช่ดวงตะวันจริงๆ แต่เป็นสมบัติวิเศษที่ผู้คนในยุคนั้นหลอมตีขึ้นมาก่อนความมืดเข้ารุกราน มู่เอ๋อ ข้าคิดว่าเจ้ากล่าวถูกต้อง…”
เรือตะวันลำใหญ่เข้าใกล้เมืองเขตมังกรเข้าไปทุกที ทำให้อากาศแห้งผากขึ้นแห้งผากขึ้ิน ฉินมู่แหงนมองดู แต่ก็ไม่อาจมองเห็นยอดเรือได้
เรือนี้มันใหญ่เกินสายตา
ราชวังเรืองรองนั้นดูคล้ายจะไม่มีอะไรพิเศษพิสดาร มันดูปกติธรรมดาเมื่อมองจากที่ไกลๆ เท่านั้น แต่เมื่อมองใกล้ๆ มันกลับพิสดารอย่างยิ่ง เนื่องจากว่าราชวังนี้ใหญ่โตมโหฬารขนาดที่ว่าผู้ใหญ่ตัวโตๆ เดินเข้าไปคงดูราวกับมดปลวก
“นั่นคือสถานที่ที่เผ่าเทพพำนัก”
ผู้ใหญ่บ้านกล่าวด้วยเสียงแผ่วเบา “ข้าได้ยินว่าพวกเขาเรียกว่านักต้อนตะวัน และเทพเจ้าของพวกเขาเรียกว่าผู้พิทักษ์ตะวัน”
“นักต้อนตะวัน?”
ทุกคนอึ้งไป ในหมู่บ้านพิการชรา ผู้ใหญ่บ้านคือคนที่อาศัยอยู่ในแดนโบราณวินาศมายาวนานที่สุด เขาอยู่ที่นี่มาหลายร้อยปีและรู้มากที่สุด จากที่ฟังดูเหมือนเขาจะเคยได้ยินเรื่องเรือตะวันและรู้ข้อมูลวงในจำนวนหนึ่ง
“ข้าไม่รู้ว่าจะยังคงมีลูกหลานของนักต้อนตะวันอยู่บนเรือไหม และยังคงมีผู้พิทักษ์ตะวันอยู่บนเรือหรือไม่” ผู้ใหญ่บ้านพึมพำ
เรือตะวันแล่นผ่านเมืองเขตมังกร และมุ่งหน้าตรงไปยังกองทัพอันเกรียงไกรแสนกำลังพลหมื่นทหารม้าของจักรวรรดิสันตินิรันดร์ ภาพที่เห็นอลังการละลานตา ขนาดที่ว่ากองทัพเองก็ลืมที่จะรุดหน้าไป และได้แต่ยืนเซ่ออ้าปากค้างมองวัตถุยักษ์บนท้องฟ้า
น่ากลัวเกินไปแล้ว น่าตระหนกเกินไปแล้ว
ตึง
ขาข้างหนึ่งของเรือตะวันเหยียบย่างลง และเท้าอันใหญ่เท่าภูเขาก็บดขยี้ทหารจำนวนมากจนเละเป็นโคลน เมื่อเท้าของเรือยกขึ้นมาอีกครา ก็เห็นแอ่งทะเลสาบเล็กปรากฏขึ้นจากรอยกระทืบนั้น
“หนีเร็วเข้า”
ในตอนนั้นถึงค่อยมีผู้ได้สติ กรีดร้องขึ้นมา และวิ่งย้อนกลับหมายจะหนี ทหารข้างหลังนั้นยังไม่ทันตอบสนอง ผู้คนจึงเริ่มเหยียบย่ำเบียดเสียดกันสร้างความโกลาหล และเมื่อทหารข้างหลังตั้งตัวได้ หมายจะกระจายออกไปเพื่อหลบหนี มันก็สายไปแล้ว
เรือตะวันอันอลังการตะลุยไปตามเส้นทางที่กองทัพสันตินิรันดร์เดินทัพมา และมุ่งหน้าไปยังด่านชายแดน บดขยี้ไพร่พลจำนวนมากบนเส้นทางที่มันเดิน ไม่ว่าวิชาเทวะและกระบี่บินมากเท่าไหร่ที่ฟาดฟันใส่มัน ก็ไม่อาจทำให้เรือยักษ์นี้สะดุ้งสะเทือนเลยแม้แต่น้อย
กองทัพสองกองทัพผสานรวมเป็นกองทัพเดียวกัน ดังนั้นไพร่พลในทัพจึงมีจำนวนมหาศาล แม้ว่าพวกเขาอยากจะหลบหนีให้พ้นทางก็ไม่มีทางให้หลบ แม้ว่าจะมีผู้ฝึกวิชาเทวะหลายคนที่เหาะเหินบนอากาศ พวกเขาก็โดนฟาดตายราวกับแมงวันแมงหวี่ด้วยขาที่ยกย่ำไปข้างหน้าของเรือตะวัน
เรือตะวันอันยิ่งใหญ่นี้เคลื่อนที่รุดหน้าไม่หยุด และบดขยี้ไพร่พลจำนวนนับไม่ได้ แม่ทัพหลู่พยายามอย่างสุดความสามารถที่จะโจมตีใส่เรือตะวัน แต่ความพยายามของเขาก็ไม่ต่างอะไรจากมดที่พยายามเขย่าต้นไม้…ไม่อาจทำให้เรือยักษ์นี้สะเทือนแม้แต่กระผีกริ้น
ที่ชายแดนของจักรวรรดิสันตินิรันดร์ รังสีกระบี่พุ่งแปลบปลาบ ฟาดฟันใส่เรือยักษ์ ประกายระเบิดเปรี๊ยะปร๊ะไปทุกที่ แต่ก็ไม่อาจสร้างรอยขีดข่วนให้กับเรือ และเมื่อกระบี่บินวกกลับไป สีหน้าของเหล่ายอดฝีมือก็แปรเปลี่ยน เพราะกระบี่ของพวกเขาร้อนจนแดงฉ่าทั้งยังเริ่มละลาย
ที่ด่านชายแดน ผู้ฝึกวิชาเทวะหลายพันคนร่ายเวทมนตร์และสร้างพายุ เมื่อเมฆสายฟ้าม้วนตัวเข้าใส่ มันก็สลายไปจากความร้อนอันแผ่ออกมาก่อนที่จะเข้าไปถึงเรือ
…มันคือดวงตะวันดับแสงที่เรือตะวันลากมา ถึงจะดับแสงอย่างไรมันก็คือดวงตะวัน พลังไฟในนั้นร้อนแรงแผดเผาอย่างทรงพลัง
เรือนี้มีขายี่สิบสี่ข้าง มันจึงเคลื่อนที่ได้อย่างรวดเร็ว และไม่นานนักมันก็มาถึงชายแดน เสียงดังเอี๊ยดอ๊าดสนั่นหวั่นไหว เมื่อเรือตะวันค่อยๆ หยุดยั้งลงตรงนั้น
เสียงเดือดปุดๆ ดังในอากาศ เมื่อดวงอาทิตย์สีดำค่อยๆ ลอยไปข้างหน้า และเกือบจะล่วงล้ำเข้าไปในเขตแดนจักรวรรดิสันตินิรันดร์
ที่ชายแดนนั้น ทหารจำนวนไร้ประมาณเงยหน้าขึ้นมองตาค้าง ไปยังวัตถุมหึมาเหนือเส้นแบ่งพรมแดน ป้อมกำแพงที่ด่านชายแดนนั้นยิ่งใหญ่อลังการ เมื่อเทียบกับวัตถุบนฟ้าแล้ว มันก็ดูเล็กกระจ้อยร่อย
นายกองบางคนสีหน้าซีดเผือดและตัวสั่นเทิ้มด้วยความหวาดกลัว แทบจะยืนไม่ได้ ขณะที่ทหารที่ชายแดนนี้ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นผู้ฝึกยุทธหรือผู้วิชาเทวะ ต่างก็กลัวจนขี้หดตดหายกับภาพที่เห็นเบื้้องหน้า
“เรือตะวันที่ถูกสร้างขึ้นโดยเผ่าพันธุ์ที่ดำรงอยู่ก่อนความมืดจะครอบงำนั้น นับว่าเหนือล้ำเกินธรรมดา”
ราชครูสันตินิรันดร์ยืนอยู่บนยอดป้อมปราการ และมองไปยังเรือตะวัน เรือยิ่งใหญ่อลังการนี้สร้างแรงกดดันแก่ทุกคน แม้กระทั่งตัวเขาเองก็หวั่นใจเล็กน้อย
บนยอดเรือตะวันและเบื้องหน้าราชวัง เขาเห็นเงาร่างหนึ่งยืนอยู่
เขาเงยศีรษะมองไปยังดวงอาทิตย์สีดำ
แม้ว่าตะวันดำนี้จะไม่ใหญ่เท่ากับดวงตะวันของจริง แต่มันก็น่าตระหนกไม่น้อย ใครก็สามารถจินตนาการได้ว่าจะเป็นภาพมหัศจรรย์แค่ไหน หากดวงตะวันนี้กลับมาติดไฟเปล่งแสงอีกครั้ง
ตะวังดวงนี้อาจจะดับแสงไปแล้ว แต่การที่กองทัพสันตินิรันดร์จะประจันหน้ากับวัตถุมหึมาทรงอำนาจเช่นนี้ ก็ไม่ต่างอะไรกับตั๊กแตนที่เข้าไปขวางรถม้า ไม่เจียมกะลาหัว
เขาสัมผัสได้ถึงการมีอยู่ของเทพเจ้าบนเรือตะวัน
“ดูเหมือนว่าจะยังมีเทพสวรรค์ที่ยังมีชีวิตอยู่ แดนโบราณวินาศอันลึกลับนี้ไม่อาจย่างเท้าเข้าไปโดยง่าย…”
ราชครูจึงชูมือของเขาขึ้นและออกคำสั่ง “ถ่ายทอดคำสั่งข้าให้ถอยทัพกลับ และไม่มาเหยียบแดนโบราณวินาศอีกภายในห้าสิบปีถัดจากนี้!”
แม่ทัพทั้งหลายที่อยู่เบื้องหลังต่างก็ตัวสั่นเทิ้ม และรีบถ่ายทอดคำสั่งของเขาทันที
ราชครูสันตินิรันดร์เงยหน้าขึ้นและสายตาของเขาจ้องไปยังราชวังเรืองรองนั้น เขากล่าวด้วยเสียงเบา “เรือตะวันไม่อาจปกป้องแดนโบราณวินาศได้ตลอดไป แม้แต่เทพสวรรค์ก็ต้องตายในสักวันหนึ่ง นักต้อนตะวันก็เป็นแค่เผ่าพันธุ์ที่เสื่อมถอย ห้าสิบปีถัดจากนี้ จักรวรรดิสันตินิรันดร์ของข้าจะสั่งสมแสนยานุภาพอันทรงพลัง ที่จะเข้ามาผนวกรวมแดนโบราณวินาศเป็นหนึ่งเดียว ดังนั้น สู้กับพวกเขาตอนนี้จึงไม่ใช่การตัดสินใจที่ดีนัก”
เขาหันกายแล้วเดินลงไปจากป้อมประตูเมือง
เสียงฆ้องระฆังบอกสัญญาณหยุดทัพดังสนั่นจากเมืองด่านชายแดน และเมื่อไพร่พลนอกด่านได้ยินเสียงฆ้องนี้ ก็ราวกับว่าพวกเขาได้ยกภูเขาออกจากอก พวกเขาทั้งหมดรีบวิ่งกลับไปยังด่านชายแดนทันที
เรือตะวันมหึมานี้ก็ยกขาของมันขึ้น และเปลี่ยนทิศทางมุ่งหน้าตรงไปยังเมืองเขตมังกร
ไม่นานนัก ซากทัพที่เหลือของกองทัพสันตินิรันดร์ก็กลับเข้าไปในด่านชายแดน และเรือตะวันก็รุดมาถึงอาณาบริเวณเมืองเขตมังกร เมื่อฉินมู่เงยหน้าขึ้นดูเขาก็เห็นเรือสูงเยี่ยมเทียมฟ้าฉุดลากดวงตะวันสีดำมา อันเขาไม่เคยนึกฝันมาก่อนว่าจะได้เห็น
เรือตะวันหยุดยั้งลงตรงนั้น และทั้งยี่สิบสี่ขาก็ปักหลักลงพื้นก่อนจะย่อลงจนอยู่ในสภาพนั่งยองๆ
บนเสามังกร ทุกคนมีสีหน้าแปลกพิกล เรือตะวันนี่ดูไม่เหมือนเรือ แต่เหมือนสิ่งมีชีวิตมหึมาที่มียี่สิบสี่ขา!
ด้วยเรือนี้เข้าใกล้เมืองเขตมังกร คลื่นความร้อนที่แผ่มาจากเรือก็พัดใส่ตัวเมือง แม้แต่กำแพงเมืองก็ร้อนจนแดงฉานราวกับว่ามันจะละลายลงไปได้ทุกขณะ
ดูท่ามันคงจะรอให้กองทัพใหญ่จักรวรรดิสันตินิรันดร์ล่าถอยโดยสิ้นเชิงก่อน จึงยังไม่รีบไปไหน
“จะมีผู้พิทักษ์ตะวันบนเรือไหมนะ” ฉินมู่พึมพำ
“มีสิ ข้าสัมผัสได้ถึงรัศมีเทวะ”
ผู้ใหญ่บ้านมีสีหน้าวิตกเคร่งเครียด “ราชครูสันตินิรันดร์มาเพื่อหยั่งเชิง และล่าถอยก่อนจะเสียท่า พวกเขาคงไม่รุกรานแดนโบราณวินาศอีกสักหลายสิบปี คนแล่เนื้อ เอาพลังมีดที่ฝังไว้ของเจ้าออก ไม่งั้นเสามังกรนี่คงจะพัง”
คนแล่เนื้อพยักหน้า ก่อนที่จะมองไปยังเรือตะวันด้วยความตื่นเต้น “พวกเราเตรียมตัวมาตั้งนานเพื่อศึกนี้ แต่ราชครูสันตินิรันดร์ดันปอดแหกเพราะผู้พิทักษ์ตะวัน ทำให้พวกเราไม่ได้ประมือกะตาเฒ่านั่น! เอาอย่างไร พวกเราเปลี่ยนไปบุกเรือแล้วสู้กับเทพเจ้าแทนไหม!”
ทุกคนมีสีหน้าปั้นยาก และส่ายศีรษะ เจ้าบ้านี่ชอบก่อเรื่องอยู่เรื่อย หากว่ายังมีผู้พิทักษ์ตะวันอยู่บนเรือ คนแล่เนื้อคงถูกบดเป็นผงหากริไปท้าสู้กับผู้พิทักษ์ตะวันทั้งที่มีร่างเพียงครึ่งท่อน
ผู้ใหญ่บ้านและคนอื่นๆ เดินลงจากเสามังกร เหลือแต่ฉินมู่ที่ยังแหงนมองอยู่ สายตาเขาวูบไหว เขาคันไม้คันมืออยากจะปีนเรือนี่ขึ้นไปดูว่ามีอะไรอยู่บนนั้น
ผู้คนในยุคนี้เก่งกาจขนาดไหนกันนะที่สามารถสร้างวัตถุมหึมาอันลากดวงตะวันเคลื่อนที่ไปมาได้แบบนี้
เมื่อคิดถึงตรงนี้ กราบเรือตะวันก็พลันเอียงลงมา
ฉินมู่ยืนทื่อมอง เขาเห็นกราบเรือใหญ่มหึมาอันใหญ่พอๆ กับเมืองเขตมังกร เรือนั้นเอียงกระเท่เร่ลงมาเรื่อยๆ ราวกับว่ามันเบาหวิวปราศจากน้ำหนัก
และตอนนี้เขาถึงสามารถมองเห็นทิวทัศน์บนเรือ มันมีทั้งภูเขาแม่น้ำ ต้นไม้ใบหญ้า มีโถงใหญ่อลังการที่สูงลิ่วราวกับสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของเซียนอมตะ และมีชายสูงใหญ่จำนวนมากที่สูง ขนาดว่านักปรุงยาที่ถือว่ามีรูปร่างสูงชะลูดแล้วดูเป็นเด็กน้อยไปเลยเมื่อเทียบกับพวกเขา
ฉินมู่มองแล้วคะเนว่าผู้คนบนเรือสูงตั้งแต่สิบห้าวาเป็นอย่างต่ำ เมื่อเทียบกับยักษ์กรรมกรลัทธิมารฟ้าแล้วก็คงพอๆ กัน
และที่น่าแปลกก็คือ ต่อให้เรือเอียงกะเท่เร่ขนาดนั้น ทะเลสาบบนเรือก็ยังราบเรียบดุจเดิม ไม่เทลงมา
“จี้หยกของเจ้าแปลกประหลาดจริง มันมีรัศมีเทวะเหนือธรรมดา…”