Skip to content

Tales of Herding Gods 80

80. ผู้พิทักษ์ตะวัน

ที่ใจกลางเรือตะวัน เสียงสดใสและดังก้องถ่ายทอดมา จี้หยกที่อกของฉินมู่ลอยขึ้นอย่างแช่มช้า และดูเหมือนจะลอยไปทางเรือตะวัน ฉินมู่หวั่นไหวเล็กน้อยเมื่อเขามองไปยังที่มาของเสียงนั้นและพบว่าเจ้าของเสียงเป็นยักษ์ตัวโตมโหฬาร ยักษ์นั้นตัวใหญ่มหึมายิ่งกว่ายักษ์ตนอื่นๆ หลายเท่า และดูราวกับเทพสวรรค์

ขาทั้งสองของนางจมลงไปในพื้นเรือ กว่าครึ่งของขานางจมอยู่ในเรือและนางยังจมลงไปอีกจึงถึงเอว กระนั้นส่วนที่เหลือของนางก็สูงกว่าร้อยห้าสิบวา

นางมีสี่แขน และแต่ละแขนจับอยู่ที่เสา แต่ละเสามีโซ่ม้วนพันรอบๆ นั่นคือโซ่ที่โยงขึ้นไปลากดวงตะวันสีดำบนท้องฟ้า!

ร่างของนางมีไฟลุกโหมไหม้ราวกับมนุษย์เพลิง พลังไฟที่นางเปล่งออกมานั้นรุนแรงขนาดที่ว่าฉินมู่รู้สึกราวกับเขาจะมอดไหม้ไปเพียงแค่จ้องมองนาน

ที่แปลกก็คือ เมื่อฉินมู่มองดูเครื่องหน้าของนาง ก็พบว่ามิใช่ใบหน้าของสตรีมีอายุ แต่เป็นเด็กผู้หญิงเล็กๆ ที่อายุน้อยกว่าเขาเสียอีก

แต่ว่า ตัวสูงใหญ่มหึมาขนาดนี้ จะเป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ไปได้อย่างไร

นางดูอ่อนล้า และหอบหายใจเป็นพักๆ

“ผู้อาวุโสรู้ที่มาของจี้หยกนี้หรือ”

ฉินมู่จิตใจหวั่นไหว และรีบถอดจี้หยกออกมาจากอก จากนั้นเขาก็เห็นแขนทั้งสี่ของยักษ์หญิงปล่อยจากเสา และร่างของนางก็ย่อหดลงไปเรื่อยๆ ไม่นานนัก นางก็แปรเปลี่ยนจากยักษ์ใหญ่สูงร้อยห้าสิบวา เหลือเพียงเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่สูงแค่ไหล่ฉินมู่

“ผู้อาวุโส?”

เสียงของนางไพเราะดุจเครื่องดนตรี และมีรอยยิ้มอันสดใสกระจ่างตา นางพักหายใจครู่หนึ่งก่อนกล่าวต่อ “…ข้าไม่ใช่ผู้อาวุโส”

นางต้องพยายามเป็นอย่างมากที่จะดึงขาของนางออกจากตัวเรือ เรือตะวันนี้พิสดารนัก ทำให้ขาของนางผสานเป็นหนึ่งเดียวกับเรือ และเพลิงไฟบนเรือก็ประดุจสายเลือดที่โยงเชื่อมต่อกับขาของนาง ทำให้ต้องใช้ความพยายามอย่างหนักในการดึงมันออกมา

เมื่อนางดึงขาออกมาได้สำเร็จ จุดที่นางเคยจมอยู่ก็กลับเติมเต็มหลุมนั้นจนเป็นพื้นราบเรียบอย่างช้า

เด็กหญิงตัวน้อยพยายามเดิน แต่ขาของนางสั่นพั่บๆ และแทบจะล้มลงไปกับพื้น นางรีบใช้แขนทั้งสี่ช่วยพยุงตัวก่อนจะคะมำหน้า และถามด้วยน้ำเสียงอายเล็กๆ “เจ้าขึ้นมาบนเรือได้ไหม”

ฉินมู่มองไปยังยักษ์ตนอื่นๆ บนเรือตะวัน และเห็นยักษ์เฒ่าตนหนึ่งพยักหน้า “ให้เขาขึ้นมาบนเรือ”

ยักษ์อีกตนหนึ่งที่สวมใส่เสื้อผ้าเรียบง่ายจึงเดินมาที่กราบเรือแล้วยื่นแขนของเขาออกไป แขนของเขาทำหน้าที่เป็นสะพานระหว่างเสามังกรกับเรือตะวัน ฉินมู่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จึงเดินขึ้นไปบนฝ่ามือยักษ์ ก้าวบนแขนหนาแข็งแรงเพื่อไปสู่เรือตะวัน

บนเรือนั้น เขาตะลึงเล็กน้อย เมื่อพบว่าอากาศเย็นกว่าที่เขาคาดคิด ตอนแรกเขาคิดว่าที่นี่คงร้อนระอุเหมือนอยู่ในเตาอบ ไม่นึกเลยว่าจะเย็นสบายขนาดนี้

“มู่เอ๋อ เจ้าเด็กดื้อ!”

ในเมืองเขตมังกร ผู้ใหญ่บ้านและคนอื่นๆ ก็สัมผัสได้ถึงการแปรเปลี่ยนอย่างพิสดารบนเรือตะวัน เมื่อพวกเขาเหลียวกลับไปมองก็เห็นฉินมู่กำลังเดินไปบนแขนยักษ์มุ่งหน้าไปขึ้นเรือตะวันพอดี นักปรุงยาขบเขี้ยวเคี้ยวฟันและยิ้มอย่างโกรธเกรี้ยว “เจ้าเด็กนี่กินดีหมีดีเสือมาจากไหน ถึงกับกล้าขึ้นไปบนเรือของเทพเจ้า!”

คนแล่เนื้อชักมีดเชือดหมูทั้งสองของเขาออกมาทันที รังสีฆ่าฟันเขาแผ่พุ่งอบอวล “พวกมันกล้าขโมยเด็กของพวกเรา ขึ้นไปตะลุยพวกมันกันสักตั้ง!”

ผู้ใหญ่บ้านจ้องเขาแล้วกล่าวอย่างใจเย็น “พวกเขาไม่ได้มีเจตนาร้าย ช่างมู่เอ๋อเถอะ เพราะดูเหมือนจะไม่มีเทพจริงๆ อยู่บนเรือนั้น…”

ฉินมู่เดินไปข้างๆ เด็กหญิงและเรือตะวันก็ค่อยๆ เอียงกลับมาตั้งตรง เพราะว่านางไม่ได้เดินมาเนิ่นนาน ขาของเด็กหญิงตัวเล็กนี้จึงขยับไม่ค่อยได้ และยากลำบากนักที่นางจะลุกขึ้นยืนต้อนรับทักทาย ดังนั้นนางจึงได้แต่โค้งตัวให้ฉินมู่ทั้งๆ ที่ยังนั่งอยู่

ฉินมู่โค้งตอบ และส่งจี้หยกให้มือนาง เด็กหญิงน้อยพิจารณามันอย่างระมัดระวังและขบคิดอยู่ ภาษาอันแปลกประหลาดและยากจะเข้าใจเปล่งออกมาจากปากของนาง เมื่อนางเอ่ยถามยักษ์เฒ่าที่อยู่ข้างๆ

ยักษ์เฒ่ามีสีหน้าแตกตื่นและมองฉินมู่ขึ้นๆ ลงๆ จากนั้นหันกลับไปตอบนางด้วยภาษาอันยากจะเข้าใจอีกที

ภาษาเทพ!

ฉินมู่ตกตะลึง หนึ่งเยาว์หนึ่งเฒ่านั้นกำลังสื่อสารกันด้วยภาษาเทพ เขาไม่เคยได้ยินภาษาเทพมาก่อนและไม่เข้าใจความหมายของมัน ดังนั้นเขาจึงไม่รู้ว่าทั้งคู่กับสนทนากันว่าอะไร

ทั้งคู่ตอบกันไปมาสามสี่ประโยค จากนั้นเด็กหญิงก็หันมาคืนจี้หยกให้กับฉินมู่ “ท่านปู่ผู้นำตระกูลกล่าวว่าจี้หยกของเจ้ามิใช่ของเทพ มิใช่ของมาร มิใช่ของพุทธ เขาเคยเห็นสิ่งคล้ายๆ กันนี้มาก่อน และมันน่าจะมาจากหมู่บ้านไร้กังวลแห่งแดนโบราณวินาศ”

“หมู่บ้านไร้กังวล?”

ฉินมู่ใจสั่นสะท้าน “หมู่บ้านไร้กังวลอยู่ที่ไหน”

เด็กหญิงจึงเอ่ยถามยักษ์เฒ่า ยักษ์เฒ่าลังเลครู่หนึ่ง ก่อนตอบไปด้วยภาษาอันซับซ้อน เด็กหญิงจึงส่ายหน้าแล้วกล่าว “หมู่บ้านไร้กังวลนั้นลึกลับอย่างยิ่ง และจะปรากฏก็ต่อเมื่อความมืดเข้าครอบงำแดนโบราณวินาศเท่านั้น ท่านปู่ไม่รู้ว่าสถานที่ที่แน่นอนของมันอยู่ที่ใด”

ฉินมู่ผิดหวังเล็กน้อย และจดจำนามหมู่บ้านไร้กังวลไว้ในใจ หมู่บ้านไร้กังวลอาจจะเป็นสถานที่เกิดของเขา ที่ซึ่งมีบิดามารดาของเขาอยู่ ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม เขาจะต้องตามหาสถานที่นี้ให้จงได้

“ข้าดูน่าประทับใจไหมล่ะ” เด็กหญิงน้อยหัวเราะเบาๆ

ฉินมู่อึ้งไปครู่หนึ่ง มีสีหน้าแปลกประหลาด “เจ้าคือคนที่ขับเรือตะวันไปข่มขวัญกองทัพใหญ่สันตินิรันดร์จนล่าถอย?”

เด็กหญิงมีสีหน้าภาคภูมิใจในตนเองอย่างยิ่ง “เจ้าคิดไม่ถึงล่ะสิ?”

ฉินมู่คาดไม่ถึงจริงๆ นั่นแหละ ไม่เพียงแต่ราชครูสันตินิรันดร์ที่หวาดผวาจนหนีหางจุกตูดไปเพราะนาง แม้แต่ผู้ใหญ่บ้าน เฒ่าใบ้ และผู้เฒ่าคนอื่นๆ ก็กระโดดโลดด้วยความแตกตื่น พวกเขาคิดว่ามีเทพสวรรค์ดึกดำบรรพ์สถิตอยู่บนเรือตะวัน ซึ่งนั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้ราชครูประเมินว่าแสนยานุภาพของเขาไม่อาจเทียบเทียมได้กับนาง จึงรีบยกทัพล่าถอย

พวกเขาเหล่านั้นคงไม่มีใครที่จะนึกคิดฝันว่า เรือตะวันนี้ถูกควบคุมบังคับด้วยเด็กผู้หญิงตัวกระจ้อยร่อย แน่นอนว่าส่วนหนึ่งก็เพราะความยิ่งใหญ่ทรงอานุภาพของเรือตะวันที่ชวนขวัญผวาขนาดหนัก จึงทำให้พวกเขาคาดคะเนผิด

“ข้าชื่อเอี๋ยนจิ่งจิ่ง เจ้าล่ะชื่ออะไร” เด็กหญิงถามอย่างใคร่รู้

“ฉินมู่”

ฉินมู่ลังเลก่อนกล่าวต่อ “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าข้าแซ่ฉิน หรือนามว่าฉิน เพราะว่ามีคำว่าฉินปรากฎบนจี้หยกที่ติดตัวข้ามา ท่านปู่ผู้ใหญ่บ้านจึงเลือกแซ่ฉินให้ข้า ส่วนนามมู่แปลว่าการเลี้ยงวัว แล้วเอี๋ยนจิ่งจิ่งแปลว่าอะไรหรือ”

“แปลว่าดวงตะวันและเพลิงไฟมหาศาล”

เอี๋ยนจิ่งจิ่งพยายามอย่างหนักที่จะลุกขึ้นยืน แต่เพราะนางไม่ได้ใช้ขามาเป็นเวลานาน กล้ามเนื้อขาจึงลีบแฟบเป็นตะเกียบ มีแค่หนังติดกระดูกไม่มีเนื้อขาเลยสักชั่ง

นางผอมกะหร่องจนผู้คนที่พบเห็นต้องสะทกสะท้าน

“เมื่อข้าถือกำเนิด ข้าเหมือนกับดวงตะวัน แม่ของข้าถูกแผดเผาเป็นจุณจากเพลิงไฟในร่างของข้า ดังนั้นท่านปู่ผู้นำตระกูลจึงให้นามข้าว่าเอี๋ยนจิ่งจิ่ง”

สีหน้าของเอี๋ยนจิ่งจิ่งดูสลดลง “เมื่อข้าโตขึ้นมา ท่านปู่ผู้นำตระกูลก็บอกว่าข้ามีสายเลือดของผู้พิทักษ์ตะวัน พลังของผู้พิทักษ์ตะวันในสายเลือดข้าเข้มข้นและทำให้เรือตะวันยอมรับในตัวข้า จึงสามารถขับเคลื่อนเรือตะวันเดินทางไปในแดนโบราณวินาศได้ ดังนั้นข้าจึงได้กลายเป็นผู้พิทักษ์ตะวันในรุ่นนี้”

จากนั้นนางก็กลับมายิ้มแจ่มใสอีกครา “เจ้าคือเด็กชายที่ต้อนวัวไปเลี้ยง ส่วนข้าคือเด็กหญิงที่ต้อนดวงตะวัน เมื่อข้ารวมตัวกับเรือตะวัน พลังของข้าก็จะแข็งแกร่งอย่างยิ่ง ราวกับเทวฤทธิ์ของเทพสวรรค์ นั่นเป็นสาเหตุให้ข้าสามารถตะเพิดไล่พวกคนชั่วไปได้ เมื่อตอนนั้นเจ้ากลัวข้าไหมล่ะ”

ฉินมู่ยิ้มกล่าว “ก็กลัวนะ”

เอี๋ยนจิ่งจิ่งก้มศีรษะลง “ข้าขอโทษ เมื่อครู่ข้าเหนื่อยมากเกินไป จึงหยุดยั้ง ณ ที่นี้เพื่อพักเอากำลังและคงจะทำให้เจ้ากลัว…”

ฉินมู่อึ้งไปนิด จากนั้นกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ไม่เป็นไรหรอก ว่าแต่ทำไมขาของเจ้าผอมแกร็นนักล่ะ”

“ท่านปู่บอกว่า เพราะดวงตะวันของเผ่านักต้อนตะวันพวกเราได้ดับแสงไปแล้ว ดังนั้นเมื่อข้าควบคุมเรือตะวัน เรือตะวันก็จะดูดกลืนพลังในตัวข้า ทำให้ข้าผอมแห้งลงไปทุกที”

เอี๋ยนจิ่งจิ่งกล่าวต่อ “เมื่อพลังในกายข้าเหือดแห้งไปหมด ชะตาของข้าก็จะเหมือนกับผู้พิทักษ์ตะวันคนก่อน รวมตัวเป็นหนึ่งเดียวกับเรือตะวันโดยสิ้นเชิง นั่นคือสาเหตุที่พ่อของข้าเสียชีวิต…หากว่าดวงตะวันสามารถจุดสันดาปขึ้นมาใหม่ได้ เรือตะวันก็จะดูดซับพลังดวงอาทิตย์ทั้งยังส่งพลังมาหล่อเลี้ยงผู้พิทักษ์ตะวัน ทำให้ข้าแข็งแกร่งขึ้นอย่างมาก!”

ฉินมู่สะท้านใจ เขาเงยดูดวงอาทิตย์สีดำบนท้องฟ้าและพึมพำ “ต้องจุดสันดาปดวงตะวัน? ใครกันที่สามารถทำเรื่องนี้ได้ หรืออาจจะมีแต่เทพสวรรค์ที่แท้จริงที่จะมีฤทธานุภาพขนาดนั้น…แล้วทำไมเจ้าต้องคอยปกป้องที่นี่และเป็นผู้พิทักษ์ตะวันด้วยล่ะ”

“เพราะว่านี่คือหน้าที่ของพวกเรา…นักต้อนตะวัน ผู้พิทักษ์ตะวันเป็นนักบวชแบบหนึ่ง! เมื่อนานแสนนานมาแล้ว ข้าเองก็ไม่รู้ว่านานแค่ไหน แต่อย่างไรก็เถอะ เอาว่านานมากๆ ล่ะกัน พวกเรานักต้อนตะวันได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้พิทักษ์ตะวัน คุ้มครองเรือตะวัน และปกปักษ์แดนโบราณวินาศ หน้าที่นี้ถ่ายทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่น ส่วนใครที่เป็นคนแต่งตั้งหน้าที่นี้ ข้าก็ไม่รู้ บางทีท่านปู่ผู้นำตระกูลอาจจะรู้”

เอี๋ยนจิ่งจิ่งร่าเริงแจ่มใส ดูท่านางคงไม่ค่อยมีเพื่อนเล่น นางนั่งลงพูดคุยสนทนากับฉินมู่ไม่หยุดหย่อน บอกเล่าเรื่องราวน่าสนใจทั้งหลายที่นางได้เห็นตลอดการเดินทาง

ฉินมู่มองไปรอบๆ เผ่านักต้อนตะวันล้วนแต่เป็นยักษ์ตัวโตๆ มีเด็กชายเด็กหญิงวัยไล่เลี่ยกันที่น่าจะเป็นเพื่อนเล่นกับเอี๋ยนจิ่งจิ่งได้ ทว่าพวกเขาทั้งหมดล้วนแต่ระย่อเคารพในตำแหน่งผู้พิทักษ์ตะวัน จึงไม่กล้าเข้ามาใกล้

ไม่เพียงเท่านั้น นักต้อนตะวันเด็กๆ เหล่านั้นยังตัวใหญ่บึกบึน พวกเขาทั้งสูงใหญ่กว่าและแข็งแรงกว่าเอี๋ยนจิ่งจิ่ง ขนาดตัวเอี๋ยนจิ่งจิ่งทำให้นางดูเหมือนจะเป็นเผ่ามนุษย์อันแตกต่างจากเหล่านักต้อนตะวัน

ฉินมู่เดาว่าอาจจะเพราะว่าเอี๋ยนจิ่งจิ่งมีสายเลือดของมนุษย์ด้วย แต่ก็เป็นไปได้อีกนั่นแหละว่าเพราะพลังชีวิตของนางถูกเรือตะวันดูดกลืนไป ร่างของนางจึงเล็กลงเล็กลงทุกที

ที่พิสดารก็คือเมื่อเอี๋ยนจิ่งจิ่งรวมร่างกับเรือตะวัน นางกลับแปรเปลี่ยนเป็นใหญ่โตมโหฬารและแข็งแกร่ง ราวกับเทวีสวรรค์ผู้น่าเกรงขาม ซึ่งนั่นหมายความว่าเขาอาจจะเดาผิด

แต่ที่เขาไม่รู้ก็คือ เผ่านักต้อนตะวันนั้นแต่เดิมมิได้มีร่างกายใหญ่โต แต่เพราะพวกเขาอาศัยอยู่บนเรือตะวัน อันมีพลังงานเทวะไหลเวียนอยู่ในอากาศ เมื่อนักต้อนตะวันเหล่านี้ดื่มกินอาหาร พวกเขาก็รับเอาพลังงานเทวะเข้าไปในร่างโดยไม่รู้ตัว ทำให้ร่างกายของพวกเขาสูงใหญ่และบึกบึนอย่างไม่ธรรมดา

และก็เพราะว่าพลังของเอี๋ยนจิ่งจิ่งถูกเรือตะวันดูดกลืน พลังเทวะที่นางรับเข้าไปในร่างจึงไม่เพียงพอกับพลังที่นางถูกดูดกลืนไป ทำให้ร่างของนางไม่สูงใหญ่บึกบึนเหมือนเพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์

เมื่อนางรวมร่างกับเรือตะวัน พลังอำนาจของเรือตะวันและนางก็รวมเข้าด้วยกัน นั่นทำให้นางมีรูปลักษณ์น่าเกรงขามประดุจเทพสวรรค์

“ในอนาคต ถ้าข้าทำได้ ข้าจะช่วยจุดสันดาปดวงตะวันนี้ขึ้นมาใหม่ และปล่อยให้เจ้าเป็นอิสระ!” ฉินมู่ประกาศเจตจำนง

“จริงหรือ”

เอี๋ยนจิ่งจิ่งตาเป็นประกาย และพูดด้วยความตื่นเต้น “ข้าจะรอวันนั้นนะ! ข้าจะได้เดินได้เหมือนกับคนอื่นๆ ซะที!”

ฉินมู่พยักหน้าอย่างหนักแน่นแล้วแย้มยิ้ม “ข้าจะต้องหาวิธีจุดสันดาปดวงตะวันให้จงได้”

ในตอนนั้นเอง ยักษ์ผู้นำตระกูลก็เข้ามาแล้วกล่าว “ผู้พิทักษ์ตะวัน กองทัพจักรวรรดิสันตินิรันดร์ล่าถอยไปหมดสิ้นแล้ว”

เอี๋ยนจิ่งจิ่งลุกขึ้นด้วยความยากลำบาก และโบกมือให้ฉินมู่พร้อมรอยยิ้ม “ข้าก็ต้องไปแล้วเหมือนกัน ข้าจะกลับไปทางทะเลดาวและไปโผล่ที่บ่อตะวัน หากว่าเจ้าอยากพบข้า ให้ไปที่บ่อตะวันนะ!”

ฉินมู่ผงกหัวให้เด็กหญิงที่เดินโซเซกลับไปยังเสา เมื่อมือของนางสัมผัสเสา ร่างของนางก็ขยายออกมาอย่างรวดเร็ว ขาของนางจมลงไปในตัวเรือ รวมเป็นหนึ่งเดียวกับมัน

แขนอีกสามข้างของนางยืดไปจับเสาอีกสามเสา และร่างของนางก็พลันลุกฮือด้วยเพลิงไฟ ทำให้ไม่มีผู้ใดเข้าใกล้ได้

ยักษ์ผู้นำตระกูลเดินมาส่งฉินมู่ลงจากกราบเรือ นักต้อนตะวันเฒ่าที่มีผมเทาทั่วทั้งหัวกล่าวอย่างแผ่วเบาด้วยน้ำเสียงรวดร้าวใจ “ผู้พิทักษ์ตะวันคงมีชีวิตได้อีกไม่กี่ปี…”

ฉินมู่สะท้านใจและเงยหน้ามองผู้เฒ่า จากนั้นเขาหันไปดูยักษ์หญิงที่ไฟลุกกระพือทั่วร่าง เอี๋ยนจิ่งจิ่งส่งยิ้มกลับมาให้เขา

“หากว่าเจ้าเป็นอาคันตุกะจากหมู่บ้านไร้กังวล เจ้าอาจจะมีวิธีจุดสันดาปดวงตะวัน เพราะถึงอย่างไร…”

ยักษ์ผู้นำตระกูลชะงัก ลังเล และตัดสินใจไม่กล่าวต่อ เขาส่งฉินมู่ลงไปจากเรือ และของวิเศษอันถูกรังสรรค์โดยเทพเจ้านี้ก็ค่อยๆ ยืนขึ้น และเดินกลับไปทางทะเลดาว

เมื่อดวงอาทิตย์บนท้องฟ้าคล้อยต่ำลง แสงสุดท้ายของดวงอาทิตย์ก็ฉาบไล้เรือโบราณลำนี้ ดวงตะวันสีดำค่อยๆ เล็กลง เล็กลงไปทุกที และไม่นานก็ไม่อาจเห็นเรือตะวันได้อีกต่อไป ตะวันดับแสงเองก็กลายเป็นจุดดำเล็กๆ ที่กลืนหายไปกับทิวทัศน์ยามสนธยา

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version