81. แดนมืด
เด็กหญิงนักต้อนตะวันหายลับไปกับเรือตะวันของนาง และความมืดก็แผ่ขยายเข้ามากลืนกินทั่วดินแดน
ผู้นำตระกูลนักต้อนตะวันกะจะพูดอะไรกันแน่นะ
ฉินมู่จมอยู่ในห้วงคิดเมื่อความมืดเข้าครอบงำผืนแผ่นดิน เสามังกรเปล่งแสงเรืองรองอีกครั้ง และอ่างไฟยอดเสาหินตามถนนหนทางในเมืองก็ถูกจุดขึ้นมา วัดโบราณต่างๆ เปล่งแสงเรื่อเรืองในยามราตรี
จี้หยกที่อกของเขาก็มีแสงริบหรี่ จากคำบอกเล่าของเผ่านักต้อนตะวัน จี้หยกนี้น่าจะมาจากหมู่บ้านไร้กังวล และเขาเองก็น่าจะเกิดในหมู่บ้านไร้กังวลเช่นกัน แต่บนแผนที่ของแดนโบราณวินาศ ไม่มีบันทึกใดถึงหมู่บ้านไร้กังวล ราวกับว่าสถานที่นี้ไม่เคยมีอยู่ในแดนโบราณวินาศ
หมู่บ้านไร้กังวลอยู่ที่ไหนกันแน่นะ แล้วทำไมหมู่บ้านไร้กังวลถึงจะปรากฏได้ก็ต่อเมื่อความมืดมาเยือนเท่านั้นล่ะ
เขาจ้องมองความมืดภายนอกม่านพิทักษ์จากรูปสลักด้วยสายตาว่างเปล่า เขาอยากจะเข้าไปในความมืดเพื่อเสาะหาหมู่บ้านไร้กังวลนั่น แต่ว่าดินแดนที่ความมืดเข้าปกคลุมนั้นกว้างใหญ่ไพศาล ใครจะรู้ได้ว่าหมู่บ้านนั้นจะอยู่ซอกมุมไหนของแดนมืด
ความมืดนั้นอันตรายร้ายกาจ จี้หยกของเขาไม่เพียงพอที่จะพิทักษ์คุ้มกันเขา สมบัติวิเศษอย่างรูปสลักนั้นก็หนักอึ้งเกินไป การแบกรูปสลักนั้นหนักเท่ากับแบกเทพเจ้า เขาทำไม่ได้หรอก
พ่อแม่ข้าจะอยู่ที่หมู่บ้านไร้กังวลหรือเปล่านะ
ความมุ่งมั่นของฉินมู่โรยราลง เมื่อยืนอยู่บนเศียรมังกรของเสามังกร เขาก็ยกมือขึ้นไป ราวกับว่าหมายจะเข้าไปสัมผัสกับความมืดเข้มข้นข้างนอกนั่น
ด้วยความมืดที่ขมุกขมัวภายนอกเมือง ดูเหมือนจะมีเยื่อบางๆ กีดกั้นระหว่างแสงสว่างและความมืด ทันใดนั้นก็ปรากฏมือมหึมาที่เยื่อบางนั้น ราวกับว่ามันก็หมายจะสัมผัสมือของฉินมู่
ฉินมู่เงยหน้ามอง มือของเขาและมือยักษ์นั่นเข้าใกล้กันทุกขณะ
เสียงกระซิบกระซาบดังมาจากอนธการ ราวกับว่ามีเสียงกระซิบแผ่วเบานับร้อยนับพันอยู่ข้างหูเขา ชักชวนให้เขาเข้าไปโอบกอดความมืด
เสียงกระซิบเหล่านั้นดังขึ้น ดังขึ้นทุกที ราวกับเจาะทะลวงเข้าไปในสมอง เมื่อพวกมันชี้ชวนเขาซ้ำๆ
สายตาของฉินมู่พลันขมุกขมัวราวเมฆหมอก และมือของเขาก็ใกล้จะสัมผัสกับมือข้างนอก
ไม่นานนัก ความมืดตรงหน้าเขาก็มิใช่ความมืดมิดอีกต่อไป แต่กลับเป็นโลกกว้างใหญ่อลังการ เขาเห็นโลกในนั้นประดุจมองผ่านหมอกหรือเงาในน้ำ ที่ซึ่งมีสตรีนางหนึ่งยื่นมือมายังเขาจากสถานที่ไกลโพ้น หมายจะสัมผัสกับมือของเขา
ใบหน้าของสตรีนางนั้นพร่าเลือน แม้ว่าเขาพยายามเพ่งมองก็ไม่อาจเห็นชัดว่านางมีหน้าตาอย่างไร
จี้หยกที่ห้อยบนอกของเขา ค่อยๆ ลอยขึ้นไปเบื้องบน ราวกับว่ามันหมายจะลอยเข้าไปในโลกที่ปรากฏหลังความมืดนั่น
“มู่เอ๋อ เจ้ากำลังทำอะไร!”
เสียงอันโกรธเกรี้ยวและตระหนกใจดังมาจากข้างหลังฉินมู่ และฉินมู่ก็ชักมือกลับมา เฒ่าหนวกปรากฏที่เบื้องหลังเขา และทำให้เขาสะดุ้งกลับมามีสติสัมปชัญญะ เขารีบดึงมือกลับ เหงื่อเย็นเยียบหลั่งโซมกายเขา
หากว่าเขาแตะเข้ากับมือในความมืดนั่นจริงๆ จะเกิดอะไรขึ้น ทุกคนที่เข้าไปในความมืดล้วนแต่ตายอย่างน่าสยดสยอง งั้นเขาเองก็จะถูกแทะทึ้งจากปีศาจร้ายในความมืดด้วยหรือเปล่า
มือยักษ์ในความมืดนั่นก็ชักกลับไปเช่นกัน ภาพของโลกยิ่งใหญ่อลังการนั้นก็หายวับไป
ฉินมู่ที่ยืนทื่ออยู่คล้ายจะได้ยินเสียงทอดถอนใจดังมาจากความมืด แต่ดูเหมือนเฒ่าหนวกจะมองไม่เห็นไม่ได้ยินสิ่งประหลาดเหล่านี้ใดๆ
เฒ่าหนวกโกรธจนโลดเต้น ดึงเขาออกห่างจากความมืด จากนั้นดุด่าเขาด้วยความโมโห “ในความมืดมีมารปีศาจที่เก่งในเรื่องการล่อลวงใจผู้คน ระวังให้ดี อย่าให้มันหลอกเอาเจ้าไป!”
“มารปีศาจที่เก่งเรื่องการล่อลวงใจผู้คน?”
ตอนนี้เอง ฉินมู่ถึงตระหนักถึงความน่าขนลุกขนพองของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เขาเก็บจี้หยกกลับเข้าไปในเสื้อ ราวกับว่าหมายจะเก็บงำความคิดของตนเอาไว้กับจี้หยก จากนั้นครุ่นคิดในใจ จะต้องมีสักวันที่ข้าสามารถเดินดุ่มไปในความมืดได้ เพื่อค้นหาหมู่บ้านไร้กังวล!
“ท่านปู่หนวก มีอะไรอยู่ในความมืดกันแน่ ทำไมจู่ๆ ข้าก็มองเห็นสิ่งต่างๆ ในความมืด” ฉินมู่ขบคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนเอ่ยถาม
“มีแดนมืดซุ่มซ่อนอยู่ในความมืด”
เฒ่าหนวกกล่าวต่อ “ผู้ใหญ่บ้านรู้ดีที่สุดเกี่ยวกับแดนมืด เพราะเขาเคยไปที่นั่นมาก่อน พวกเราไปที่จวนเจ้าเมืองกัน ผู้ใหญ่บ้านก็อยู่ที่นั่น เขาจะได้อธิบายให้เจ้าฟัง”
ฉินมู่จิตใจหวั่นไหว ผู้ใหญ่บ้านเคยเข้าไปในโลกที่อยู่ในความมืดอย่างนั้นหรือ
ผู้ใหญ่บ้านแข็งแกร่งเยี่ยมยุทธแค่ไหนนะ ถึงสามารถรอดชีวิตมาได้แม้ว่าจะย่างเท้าเข้าไปในความมืด
“มู่เอ๋อ เจ้าสามารถมองเห็นโลกที่อยู่ในความมืดได้เชียวหรือ”
ในจวนเจ้าเมือง ทุกคนในหมู่บ้านพิการชรามารวมตัวกัน ท่านยายซียังคงสวมใส่ผืนหนังฝูอวิ๋นตี้ นักปรุงยา เฒ่าใบ้ เฒ่าหม่า เฒ่าหนวก เฒ่าบอด เฒ่าเป๋ คนแล่เนื้อ ทั้งหมดเงี่ยหูคำบอกเล่าสิ่งที่ฉินมู่ประสบบนเรือตะวันและมือในความมืดอย่างตั้งอกตั้งใจ
ผู้ใหญ่บ้านฟังแล้วก็ระงับความแตกตื่นใจไม่อยู่ “ข้าเคยไปที่โลกภายในความมืดจริงๆ นั่นแหละ เมื่อครั้งที่ข้ามายังแดนโบราณวินาศ ความหวังความฝันของข้าสลายเป็นเถ้าธุลี หัวใจของข้าตายด้านเมื่อความทะเยอะทะยานไม่ประสบผล แต่ทว่า ข้าก็ไม่อาจตายไปได้…”
เขาเผยรอยยิ้มขมขื่น ทว่าผู้เฒ่าทุกคนในหมู่บ้านพิการชราล้วนแต่เข้าใจความรู้สึกของเขา พวกเขาล้วนแต่มีความกล้าที่จะเผชิญกับความตาย แต่กลับมิอาจตาย เพราะว่าพวกเขาล้วนแต่ยังมีภาระรับผิดชอบที่แบกรับไว้บนบ่า และยังมิได้ส่งต่อให้ผู้อื่น
“ในตอนนั้นที่ข้าเฉียดอยู่บนเส้นแบ่งเป็นตาย หมายจะจบชีวิตตนซ้ำแล้วซ้ำเล่า ครั้งหนึ่งข้าไม่อาจต้านทานเสียงยั่วยุของปีศาจร้ายและย่างกรายเข้าไปในความมืด”
ผู้ใหญ่ระลึกความทรงจำด้วยสีหน้านิ่งสงบ “ข้าคิดว่า ข้าคงจะต้องตายเป็นแน่แท้ เมื่อข้าเข้าไปในความมืด แต่ว่าข้าแข็งแกร่งเกินไป ความมืดไม่อาจคร่าชีวิตข้าไปภายในระยะเวลาอันสั้น”
ประโยคนี้อาจจะทำให้ผู้อื่นคิดว่าเขาคุยเขื่อง แต่ผู้เฒ่าแห่งหมู่บ้านพิการชราไม่คิดเช่นนั้น เมื่อผู้ใหญ่กล่าวว่าเขาแข็งแกร่งเกินไป ก็แปลว่าเขาแข็งแกร่งเกินไปจริงๆ
สิ่งร้ายในความมืดนั้นน่ากลัวขนาดไหน ทุกคนในหมู่บ้านพิการชราล้วนแต่เป็นยอดฝีมืออันหาได้ยากในยุทธภพ แต่นอกจากผู้ใหญ่บ้านแล้วก็ไม่มีใครอื่นที่จะกล้ากล่าวว่าเมื่อตนย่างเท้าเข้าไปในความมืดแล้วจะรอดกลับมา
ผู้ใหญ่บ้านกล่าวต่อ “ข้าดุ่มเดินไปในความมืดอย่างบ้าคลั่ง กรีดร้องใส่มารร้ายและภูตผีในความมืด วิงวอนให้พวกมันประทานความตาย แต่ทันใดนั้น ความมืดเบื้องหน้าข้าก็มลายหายไป และข้าก็ได้เห็นโลกอีกใบหนึ่งท่ามกลางความมืด มันคือโลกที่มิติซ้อนทับกับแดนโบราณวินาศ แต่เป็นโลกคนละใบ มันเป็นโลกที่แปลกประหลาดอันผุดโผล่ขึ้นมาจากความมืดอย่างไม่รู้เหนือรู้ใต้…”
ทุกคนใจสั่นสะท้าน มีโลกอะไรแบบนี้อยู่ด้วยหรือ
แล้วโลกในความมืดหน้าตาเป็นอย่างไร
“แม้ว่าความมืดจะมลายไป แต่ก็มีบางอย่างที่คลี่คลุมสายตาของข้าเหมือนม่านหมอกบางๆ ทำให้ข้ามองไปได้ไม่ไกลนัก มีเงาร่างพร่าเลือนหลายเงาร่างช่วยทำให้ข้าฟื้นสติมาได้ และสามารถมองเห็นพวกเขา แต่ก็ไม่ชัดเจนนัก พวกเขาล้วนแต่มีกำลังฝีมือแข็งแกร่ง แข็งแกร่งยิ่งกว่าข้า พวกเขาโบกมือเรียกข้า ราวกับจะเชื้อเชิญข้าให้เข้าไปหา แต่เมื่อข้าระลึกถึงความรับผิดชอบที่ไม่อาจสลัดหลุด ข้าไม่อาจตายได้ จึงได้แต่ถอยออกมาจากความมืด”
ผู้ใหญ่บ้านกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงขรึม “หลังจากนั้นข้าก็ลองเข้าไปในความมืดอีกหลายต่อหลายครั้งเพื่อเสาะหาโลกมิติอันซ่อนอยู่ในความมืดแต่มิอาจพานพบ โลกที่มู่เอ่อเห็นนั้นน่าจะเป็นโลกมิติเดียวกันกับที่ข้าได้เห็น ข้าเรียกโลกมิตินั้นว่า ‘แดนมืด’ และโลกที่เราอาศัยว่า ‘แดนสว่าง’ แสงสว่างและความมืดหมุนเวียนเปลี่ยนผัน เมื่อกลางวันมาถึงแดนสว่างก็จะกลายเป็นโลกมิติหลัก แต่เมื่อตกค่ำ แดนมืดก็จะเข้ามาครอบงำแทน มู่เอ๋อ ผู้พิทักษ์ตะวันแห่งเผ่านักต้อนตะวันบอกเจ้าว่าเจ้าอาจจะมาจากหมู่บ้านไร้กังวล และบางครั้งหมู่บ้านไร้กังวลก็จะปรากฏในความมืดใช่หรือไม่”
ฉินมู่ผงกศีรษะ
ทุกคนมองกันไปมา ขณะที่นักปรุงยาแย้มยิ้ม “มู่เอ๋อ เจ้าไปพักก่อนเถอะ จักรวรรดิสันตินิรันดร์เพิ่งจะถอยทัพไป และยังมีพวกกเฬวรากที่หลงเหลือซุ่มซ่อนในฝูงคนดีๆ พวกเราจะต้องคอยเฝ้ายามราตรี”
ฉินมู่รับคำแล้วออกจากจวนเจ้าเมือง กลับไปนอนที่โรงเตี๊ยม
ในจวนเจ้าเมือง ผู้ใหญ่บ้าน นักปรุงยา เฒ่าเป๋ เฒ่าใบ้ ท่านยายซี และคนอื่นๆ อย่างมีสีหน้าหนักอึ้ง ไม่นานนัก เฒ่าเป๋ก็หัวเราะในคอ “เด็กที่พวกเราเลี้ยงดูมาอาจจะถือกำเนิดในแดนมืด มารปีศาจในโลกแห่งความมืด…”
เฒ่าหนวกกระดิกหูเหล็ก และทอดถอนใจ “พวกเราน่าจะนึกสงสัยมาตั้งนานแล้ว เพราะจู่ๆ เขาก็ปรากฏตัวขึ้นมาในความมืดในครั้งกระโน้น หากว่าเขาเป็นเด็กในครอบครัวมนุษย์ธรรมดา เขาน่าจะตายไปแล้วในสถานการณ์แบบนั้น แต่กลับรอดชีวิตมาได้ในความมืด เจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ เฒ่าใบ้”
เฒ่าใบ้ร้องเสียง อาๆ สองสามที เฒ่าหนวกฟังแล้วก็แค่นเสียงหยัน “ไม่ต้องพูดเข้าข้างเขา! คนละเผ่าพันธุ์จิตใจจะเหมือนกันได้อย่างไร!”
“เฒ่าหนวก เจ้าก็สุดโต่งไปนะ”
นักปรุงยากล่าวอย่างเคร่งขรึม “จี้หยกของมู่เอ๋ออาจจะมาจากหมู่บ้านไร้กังวล แต่ตัวเขานั้นไม่แน่ว่าจะมีที่มาเดียวกัน ยิ่งไปกว่านั้น แล้วอย่างไรล่ะถ้าเขาจะมาจากหมู่บ้านไร้กังวล ไม่เคยมีใครไปที่นั่นมาก่อน เจ้าจะรู้ได้อย่างไรว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของแดนมืด และเป็นสถานที่ชั่วร้าย ไม่ใช่มีแต่มารปีศาจที่อาศัยอยู่ในแดนมืดซะหน่อย อาจจะมีความเป็นไปได้อื่นเกี่ยวกับชาติกำเนิดของมู่เอ๋อก็เป็นได้”
ยายเฒ่าซียิ้มหยัน “แล้วอย่างไรถ้ามู่เอ๋อจะเป็นปีศาจน้อยจากแดนมืด เขาคือเด็กที่พวกเราเลี้ยงมาด้วยหยาดเลือดและน้ำตา เขาคือเลือดเนื้อในอุทรของพวกเรา!”
เฒ่าเป๋ย้อนอย่างโมโห “ยายเฒ่า เจ้าพูดเลอะเทอะไร้เหตุผล…”
“เลอะเทอะไร้เหตุผล? ไอ้เป๋ที่น่าตาย นี่แปลว่าเจ้ากำลังคิดจะฆ่ามู่เอ๋อสินะ?”
…
พวกผู้เฒ่าเถียงกันไปมา เฒ่าหม่าที่นิ่งเงียบจนถึงบัดนี้พลันเอ่ยคำพูด “พวกเราคือผู้ที่เลี้ยงดูมู่เอ๋อมา และพวกเราก็คือผู้ที่สั่งสอนเขา หากว่าเราเป็นปีศาจ เราก็คงจะเลี้ยงปีศาจขึ้นมา พวกเราเป็นคนอย่างไรนั่นแหละที่กำหนดว่าเราจะเลี้ยงเด็กขึ้นมาอย่างไร”
ทุกคนนิ่งงัน เฒ่าหม่าเป็นคนพูดน้อย แต่ทุกคำที่เขาพูดมักล้ำค่าประดุจทอง
“เฒ่าหม่าพูดถูกต้อง”
เฒ่าหม่าเป็นคนที่เฒ่าเป๋นับถือที่สุด ดังนั้นเขาจึงพยักหน้าเห็นด้วย “ข้าคงกังวลมากไปเอง แล้วเจ้าว่าอย่างไรล่ะเฒ่าหนวก”
เฒ่าหนวกหันไปมองเฒ่าใบ้เพราะเขาสนิทกับเฒ่าใบ้ที่สุด หน้าแดงก่ำของเฒ่าใบ้ที่เกิดจากกรำไฟในเตาหลอมโรงตีเหล็กเผยรอยยิ้มแย้ม และพูดอาๆ เฒ่าหนวกตอบไป “ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ใช่คนชั่ว ส่วนตัวข้าเองก็นับว่าเป็นคนดีคนหนึ่ง หากว่ามู่เอ๋อกลายเป็นมารปีศาจ ก็คงเพราะตาเฒ่าพวกนี้แหละ นอกจากเราสองคนแล้ว ในหมู่บ้านนี้ก็ไม่มีตัวดีอันใด!”
ท่านยาย “ไอ้หนอนหนังสือที่น่าตาย เจ้าเหยียดหยามอคติกับผู้ฝึกวิชามารหรืออย่างไรหา”
เฒ่าหนวกยิ้มเยาะแล้วถอดหูเหล็ก ส่งสัญญาณว่าเมินทุกคน
ผู้ใหญ่บ้านปวดหัวตึ้บแล้วกล่าว “พวกเราอยู่หมู่บ้านเดียวกัน พูดจาอะไรก็น้อยๆ หน่อยเถอะ เฒ่าหนวก เสียบหูเจ้ากลับเหอะ ถอดออกล่ะดูน่าขนลุกชะมัด”
เฒ่าหนวกเสียบหูเหล็กกลับเสียงดังพล็อพ ผู้ใหญ่บ้านจึงกล่าวต่อ “ข้ากำลังคิดว่าจะพามู่เอ๋อเข้าไปในแดนมืด หาดูว่ามีหมู่บ้านไร้กังวลอยู่ที่นั่นไหม”
ทุกคนกระโดดโหยงด้วยความตกใจ
ผู้ใหญ่บ้านเผยยิ้มกล่าว “ไม่ต้องห่วง ตอนที่ข้าเข้าไปในแดนมืดครั้งแรก นั่นก็สี่ร้อยปีก่อน ผ่านมาจนถึงตอนนี้พลังฝีมือข้ารุดหน้าไปมาก ไว้ข้าเตรียมตัวสักหน่อยค่อยพามู่เอ๋อไปเตร็ดเตร่ในความมืด”