ตอนที่ 153 ข้า…กายาจ้าวแดนดิน
เมื่อฉินมู่และคณะมาถึงยอดเขา พวกเขาก็เห็นความฟุ่มเฟือยหรูหราของสถานที่นี้ สิ่งก่อสร้างและราชวังทุกแห่งล้วนแต่เปล่งประกายเจิดจรัสจากเนื้อทองคํา เสาของโถงวังใจกลางนั้นหนาขนาดสองคนโอบ แถมยังมีเทวรูปทองคําและมีคนเถื่อนจํานวนมากมายยืนอยู่ใต้เทวรูป
ทันใดนั้นเทวรูปทองคํานั้นก็ขยับเขยื้อน ฉินมู่สะกิดใจและพลันพบว่านั่นมิใช่เทวรูปแต่เป็นหมอผีใหญ่!
หมอผีใหญ่แห่งวังทองโหรวหลันได้ขัดเกลาบ่มเพาะร่างกายจนกลายเป็นทองเนื้อแท้ เปล่งแสงทองเจิดจ้า!
เบื้องหน้าของราชวังทองคําและใต้ประตูสูงเยี่ยม หมอผีใหญ่นั้นก็ดูประดุจเทพยดาที่ส่องแสงทองระยิบระยับ ทั้งดูเคร่งขรึมและทรงศักดิ์ ที่นําหน้าสุดนั้นเป็นผู้เฒ่าที่มีเส้นผมสีทองและร่างทองคําอันสูงใหญ่กํายํา เขาสวมใส่เสื้อผ้าสีเดียวกับร่างทองและมีไม้เท้าอยู่ในมือ ที่ศีรษะสวมมงกุฎขนนกเขากล่าวถามด้วยเสียงก้องกังวาน “ข่านบู๊ เจ้าพเนจรไปทั่วอย่างเสรีตลอดหลายปีที่ผ่านมา ไฉนจึงเสนอตัวมามอบแก่พวกเราถึงประตูในวันนี้”
“เสนอตัวถึงประตู…เป็นคําที่ยอดเยี่ยม วัวเขียววางประตูภูเขา!”
วัวเขียววางประตูภูเขาลงไปเสียงดังครืนสนั่นหวั่นไหว
คณบดีป้าซานหัวเราะดังลั่น “หมอผีอาวุโส ข้าได้นําประตูภูเขามาส่งถึงที่ พี่น้องหมอผีเฒ่าทั้งหลายที่อยู่ที่นี่ดูเหมือนว่าจะเคยโดนข้าอัดจนน่วมมาก่อน เมื่อข้าขวางประตูอยู่ร้อยวันในครั้งโน้น ข้าก็ได้ทําให้
หมอผีพวกเจ้าบาดเจ็บบ้างล้มตายบ้าง ข้าไม่อาจออมมือเมื่อสู้กับผู้แข็งแกร่ง ดังนั้นข้าจึงได้แต่ต้องสังหารพวกเขา ขณะที่พวกอ่อนหัดด้อยฝีมือล้วนแต่รอดชีวิตภายใต้นํ้ามือข้า และพวกอ่อนหัดที่ว่าก็ดูท่าจะรวมตัวตรงหน้าข้า ณ บัดนี้”
ในชั่วขณะที่เขากล่าวออกไป คนทั่วทั้งภูเขาต่างก็คํารามอย่างแค้นเคือง ผู้ ฝึกยุทธ์แกร่งในรุ่นอาวุโสทั้งหลายในวังทองโหรวหลันไม่อาจข่มระงับโทสะอันเดือดพล่าน ทําให้อากาศโดยรอบมีบรรยากาศขมุกขมัว
คณบดีป้าซานนั้นปากร้ายเป็นอย่างยิ่ง พูดไม่กี่ประโยคก็ล่วงเกินยอดฝีมือในวังทองโหรวหลันทุกตัวคน กระตุ้นต่อมโทสะของพวกเขา บวกกับข้อเท็จจริงที่เขาแบกประตูภูเขาขึ้นมาบนยอดเขาด้วย ทําให้พวกเขาไม่สามารถปล่อยวางอภัยได้
หนึ่งในหมอผีใหญ่ที่ยืนอยู่มีสีหน้าเคร่งขรึมและเย้ยหยันด้วยนํ้าเสียงอันเหมือนกับโลหะเสียดสีกัน “อาการบาดเจ็บของพวกเราหายดีตั้งนานแล้ว ตลอดหลายปีที่ผ่านมาวังทองเราได้ขัดเกลาพละกําลังของตนและหวังอย่างสุดจิตสุดใจที่จะแลกหมัดกับข่านบู๊อีกรอบ เพื่อล้างอายจากครั้งเก่าก่อน”
คณบดีป้าซานเผยอยิ้ม “เจ้าย่อมมีโอกาสแน่ แต่ข้าคงไม่ต่อยตีเจ้าถึงตายหรอกนะ เพราะว่าครั้งนี้ข้ามาแค่ขวางประตูเท่านั้น”
เขานําฉินมู่และหลิงอวี้จิวไปข้างหน้า และเดินมายังประตูของวังทอง เขาเงยหน้าขึ้นเพ่งพิศประตูภูเขานั้นพลางหวนระลึกถึงอดีต ถอนหายใจอย่างสะทกสะท้อน “เฮ้อ เมื่อครั้งนั้นข้าตามอาจารย์มาที่ประตูภูเขานี้และต่อยตีคนตายไปตั้งหลายคน…”
ดวงตาของเหล่าหมอผีใหญ่อันเรืองรองเจิดจ้าเหมือนเนตรเทพยดาต่างก็ถลึงจ้องพวกเขาจนตาลุกเป็นไฟ
คณบดีป้าซานหันหลังกลับไปและขยิบตาให้แก่ฉินมู่และหลิงอวี้จิว “และตอนนี้ข้าก็จะปล่อยให้ประตูภูเขานี่เป็นธุระของพวกเจ้า”
หลิงอวี้จิวกังวลเล็กน้อยและกล่าวด้วยเสียงเบา “อาจารย์ กฎธรรมเนียมของที่นี่ดูเหมือนจะแตกต่างจากสันตินิรันดร์”
คณบดีป้าซานซึ่งมีใบหน้าเกลื่อนยิ้มกล่าวด้วยเสียงเบาเช่นกัน “สํานักเต๋าและวัดใหญ่ฟ้าคํารามมาที่มหาวิทยาลัยจักรวรรดิเพื่อขวางประตูนั้นเป็นเพียงการประชันขันแข่งกับพวกเราแต่มิได้ชิงเป็นชิงตาย หลังจากต่อสู้แล้วเราและพวกเขาก็ล้วนแต่ยังคงสุภาพนับถือกัน แต่สําหรับที่แห่งนี้ ทุกๆ คนต่อสู้กัน จนกว่าจะตายไปข้าง ในบางครั้งเจ้าสามารถออมมือให้คู่ต่อสู้รอดชีวิต แต่หากเจ้าเจอคู่มือที่ฝีมือสูสีคู่คี่กับเจ้า เจ้าจะต้องสังหารพวกเขา เพราะมันจะยากที่เจ้าจะออมมือ เมื่อครั้งนั้นข้าได้พบกับยอดฝีมือมากมายที่มีกําลังฝีมือระดับเดียวกัน จึงเป็นเหตุให้ข้าต้องลงมือสุดกําลังสังหารไปหลายคน”
หลิงอวี้จิวฟังแล้วก็ชาไปถึงหนังศีรษะ ฉินมู่เองก็สูดลมหายใจลึกและตั้งใจมั่น ในที่สุดก็ได้เจอที่ที่ใช้
กฎธรรมเนียมของแดนโบราณวินาศเสียที
แดนโบราณวินาศก็มีกฎธรรมเนียมเดียวกันนี้!
หมอผีอาวุโสก้าวมาข้างหน้าและมายังใต้ประตูภูเขาทองคํา สายตาของเขาทอดลงไปยังฉินมู่และหลิงอวี้จิวขณะที่กล่าวด้วยจังหวะอันไม่ช้าไม่เร็ว “พวกเราใช้กฎเดิมในการขวางประตูล่ะกัน ต่อสู้โดยไม่สนเป็นตาย นอกจากนั้นข้าก็ยังต้องถอนตําแหน่งข่านบู๊ของเจ้าด้วยโดยไม่สนเป็นตายเช่นกัน!”
สีหน้าของคณบดีป้าซานไม่แปรเปลี่ยนและกล่าวอย่างชัดเจน “ทุกท่าน วรยุทธ์ของพวกเขาอยู่ในขั้นห้าธาตุ”
“พวกเราเข้าใจกฎของการขวางประตูดี” หมอผีอาวุโสนั้นยังคงมีสีหน้าเรียบนิ่งไม่สําแดงอารมณ์ใด และ
กระแทกไม้เท้าของเขาลงกับพื้นหนึ่งครา “จงฟัง ศิษย์แห่งวังทองทั้งหลาย ต่อสู้ประลองกับพวกเขาด้วยวรยุทธ์ขั้นห้าธาตุ จงสู้ยิบตาไม่สนเป็นตาย ใครก็ตามที่กล้าใช้วรยุทธ์ขั้นสูงกว่าห้าธาตุในการ ประลอง ข้าจะเอาชีวิตมันผู้นั้นด้วยมือข้าเอง!”
เสียงของเขาไม่ดังตะโกนแต่กลับเผยแพร่กังวานไปทั่วทั้งภูเขา
เมื่อหมอผีอาวุโสกล่าวเช่นนั้น เขาก็มองไปที่คณบดีป้าซานทันทีแล้วแย้มยิ้ม “ข่านบู๊ เมื่อครั้งนั้นข่านสวรรค์พาเจ้ามาที่วังทองของเราเพื่อขวางประตู ฝีมือความสามารถของข่านสวรรค์นั้นไร้สิ้นสุดและย่อมทําให้ผู้คนนับถือยกย่องอย่างเต็มอกเต็มใจ แต่ทว่าเจ้าน่ะไม่ใช่ข่านสวรรค์”
สีหน้าของคณบดีป้าซานมืดครึ้มลงเมื่อเขาเดินผ่านประตูภูเขา และเสียงของเขาส่งผ่านไปยังจิตของฉินมู่และหลิงอวี้จิว “ศิษย์น้อง องค์หญิง ไม่ต้องกังวล ตราบใดที่พวกเขาสังหารข้าไม่ได้ พวกเขาก็จะยังคงท้าสู้กับเจ้าตามกฎธรรมเนียม แต่หากข้าถูกพวกเขาสังหาร พวกเจ้าทั้งสองก็จะตกอยู่ในอันตราย”
หลิงอวี้จิวและฉินมู่สะท้านใจอย่างรุนแรงทันที สวัสดิภาพของพวกเขาขึ้นอยู่กับชีวิตของคณบดีป้าซาน หากว่าคณบดีป้าซานสูญเสียตําแหน่งข่านบู๊และถูกกําจัด แถมด้วยการฆ่าปิดปากฉินมู่และหลิงอวี้จิวอีกทอด ก็จะไม่มีใครเผยแพร่ข่าวออกไป ด้วยวิธีนี้ ชื่อเสียงของวังทองโหรวหลันก็จะไม่ด่างพร้อย และโลกภายนอกก็จะไม่ล่วงรู้ถึงการมาท้าทายขวางประตูในครั้งนี้
ยอดฝีมือทั่วท้องทุ่งหญ้าล้วนแต่อยู่ใต้อํานาจปกครองของวังทองโหรวหลัน ตราบใดที่วังทองโหรวหลันถ่ายทอดคําสั่งมา พวกเขาย่อมหุบปากเงียบไม่บอกเล่าต่อ
หากว่าพวกเขาปล่อยให้คณบดีป้าซานรอดชีวิตออกไปจากวังทองโหรวหลันได้ เรื่องนี้ก็ย่อมจจะถูกเผยแพร่ออกไปอย่างกว้างขวางด้วยปากสว่างๆ ของป้าซาน ไม่เพียงแต่ทั้งทุ่งสะวันนาจะ รู้เรื่องนี้ แต่ทั้งโลกหล้าต้องได้รู้กันทุกหูแน่ๆ
คณบดีป้าซานเก่งที่สุดก็เรื่องแพร่ข่าวลือ
เมื่อเวลานั้นมาถึง ชื่อเสียงวังทองโหรวหลันคงกลิ้งคลุกฝุ่นไม่เหลือดี
ดังนั้นก่อนที่คณบดีป้าซานจะถูกสังหาร วังทองโหรวหลันย่อมไม่เล่นตุกติกกับฉินมู่และหลิงอวี้จิว แต่จะปฏิบัติต่อพวกเขาตามกฎธรรมเนียม
“นายผู้เฒ่า อย่าไปถูกเขาตื้บจนตายเอาซะล่ะ” วัวเขียวกล่าวให้กําลังใจด้วยเสียงอันดัง
คณบดีป้าซานสะดุดไปก้าวแล้วหันกลับไปด้วยความเดือดดาล “ขากลับ พวกเรากินวัวย่างกันแน่!”
วัวเขียวพลันย่นคอทันที
“สองผู้เยาว์ใจกล้า เจ้ารู้หรือไม่ว่ากําลังขวางประตูแดนศักดิ์สิทธิ์”
ทันใดนั้นก็มีเสียงดังมาจากข้างหลังฉินมู่ ฉินมู่และหลิงอวี้จิวยืนขึ้นและมองลงไปจากภูเขาเห็นหมอผีรูปลักษณ์ประหลาดจํานวนมากเดินอาดๆ ขึ้นมาขวางทางลงเขา
หนึ่งในหมอผีเหล่านั้นก้าวยาวๆ ออกมาเบื้องหน้า ร่างของเขาเปล่งแสงทองจางๆ เขามีเขาที่ศีรษะ ปีกที่หลัง และจะงอยที่ปาก วิธีการฝึกวิทยายุทธ์เช่นนี้อันแปลงร่างผู้ฝึกเป็นอมนุษย์นั้นนับว่าหาดูได้ยาก
“ศิษย์พี่” ฉินมู่และหลิงอวี้จิวทักทาย แต่หมอผีแห่งวังทองไม่คารวะทักทายกลับ เขากล่าวด้วยเสียง
ก้องกังวาน “มารยาทเป็นสิ่งที่จักรวรรดิสันตินิรันดร์ถือเคร่ง แต่วังทองโหรวหลันของเราไม่ได้มีกฎเกณฑ์มากมายขนาดนั้น หลังจากที่ฆ่าพวกเจ้าทั้งสองแล้ว ข้าจะดูดกลืนวิญญาณของพวกเจ้าเพื่อบ่มเพาะทักษะเทวะ คนเยี่ยงพวกเจ้านั้นแข็งแกร่งกว่าพวกทาสเหล่านั้นมาก และวิญญาณของพวกเจ้าคงแข็งแกร่งทนทานเป็นพิเศษ มันต้องเยี่ยมมากแน่ๆ ที่จะใช้วิญญาณแบบนี้บ่มเพาะวิชาเทวะของข้า!”
แววตาของฉินมู่เปลี่ยนวูบหนึ่งแล้วกล่าว “น้องสาว ให้ข้าเริ่มก่อนล่ะกัน ข้าจะทดลองวิชาและทักษะเทวะของพวกเขา”
หลิงอวี้จิวพยักหน้า แม้ว่ากําลังฝีมือของนางจะรุดหน้าไปอย่างอัศจรรย์ระหว่างการเดินทางมาที่นี่ แต่ก็ยังมีช่องว่างห่างชั้นระหว่างนางกับฉินมู่ อีกทั้งการที่ไม่รู้นอกรู้ในของวิชาหมอผี ทําให้พวกเขาอาจจะตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบเอาได้ง่ายๆ
ฉินมู่ปล่อยลมหายใจขุ่นมัวจากนั้นกล่าวอย่างเคร่งขรึม “วัวเขียว นําสัมภาระข้ามานี่!”
วัวเขียวก้าวเข้ามาและยกสัมภาระลงจากหลังของตน ฉินมู่เริ่มจากการสะพาย 2 ฝักดาบไว้ที่หลัง อันมีมีดเชือดหมูอยู่ในนั้นโผล่ไขว้กันขึ้นมา จากนั้นเขาก็สะพายกล่องกระบี่ไว้ข้างหลังฝักดาบคู่อีกที จากนั้นแขวนค้อนเหล็กยักษ์ ปักไม้เท้าไผ่ และสะพายกระบี่ผู้พิทักษ์เยาว์ไว้ที่ข้างสะเอว
วัวเขียวปล่อยรังสีฆ่าฟันออกมาเล็กน้อยแล้วถาม “ข้าได้ยินว่าเจ้าเคยเลี้ยงต้อนวัวในอดีต หากว่าขนาดข้าเจ้ายังไม่ชนะ และเจ้าจะต่อยตีพวกเขาไหวหรือ”
ฉินมู่ยืดเหยียดร่างกายเสียงดังกรอบแกรบ และตอบไปด้วยนํ้าเสียงไร้อารมณ์ “ข้าคือกายาจ้าวแดนดิน”
วัวเขียวตะโกน “นายผู้เฒ่าของข้าไม่เคยพ่ายแพ้ใต้วังทองแห่งนี้!”
ฉินมู่ยังคงมีสีหน้าไม่ใส่ใจ “ข้าถือกําเนิดมาพร้อมกับกายาจ้าวแดนดิน ทั่วโลกหล้านี้ไม่มีใครเอาชนะข้าได้ในวรยุทธ์ขั้นเดียวกัน”
หมอผีปีกนกควักสากบดยาทองคํามา 2 อัน เขาหัวเราะด้วยดวงตาเป็นประกาย “กายาจ้าวแดนดินนี่มันห่าอะไร ข้าไม่เคยได้ยินเรื่องเหลวไหลนี้มาก่อน”
ฉินมู่ขับเคลื่อนวิชากายาจ้าวแดนดินสามอมตะของตน ทําให้ปราณชีวิตของเขาโคจรด้วยความเร็วเดือดพล่านแผ่กระจายไปทั่วร่างเขาในเสี้ยววินาที
“ข้า…กายาจ้าวแดนดิน!” เขายกเท้าเผยให้เห็นรอยเท้าจมลึกลงไปในพื้นทองคําใต้เท้าเขา
ตูม!
ร่างของเขาพุ่งเข้าใส่หมอผีปีกนกด้วยความเร็วอัศจรรย์ที่ทําให้ผู้ชมดูเห็นเพียงแต่ภาพเงาค้าง
“กายาจ้าวแดนดินอันไร้เทียมทาน!” สีหน้าของหมอผีปีกนกแปรเปลี่ยนอย่างรุนแรงและเขารีบ
กระพือปีกของตน ทว่าไม่ทันที่เขาจะทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า หมัดของฉินมู่ก็ซัดพุ่งเข้ามาพร้อมกับเสียงคํารามมังกร ม่านตาของเขาพลันหรี่แคบเมื่อสิ่งที่เขาเห็นนั้นมิใช่หมัดแต่เป็นเศียรมังกร!
ในเสี้ยวพริบตาต่อมาเขาก็เห็น 2 เศียรมังกร ตามด้วย 3 แล้วก็ 4 !
ปีกของเขากระพือหมายจะบินหลบหลีก แต่มันสายไปเสียแล้ว ด้วยความเร่งร้อน เขาได้แต่ใช้สากบดยาทองคําขึ้นมาขวางกั้นตรงหน้า สากบดยาทองคําทั้ง 2 พลันบิดงอและพลังหมัดของฉินมู่ถึงกับทําลายอาวุธวิญญาณทั้ง 2 นี้จนบี้แบนเหมือนกระดาษ ราวกับว่าพวกมันถูกปั้นขึ้นมาจากโคลน
วิ้ว
หมอผีปีกนกบินขึ้นไปบนท้องฟ้า และแปรเปลี่ยนเป็นหมอกละอองเลือด เมื่อทั้งร่างของเขาระเบิดละเอียดเสียงดังปังจากหมอกเลือดนั้นมีเสียงคํารามเหล่ามังกร พลันหมอกเลือดก็ก่อรูปเป็นมังกรดุร้าย 45 ตัว ราวกับว่ามิใช่หมัดของฉินมู่ แต่เป็นมังกรดุ 45 ตัวนี้ที่เป่าหมอผีปีกนกจนเป็นผุยผง!
ส่วนฉินมู่ที่ยืนอยู่บนแท่นทองคําให้ประตูภูเขา ก็รั้งหมัดกลับสู่สภาวะสงบนิ่งในทันที ปราณชีวิตอันพลุ่งพล่านของเขาก็กลับมาราบเรียบและสีหน้าเขาดูสงบสันติราวกับเมื่อครู่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“วัวเขียว นายผู้เฒ่าของเจ้าต้องใช้เวลาร้อยวันเพื่อสยบทั้งวังทองโหรวหลัน”
ฉินมู่หันกลับไปและทอดสายตามองเหล่าหมอผีที่เรียงรายอยู่เบื้องหน้าแท่นทองคําด้วยสายตาเย็นเยียบ “แต่ข้า จะใช้เวลาแค่วันเดียว”
เขายืนอยู่ใต้ประตูทองและเสียงของเขานั้นเหมือนฟ้าคํารามสะท้อนก้องไปทั่ววังทองโหรวหลัน “ข้าต้องการเวลาแค่วันเดียวเพื่อบดขยี้จิตวิญญาณฮึดสู้ของศิษย์ทุกคนในวังทองโหรวหลัน เหยียบทลายความหยิ่งผยองและเกียรติศักดิ์ศรีของพวกเขาไว้ใต้ฝ่าเท้าของข้า!”
“บังอาจ!”
หมอผีผู้หนึ่งโลดเต้นด้วยความเดือดดาล และวิ่งตะลุยอย่างบ้าบิ่นใส่ฉินมู่ เมื่อเขาวิ่งไป เขาก็แปลงร่างอย่างสมบูรณ์แบบ หน้าผากและผิวหนังของเขาฉีกกระจายไปทุกทิศทางเมื่อเขางอกเงยหัวช้างขึ้นมา ร่างกายเขาสูงใหญ่ขึ้นและกํายํามากขึ้น ฉีกทึ้งเสื้อของตนเป็นชิ้นๆ ขณะที่แขนขาเขาก็ขยายใหญ่เท่ากับท่อนขาช้างสาร
แสงทองเปล่งออกจากศีรษะคชสารและร่างมนุษย์ของเขา ราวกับว่าเป็นเทพยดาผู้ฟื้นคืนชีพมาจากการบูชายัญ เปี่ยมไปด้วยพละกําลังไร้สิ้นสุด!
เห็นได้ชัดว่าวรยุทธ์และกําลังฝีมือของเขาเหนือลํ้ากว่าหมอผีปีกนกมาก ร่างของหมอผีปีกนกนั่นยังมิได้แปรเปลี่ยนเป็นร่างทอง แต่หมอผีหัวช้างผู้นี้ดูราวกับว่าหล่อหลอมขึ้นจากทองแท้!
ตูม!
หมัดใหญ่เท่าหม้อซัด เข้าใส่ฉินมู่ ทําอากาศสั่นสะเทือนไปหมด สร้างเสียงฟ้าร้องคํารามแผ่พุ่งไปข้างหน้า อากาศอัดแน่นขาวเป็นวงก็ระเบิดแผ่จากใจกลางหมัดออกไปทุกทิศทาง!
ข้างหลังฉินมู่ ขนสีขาวพิสุทธิ์ของฮู่หลิงเอ๋อถูกลมแรงหมัดนั้นซัดเป่าให้ลู่ไปข้างหลัง เช่นเดียวกับเส้นเกศางดงามของหลิงอวี้จิว
“ตายซะ!” หมอผีหัวช้างคําราม
ฉินมู่กระโดดขึ้นหลบหลีกหมัดอันกร้าวแกร่งนี้ไปข้างๆ เขาชักมีดออกมาถือ 2 มือแล้วพุ่งทะยานเข้าไปเบื้องหน้าหมอผีหัวช้าง
ด้วยประกายวูบที่พลันเจิดจ้า เสยมีดจากที่ต้องห้าม!
ฉินมู่ทะยานขึ้นไปบนอากาศ และตีลังกาถอยหลัง เมื่อเท้าเขาแตะพื้นอีกครา เขาก็เสียบมีดคู่กลับเข้าฝัก ในเวลาเดียวกันนั้นร่างของหมอผีหัวช้างก็พลันถูกผ่าออกเป็น 2 เสี่ยงแล้วกลิ้งหล่นลงจากภูเขา ย้อมขั้นบันไดทองคําให้แดงเถือก
หมอผีอีกคนหนึ่งพลันตาแดงกํ่าด้วยความพิโรธ และพลันกระชากธงดําผืนหนึ่งออกมาแล้วบุกเข้าไปใส่ฉินมู่ ตะโกนอย่างเฉียบขาด “ข้าจะป่นวิญญาณเจ้าตายซะ!”
ฉินมู่ใช้วิชามารฟ้าเสกสรรตรึงวิญญาณและจิตของตน ยกมือหนึ่งและนิ้วหนึ่งขึ้นมา กล่องกระบี่ที่หลังของเขาก็เปิดออก และกระบี่เล่มหนึ่งหวีดหวือออกไปเมื่อมันพุ่งแทงทะลุใจกลางระหว่างคิ้วของหมอผีผู้นี้
ฉินมู่พลิกนิ้วขึ้นเรียกกระบี่บินพุ่งวาบกลับมา เก็บเข้าไปในกล่องกระบี่พร้อมกับรอยแสงโลหิตเป็นทางยาว