ตอนที่ 159 ดวงตาของเฒ่าบอด
เสาแสงทั้ง 2 นั้นคือพลังสายตา และเจ้าของสายตานั้นกําลังโบยบินอยู่บนท้องฟ้าและสํารวจท้องทุ่งสะวันนา 2 เส้นสายตานั้นฉายโชนลงมา จุดประกายท้องทุ่งให้สว่างไสวด้วยแสงทอง สายตานี้กวาดมองทั่วหมู่บ้านเชิงเขาแห่งนี้ จากนั้นเคลื่อนห่างออกไปไกลลิบๆ
ฉินมู่ระบายลมหายใจโล่งออก จากนั้นเปิดประตูเพื่อมองขึ้นไปบนฟ้า เขาเห็นดวงดาว 2 ดวงนั้นฉายเสาแสงเจิดจรัสไปตลอดทางอันครอบคลุมรัศมีห้าหกลี้ ก่อนที่จะเคลื่อนจากไปที่ไกลๆ
“ไม่รู้ว่าศิษย์พี่ป้าซานจะเป็นอย่างไรบ้างนะ…” เขากังวลอยู่ไม่น้อย
คนที่เพิ่งผ่านไปนั้นน่าจะเป็นยอดฝีมือจากวังทองโหรวหลันในระดับราชาหมอผี เมื่อพวกเขาติดตามมา ก็ไม่พบหมู่บ้านนี้ เพราะว่าวัวเขียวมิได้ทิ้งร่องรอยใดๆ ไว้ และไม่มีตะเกียงถูกจุดไว้ในหมู่บ้านเล็กๆ อันซุ่มซ่อนอยู่ในป่า ทุกๆ คนที่นี่ล้วนแต่เป็นผู้เฒ่าและเข้านอนแต่หัวคํ่า
แต่ทว่า ในเมื่อราชาหมอผีสามารถออกมาตามหาพวกเขาได้ ก็ดูเหมือนว่าคณบดีป้าซานไม่อาจหยุดยั้งขัดขวางพวกเขา ซึ่งก็เป็นไปได้ 2 อย่างว่าคณบดีป้าซานอาจจะบาดเจ็บหรือถูกล้อมกักเอาไว้อยู่
“เข้านอนกันเถอะ!”
ฉินมู่โยนขวดหยกเล็กๆ ให้หลิงอวี้จิวแล้วกล่าว “น้องสาว นํ้าลายมังกรนี้มีประสิทธิภาพเป็นอย่างยิ่งในการเยียวยาบาดแผลบนร่างของเจ้า เจ้าควรทามันบนร่างก่อนที่จะเข้านอนและพรุ่งนี้เช้าเราจะรีบออกจากหมู่บ้านไปในทันที!”
หลิงอวี้จิวพยักหน้าจากนั้นเดินกลับเข้าไปในห้อง สักพักหนึ่งเด็กสาวก็เปิดประตูและยื่นหัวออกมา เส้นผมดําเงางามของนางห้อยลงมาตรงหน้าอก นางเผยหัวไหล่เนียนละเอียดออกมาครึ่งหนึ่ง ขณะที่ร่างกายส่วนอื่นๆ ของนางซ่อนอยู่หลังประตู นางกล่าวอย่างเอียงอาย “เด็กเลี้ยงวัว มันมีบางจุดที่ข้ามองไม่เห็น ทําให้ข้าทาไม่ค่อยสะดวก…”
“ข้าช่วยเจ้าเอง!”
ฮู่หลิงเอ๋อวิ่งเข้าไปอย่างตื่นเต้นเกินเหตุ และแย้มยิ้ม “ข้าจะช่วยเจ้าทาให้ ไม่ต้องไปรบกวนคุณชายหรอก!”
คํ่าคืนนี้ผ่านไปอย่างเงียบงัน ในวันถัดมาก่อนพระอาทิตย์จะขึ้น ฉินมู่ตื่นขึ้นมายืดเหยียดร่างกาย ผู้เฒ่าในหมู่บ้านลุกขึ้นมาเช่นกันและได้ยินเสียงให้อาหารไก่ มีเสียงของคนที่ต้อนแกะออกไปจากเล้า เสียงของผู้เฒ่าผู้แก่ทักทายกัน ในชั่วแวบหนึ่ง ฉินมู่เผลอคิดไปว่าเขาได้กลับไปยังหมู่บ้านพิการชราในแดนโบราณวินาศ
“คู่รักน้อย พวกเจ้าตื่นหรือยัง อาหารเตรียมพร้อมแล้ว พวกเจ้าสามารถมาทานที่บ้านข้า!” เสียงของยายเฒ่าร้องเรียกจากนอกเรือน
ฉินมู่รับคําจากนั้นเข้าไปปลุกหลิงอวี้จิวและวัวเขียวก่อนที่จะช้อนตัวฮู่หลิงเอ๋อขึ้นจากเตียงและเดินออกมาจากบ้านซอมซ่อนี้
ในตอนนั้นเอง ก็มีเสียงดังมาจากนอกหมู่บ้าน “ที่นี่มีหมู่บ้านด้วย พวกเราเข้าไปถามทางกันเถอะ”
“ถามทางอะไรของเจ้า ข้าจะหลงทางได้ยังไง เป็นไปไม่ได้!” เสียงอันปริ่มเปี่ยมไปด้วยโทสะยิ้มหยัน “ข้าเคยไปที่นั่นมาก่อนและขวางประตูอยู่ร้อยวัน ข้าจะหลงทางได้อย่างไรห้ะ”
ฉินมู่ตกตะลึงและมีสีหน้าไม่เชื่อหูเมื่อเขารีบวิ่งไปที่หน้าหมู่บ้านในทันที
“ถามเขาหน่อยจะเสียหายอะไรเล่า เจ้าบอกว่าเจ้าจําทางได้ แต่สุดท้ายก็พาข้าเดินวกไปวนมาในทุ่งหญ้านานตั้งเท่าไร ข้าไม่ใช่ไอ้เป๋วายร้ายนั่นน่ะ ถึงจะวิ่งได้ไม่เหนื่อย…”
ฉินมู่มาที่ปากทางเข้าหมู่บ้านด้วยฝีเท้าเร่งร้อนและเห็นชายตาบอดผู้หนึ่งเดินมาพร้อมกับไม้เท้าไผ่ของตน ข้างๆ เขามีผู้เฒ่าที่ตัวขาดครึ่งใบหน้ารกเรื้อไปด้วยหนวดเครา ข้างหลังแบกมีดเชือดหมูมาด้วย 2 เล่ม ทําให้เขาดูดุร้ายเป็นพิเศษ
ฉินมู่ทั้งประหลาดใจและยินดี เขารีบวิ่งไปและกอดร่างครึ่งท่อนของผู้เฒ่านั้นโดยไม่พูดพรํ่าทําเพลง จากนั้นเขาก็โยนร่างครึ่งท่อนผู้เฒ่านั้นไปข้างๆ แล้วหันไปกอดเฒ่าบอดที่ผอมแห้ง
“คนแล่เนื้อ ข้าบอกเจ้าแล้วอย่างไรว่าพวกเรามาผิดทาง” ชายตาบอดพลันเบี่ยงหน้าหนีหลบฉินมู่ เขาตะเกียกตะกายหนีอ้อมกอดของฉินมู่แล้วมองไปที่คนแล่เนื้อที่นิ่งขึงตะลึงตรงมุมที่เขาถูกโยนทิ้งไป “เจ้าพาข้ามายังดินแดนนอกกําแพงใหญ่ แล้วดูสิว่าเกิดอะไรขึ้น เจ้าพาข้าหลงทางกลับมาถึงแดนโบราณวินาศ พวกเรากลับมาถึงหมู่บ้านพิการชรา! มู่เอ๋อ ปล่อยข้าด่วน หายใจจะไม่ออกแล้ว! ผู้ใหญ่บ้านอยู่ไหนแล้วยายเฒ่าล่ะกลับมาหรือยัง นักปรุงยา นักปรุงยา เลิกซ่อนตัวได้แล้ว ข้าเห็นเจ้านะว่าแอบอยู่
ตรงนั้น!”
หลังจากนั้นพักหนึ่ง เฒ่าบอดและคนแล่เนื้อก็เข้าไปทักทายผู้คนในหมู่บ้าน เมื่อผู้เฒ่าผู้แก่ในหมู่บ้านเห็นว่าทั้ง 2 คนอายุมากกว่าพวกเขาแถมยังพิการอีก พวกเขาก็แสดงความทึ่งชื่นชมไม่รู้จบ และอุทานว่าพวกเขาถึงจะชรามากแต่ก็ยังแข็งแรงดีอยู่
หลิงอวี้จิวออกมาจากห้องของนางหลังจากที่สระผมหวีผมเสร็จ และกระโดดโหยงด้วยความตกใจเมื่อเห็นผู้เฒ่าทั้ง 2 นางรีบวิ่งหนีกลับเข้าไปในห้องด้วยหัวใจเต้นตูมตาม “นั่นคือผู้เฒ่า 2 คนที่ขู่ขวัญข้ากับแม่ทัพน้อยฉินบนแม่นํ้าหย่งในวันโน้นนี่!”
ฉินมู่หามุมลับตาจากผู้เฒ่าทุกคนในหมู่บ้าน จากนั้นนําถุงหนังที่ข้างเอวของเขาออกมา เขาดันก้นถุงจากข้างนอกแล้วยื่นแขนเข้าไปล้วงข้าวของข้างในออกมา ดึงเอา 2 ขา อันตามมาด้วยลําตัวครึ่งหนึ่งจากนั้นกล่าว “ท่านปู่คนแล่เนื้อ ร่างทองครึ่งท่อนนี้ใช่ร่างกายที่ท่านทําหายหรือเปล่า”
“ไม่ นี่ไม่ใช่ร่างของข้า” คนแล่เนื้อเพ่งพิศดูอย่างถี่ถ้วนยังร่างทองครึ่งท่อนล่าง และลองใช้มีดกรีดดู เมื่อแตะสัมผัสโลหิตทองคําที่ไหลออกมา เขาก็เอ่ยอย่างสงสัยใจ “ร่างนี้ดูเหมือนจะเป็นของหมอผีอาวุโส ข้าได้สู้กับไอ้เฒ่าแสบนี่ครั้งนึงและคุ้นเคยกับเลือดของเขาเป็นอย่างยิ่ง ร่างครึ่งท่อนนี้ตายไปเรียบร้อยแล้ว ทําให้มันใช้ทําอะไรไม่ได้”
ฉินมู่เองก็ก้าวเข้าไปแตะเลือดทองคําที่กําลังเริ่มจับตัวเป็นก้อนแต่ทว่ามันยังคงมีคุณสมบัติธาตุไฟแฝงอยู่ข้างในนั้นและหยดเลือดหยาดนี้ก็ขยุกขยักบนปลายนิ้วของเขาทําท่าจะแทรกซึมเข้าไปในร่าง
ฉินมู่พลันโคจรปราณของตนแปรเปลี่ยนให้เป็นปราณชีวิตหงส์แดงเพื่อแผดเผามันอย่างไม่หยุดหย่อน เขาต้องออกแรงพลังอยู่มากกว่าจะแผดเผาเลือดหยดนี้ให้ระเหยหายไปได้หมด “ในเมื่อ นี่เป็นร่างครึ่งท่อนของหมอผีอาวุโส เช่นนั้นก็แปลว่าร่างครึ่งท่อนของท่านปู่คนแล่เนื้อคงอยู่บนตัวของหมอผีอาวุโส”
“ไอ้เฒ่าแสบนั่นคลั่งไคล้ชื่นชมข้าขนาดนี้เชียวรึ” คนแล่เนื้อลูบเคราของตนเองไปมา และรู้สึกภาคภูมิใจ “ถ้าอย่างนั้น บุตรที่เขาให้กําเนิดมานี่มันเป็นบุตรของเขาหรือของข้า”
เคราครึ้มบนใบหน้าเขาแข็งราวกับหนามเหล็ก ให้เสียงครืดคราดโกร่งกร่างยามที่มือเขาลูบไป ยิ่งเขาขบคิดมากเท่าไร เขาก็ยิ่งพึงพอใจมากยิ่งขึ้น จนอดไม่ได้ที่จะหัวเราะด้วยเสียงอันดัง
เฒ่าบอดกล่าวอย่างไม่ช้าไม่เร็ว “หากว่าเขามีลูกชายขึ้นมาจริงๆ หรือแม้แต่ลูกเป็นฝูงๆ เจ้าจะรับเป็นพ่อเด็กพวกนั้นไหมล่ะ”
คนแล่เนื้อสะดุดกึก และสีหน้าของเขาขมขื่นขึ้นมาทันที สีหน้าภาคภูมิใจเมื่อครู่หายวับหมดเกลี้ยง
ด้วยประโยคเดียวของเฒ่าบอด ก็ทําเอาคนแล่เนื้อนิ่งอึ้งไปไม่สนใจโลก
เฒ่าบอดจึงถามฉินมู่ “มู่เอ๋อ เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”
ฉินมู่เล่าเรื่องราวทั้งหมด และเฒ่าบอดก็ร้องออกมา “เจ้าถึงกับไปขวางประตูวังทองโหรวหลัน? กล้าอะไรอย่างนี้ เหตุผลที่ข้าออกมากับคนแล่เนื้อนั้นก็เพื่อไปที่วังทองโหรวหลัน พวกเราได้ข่าว
ว่าร่างครึ่งท่อนของคนแล่เนื้อถูกวังทองโหรวหลันแย่งชิงไป คนแล่เนื้อกล่าวว่า ต่อให้พวกเราค้นมันพบแต่ก็ไม่รู้ว่าจะต่อกลับเข้าไปใหม่ได้ไหม”
ฉินมู่ยิ้มกล่าว “หากว่าร่างครึ่งท่อนนั้นเนื้อตายไป ก็ย่อมต่อไม่ได้ แต่ในเมื่อร่างครึ่งท่อนล่างของท่านปู่คนแล่เนื้ออยู่บนร่างของหมอผีอาวุโส เขาย่อมเชื่อมต่อมันเข้ากับร่างของเขาระหว่างที่ร่างครึ่งท่อนนั้นยังมีชีวิตอยู่ ขอแค่เราตามหาตัวหมอผีอาวุโสเจอ แล้วฟันร่างครึ่งท่อนของเขาออกมา ข้าสามารถช่วยท่านปู่คนแล่เนื้อเชื่อมต่อร่างกายได้ใหม่อีกครั้ง!”
เฒ่าบอดแย้มยิ้มแล้วกล่าว “นั่นเรื่องเล็กเจ้าตะกูดคนแล่เนื้อนี่จะได้ครบสมบูรณ์สักที แต่ก่อนนั้นนกเขาเขาก็ยังไม่มี”
คนแล่เนื้อเต้นด้วยความเดือดดาล “ข้าสามารถเปลี่ยนปราณชีวิตให้เป็นร่างกาย เจ้าหมายความว่ายังไงที่ว่าข้าไม่มีนกเขา ข้ายังฉี่และขี้ได้เว้ย!”
ทั้งคู่เริ่มทะเลาะอันอีกครั้ง ทําให้ฉินมู่ปวดกบาล
ฉินมู่รีบกล่าว “ศิษย์พี่ป้าซานยังคงติดแหง็กอยู่ที่วังทองโหรวหลานไม่ทราบเป็นตาย ท่านปู่ทั้ง 2…”
คนแล่เนื้อส่ายหน้า “ไม่ต้องสนมันหรอกเจ้าหมอนี่มันปากไม่มีหูรูดพูดโพล่งอะไรออกมาหมดไม่รู้จักหยุดหย่อน ข้าเคยเจอมันที่สันตินิรันดร์ครั้งหนึ่ง และมันก็ไม่ยักกะตายจากการปากมากของตนเอง ข้าเบื่อความพูดนํ้าไหลนํ้าดับก็เลยหนีมา”
แม้ว่าเขาจะพูดอย่างนี้ แต่เขาก็อยากจะรีบเร่งไปวังทองโหรวหลันในทันที เขาก็ยังคงกังวลกับความปลอดภัยของคณบดีป้าซานอยู่นั่นเอง
ฮู่หลิงเอ๋อและหลิงอวี้จิวนั้นก็เก็บข้าวของเรียบร้อย และหลิงอวี้จิวก็แวะไปที่บ้านของตาเฒ่ากับยายเฒ่าเพื่อมอบก้อนทองไว้ให้เล็กน้อย แม้ว่าพวกเขาจะพักอยู่ที่นี่แค่คํ่าคืนเดียว แต่ก็ได้รับนํ้าจิตนํ้าใจของ 2 ตายายอย่างเต็มที่ ยิ่งไปกว่านั้นทั้งหมู่บ้านนี้เหลือแต่ผู้ชราและป่วยไข้ ไม่มีคนหนุ่มสาวหลงเหลือ การให้เงินทองกับพวกเขาเอาไว้ก็อาจจะช่วยให้พวกเขาประทังชีวิตในบั้นปลายได้
คนแล่เนื้อมองไปที่หลิงอวี้จิว เห็นได้ชัดว่าเขาลืมองค์หญิงเจ็ดไปแล้ว เขาฉีกยิ้ม “เด็กแสบนี่ตามีแวว สาวน้อยคนนี้ไม่เลวเลยทีเดียว”
หลิงอวี้จิวรวบรวมความกล้าของตนเองเพื่อก้าวไปข้างหน้า และคารวะทักทายเขาและเฒ่าบอด
“วัวเขียววิ่งออกไปตอนเช้าหา ผักหญ้ากิน เขายังไม่ได้กลับมาเลย”
“งั้นไปตามกันเถอะ”
ทุกๆ คนออกจากหมู่บ้านและเห็นวัวเขียวมหึมากําลังเคี้ยวเอื้องต้นหญ้าแห่งทุ่งสะวันนา ขณะที่เขาเคี้ยวไปนํ้าตาก็ไหลพรากๆ ราวสายฝน ปากก็ครวญคราง “ตั้งแต่ข้าติดตามนายผู้เฒ่า ข้าได้กินผักกินสมุนไพรตลอดและไม่เคยต้องกินหญ้าเลย นายผู้เฒ่าถึงกับสร้างแปลงผักหลายไร่ปลูกผักปลูกดอกไม้ให้ข้ากิน…”
ฮู่หลิงเอ๋อกระโดดเข้าไปหาแล้วกล่าว “วัวรอง หยุดร้องได้แล้ว นายผู้เฒ่าของนายผู้เฒ่าของเจ้าอยู่ที่นี่ นายผู้เฒ่าของเจ้ามีหวังรอดแล้ว!”
สีหน้าของวัวเขียวบิดเบี้ยวเมื่อเห็นเฒ่าบอดกับคนแล่เนื้อซึ่งเหลือร่างเพียงครึ่งท่อนและสงสัยในฝีมือความสามารถของพวกเขา
ทุกคนปีนขึ้นหลังวัว และฉินมู่กล่าว “ไม่ต้องห่วง วัวเขียว พวกเขาแข็งแกร่งมาก พวกเรารีบไปวังโหรวหลันให้เร็วที่สุดดีกว่า จะได้ไปช่วยศิษย์พี่ป้าซาน”
วัวเขียวจึงได้แต่วิ่งตะบึงย้อนกลับไปทางที่หนีมา หลิงอวี้จิวเหลียวหลังกลับไปมองหมู่บ้านอันซ่อนเร้นอยู่ในป่าและลับตาไปแล้ว
“ผู้เฒ่าพวกนั้นกล่าวว่า พวกข่านสามสี่คนนอกกําแพงใหญ่กําลังต่อสู้รบรากัน นี่แปลว่าผู้คนนอกกําแพงใหญ่เองก็รู้สึกถูกคุกคามจากการผงาดขึ้นมาของจักรวรรดิสันตินิรันดร์”
หลิงอวี้จิวรวบรวมความคิดแล้วกล่าว “พวกเขาก็กําลังคิดที่จะสร้างจักรวรรดิยิ่งใหญ่อันเป็นหนึ่งเดียวเพื่อรวบรวมพละกําลังทั้งหมดมาเผชิญหน้ากับจักรวรรดิสันตินิรันดร์ ข่านเหล่านี้แห่งจักรวรรดิคนเถื่อนตี้คงจะเป็นผู้นําที่มากความทะเยอทะยาน หากว่าเขาสามารถรวบรวมดินแดนนอกกําแพงใหญ่เป็นปึกแผ่นได้ ข้าเกรงว่าคงเป็นภัยอุปสรรคต่อสันตินิรันดร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อสันตินิรันดร์ของพวกเรานั้นกําลังมีความปั่นป่วนวุ่นวายภายใน…”
ฉินมู่พยักหน้า “นี่คงเป็นเจตนาของวังทองโหรวหลัน เพราะอย่างไรแล้ววังทองโหรวหลันก็เป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ หากว่าพวกเขาสนับสนุนข่านแห่งจักรวรรดิคนเถื่อนตี้ ก็คงไม่ยากที่จะรวบรวมทุ่งหญ้านอกกําแพงใหญ่ให้เป็นปึกแผ่น ข้าคะเนว่าวังทองโหรวหลันก็คงกําลังลังเลอยู่ เพราะพวกเขาก็เกรงว่าจะถนอมกล่อมเลี้ยงจักรวรรดิสันตินิรันดร์แห่งที่ 2 ขึ้นมา และจะทําให้พวกเขาสูญเสียอํานาจควบคุมเหนือดินแดนนอกกําแพงใหญ่ นี่เป็นเหตุให้จนถึงบัดนี้จักรวรรดิคนเถื่อนก็ยังไม่รวบรวมกันเป็นปึกแผ่นเสียที”
หลิงอวี้จิวขบคิดและพบว่าคําอธิบายนี้มีเหตุผล
แต่ทว่า 3 ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่ใหญ่ที่สุดในจักรวรรดิสันตินิรันดร์ สํานักเต๋า วัดใหญ่ฟ้าคําราม ลัทธิมารฟ้า ล้วนแต่มิได้สนับสนุนจักรวรรดิสันตินิรันดร์ ไม่เพียงแต่พวกเขามิได้สนับสนุน ยังมีหลายสํานักที่ก่อปัญหาขัดขวางจักรวรรดิอีกด้วย
หากว่าจักรวรรดิคนเถื่อนตี้ได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มกําลังจากวังทองโหรวหลัน พวกเขาก็อาจจะมีแสนยานุภาพเพียงพอที่จะรุกรานจักรวรรดิสันตินิรันดร์
วัวเขียววิ่งตะบึงไปเกือบครึ่งวันและเฒ่าบอดก็กล่าวทันที “หยุด”
วัวเขียวหยุดวิ่ง เฒ่าบอดชี้ไปยังทิศตะวันตกเฉียงใต้แล้วกล่าว “ไปทางนั้น ข้าเห็นคนต่อสู้กันที่นั่น”
วัวเขียวงงงวย เฒ่าบอดเห็นคนต่อสู้กันตรงนั้นหรือ เขาเห็นได้อย่างไร
แต่ทว่าจะซักไซ้เฒ่าบอดก็ไม่เหมาะไม่ควร ดังนั้นเขาจึงได้แต่เปลี่ยนทิศทางวิ่งแล้วมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้
หลิงอวี้จิวเองก็งุนงงและหันไปมองฉินมู่ ฉินมู่อธิบาย “ท่านปู่บอดมีสายตาดีเยี่ยมที่สุดในหมู่บ้านของเรา”
เฒ่าบอดยืดอกภูมิใจ หลิงอวี้จิวมองไปที่ ‘ตา’ และพบว่าเบ้าตาของเขานั้นโบ๋กลวงโดยสิ้นเชิง ไม่มีอะไรอยู่ในนั้น ทําให้นางครุ่นคิดอยู่ในใจ ทำไมคนตาบอดถึงมีสายตาดีเยี่ยมที่สุดได้ นี่มันตรรกะอะไร…
ไม่นานนักหลังจากวัวเขียวเปลี่ยนทิศทาง พวกเขาก็พลันเห็นรังสีมีดฟาดฟันข้ามภูเขา แต่เนื่องจากระยะห่างไกล พวกเขาจึงมองเห็นเพียงแค่ริ้วแสงจางๆ ถึงตอนนั้นพวกเขาจึงทึ่งในความสามารถของเฒ่าบอดอย่างไม่รู้จบ
หลิงอวี้จิวก็งงครึ่งๆ “เขาตาบอดจริงหรือ”
คนแล่เนื้ออุทาน “สายตาของเฒ่าบอดนี่คมกล้าจริงๆ”