Skip to content

Tales of Herding Gods 161

ตอนที่ 161 คืนสู่เจ้าของที่แท้จริง

ผู้เฒ่าหนังหุ้มกระดูกนั้นปิดตาลงอีกครั้ง “หากว่าเจ้าตามหาทารกศักดิ์สิทธิ์กลับชาติไม่ได้ คงรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น”

หมอผีอาวุโสโค้งอีกครั้งแล้วถอยออกมาจากโถงศักดิ์สิทธิ์ พร้อมกับนําร่างครึ่งท่อนของคนแล่เนื้อออกมาด้วย เมื่อเขาเดินออกมาจากโถงศักดิ์สิทธิ์ ก็ได้ยินเสียงเคี้ยวกรุบๆ ราวกับว่ามีบางสิ่งที่กําลังกินศพของราชาหมอผีกยัตโซ

หมอผีอาวุโสตากระตุกเมื่อเขารู้สึกถึงความเจ็บแปลบแล่นซ่านมาจากเอว เขาได้เชื่อมต่อร่างของราชาหมอผีกยัตโซไว้กับร่างตนอย่างลวกๆ และใช้พลังวัตรของตนเชื่อมต่อมันไว้ด้วยกันแต่ทว่าเนื้อหนังของทั้ง 2 เช่นเดียวกับกระดูกเส้นเอ็น เส้นชีพจร แก่นแท้ ปราณ และโลหิต ล้วนแต่ยังมิได้เชื่อมต่อกัน

เขาจะต้องใช้ตัวยาลับเพื่อหลอมรวมพวกมันเข้าด้วยกันและเปลี่ยนแปรร่างของกยัตโซให้เป็นร่างเขาโดยสมบูรณ์

ตั้งแต่เมื่อเขาได้ร่างกายของคนแล่เนื้อมา เขาก็คิดว่าในที่สุดก็จะสามารถก้าวหน้าไปได้อีกขั้นในชีวิตนี้ แต่ไม่นึกเลยว่าคนแล่เนื้อจะยังมีชีวิตอยู่และมาตามหาเขาเสียได้ ยิ่งไปกว่านั้นร่างเนื้อของปรมาจารย์ก็ชราเสื่อมถอย เขาจึงมิได้ต่อสู้เอาเป็นเอาตายกับคนแล่เนื้อ ทําให้เขาไม่มีทางเลือกนอกจากคืนร่างครึ่งท่อนล่างให้แก่คนแล่เนื้อ

แม้ว่าราชาหมอผีกยัตโซนั้นจะมิได้ด้อยฝีมือ ร่างของเขาก็ยังคงเทียบไม่ได้กับร่างเดิมของหมอผีอาวุโส หากว่าเขาต้องการที่จะฝึกปรือกลับไปที่วรยุทธ์ระดับเดิม ก็ไม่รู้ว่าจะต้องใช้เวลาอีกนานแค่ไหน

หมอผีอาวุโสกัดฟันกลั้นความเจ็บปวด และนําร่างครึ่งท่อนของคนแล่เนื้อลงจากภูเขา

ฉินมู่ได้ขึ้นภูเขามาพร้อมกับคนแล่เนื้อ และเฒ่าบอด ดังนั้นพวกเขาจึงพบพานกันที่กึ่งกลางทางภูเขา

หมอผีอาวุโสวางร่างครึ่งท่อนของคนแล่เนื้อในมือลง จากนั้นกล่าวทักทาย “ข่านสวรรค์”

คนแล่เนื้อมองที่ร่างท่อนล่างของตนแล้วเปลี่ยนไปมองที่เอวของหมอผีอาวุโส จากนั้นส่ายหัว “ทําไมต้องลําบาก ข้าเสียอีกต้องขอบคุณเจ้าที่ช่วยหล่อเลี้ยงร่างเนื้อของข้าโดยไม่ปล่อยให้มันตายไป”

หางตาของหมอผีอาวุโสกระตุก 2 ครา

ฉินมู่นําร่างทองคําครึ่งท่อนล่างออกมาแล้วกล่าว “หมอผีอาวุโส ข้าคืนร่างของเจ้าให้ ข้าเก็บไว้ก็ไม่มีประโยชน์อะไร”

กล้ามเนื้อบนใบหน้าหมอผีอาวุโสกระตุกบิดเบี้ยวไปมา และเขาตอบด้วยเสียงแหบ “ข้าก็ใช้มันทําอะไรไม่ได้”

“เจ้าสามารถเอามันไปหลอมสร้างเป็นสมบัติวิเศษ” ฉินมู่ถามด้วยจิตปรารถนาดี “ข้าเห็นว่าร่างกายของเจ้ายังไม่เชื่อมต่อกันดี ตัวข้าเชี่ยวชาญด้านวิชาเยียวยา หากว่าหมอผีอาวุโสวางใจเชื่อนํ้ามือข้า ข้าจะช่วยเชื่อมต่อร่างของเจ้าให้แนบสนิทกันอย่างเหมาะสม”

“เจ้าจะฉวยโอกาสทําร้ายข้าหรืออย่างไร” หมอผีอาวุโสแค่นเสียงหยันแล้วหันหลังเดินจากไป

ฉินมู่ส่ายหน้าแล้วถอนหายใจ “หมอทุกคนล้วนแต่เมตตาคนไข้ประดุจลูกหลาน ข้าวางแผนจะใช้ร่างของเขาเป็นเคสฝึกมือก่อนที่ช่วยท่านปู่คนแล่เนื้อเชื่อมต่อร่างกาย…”

คนแล่เนื้อยิ้ม “ข้าเชื่อวิชาแพทย์เจ้า หากว่าพวกเราสามารถกลับไปให้นักปรุงยาลงมือด้วยตนเอง นั่นก็จะยิ่งดีเข้าไปใหญ่ หากแต่ว่าจะกลับไปแดนโบราณวินาศจากที่นี่ก็คงจะนานเกินไป”

เขาพลันตะโกนขึ้นมา “ไอ้เฒ่า เจ้ายังมีชีวิตอยู่ไหม”

เสียงดังสนั่นของเขาก้องสะท้อนไปทั่วภูเขา

เสียงอันชราโบราณและคมกล้าดังออกมาจากวังทองโหรวหลัน “ไม่ต้องห่วง หากข่านสวรรค์ยังไม่ลงหลุม ข้าจะล่วงหน้าไปก่อนได้อย่างไร”

“ไอ้ผีเฒ่านี่ยังคงมีชีวิตอยู่จริงๆ ด้วย” คนแล่เนื้อหัวเราะด้วยเสียงอันดัง “เจ้าอยากจะลงหลุม เดี๋ยวข้า

ส่งให้ไม่ช้าก็เร็วๆ นี้! ไปกันเถอะ!”

ฉินมู่อุ้มร่างครึ่งท่อนของคนแล่เนื้อ และทั้ง 3 คนก็พากันเดินลงภูเขา

เฒ่าบอดเหลียวหลังกลับไปมองที่ภูเขา ดูเหมือนจะจมจ่อมในภวังค์ความคิด “คนที่อยู่ข้างในนั้นแข็งแกร่งจริงๆ”

คนแล่เนื้อถอนหายใจแล้วแย้มยิ้ม “ข้าคิดว่าข้าคงไม่ใช่คู่มือของเขาหากไม่มีร่างครึ่งท่อนล่าง นั่นจึงเป็นสาเหตุที่เจ้าต้องมาด้วยเพื่อช่วยรับมือเขา ไอ้เฒ่าผู้นี้ได้กลับชาติมาเกิดทั้งหมด 17 ครั้ง และผ่านชีวิตมา 18 ชั่วอายุขัย อายุที่แท้จริงของเขาคงนับได้ว่าเป็นหมื่นปี แต่เขาก็ยังไม่ตาย ข้าเคยสู้กับเขาสามสี่ครั้ง และเขาก็ฝีมือร้ายกาจ”

ฉินมู่ร้องออกมา “ผ่านชีวิตมา 18 อายุขัย? อายุรวมเป็นหมื่นปี? นี่เป็นไปได้อย่างไร”

“ทําไมถึงจะเป็นไปไม่ได้ เจ้าก็น่าจะเคยเห็นมารและเทพที่มีอายุขัยมากกว่าหมื่นปี ในแดนโบราณวินาศแล้วนี่ จริงไหม จริงๆ แล้วในโลกนี้เต็มไปด้วยเรื่องราวน่ากลัวน่าขนลุก แต่ตอนนี้เจ้ายังเยาว์อยู่จึงไม่อาจมีโอกาสได้ติดต่อสัมผัสกับตัวตนที่น่ากลัวเหล่านั้น”

คนแล่เนื้อกล่าวต่อ “ไอ้กระดุกผุนั่นอาจจะยังไม่บรรลุมารหรือเทพ แต่ก็ไม่ห่างไกลแล้ว เขารู้เรื่องราวในอดีตมากมายรวมทั้งความลับทั้งหลาย หากว่าเขามิใช่ศัตรู ข้าคงไม่ยืนฝั่งตรงกันข้ามกับเขา”

เฒ่าบอดพยักหน้า “มีตัวตนที่น่าพรั่นพรึงแบบนี้อีกมาก ยกตัวอย่างเช่นดวงตาของข้า…”

เขาส่ายศีรษะและไม่กล่าวอะไรต่อ

ฉินมู่สะท้านใจ ดวงตาของเฒ่าบอดถูกใครบางคนควักออกไป แต่เฒ่าบอดไม่เคยบอกคนอื่นๆ เลยว่าใครกันแน่ที่ควักดวงตาเขาออกไป ความลับเบื้องหลังเรื่องนี้คืออะไรกัน

เมื่อพวกเขาออกมาจากวังทองโหรวหลันและมารวมกลุ่มกับหลิงอวี้จิว พวกเขาก็ตรงไปยังเมืองคนเถื่อนบนทุ่งหญ้า ฉินมู่ซื้อตัวยาและสมุนไพรจํานวนหนึ่งในเมืองจากนั้นนําหม้อหลอมยาใบยักษ์ออกมา “ท่านปู่คนแล่เนื้อ ข้าต้องต้มร่างครึ่งท่อนของท่านเสียก่อน เพื่อขับไล่โลหิตของหมอผีอาวุโสและพิษหมอผีที่เจือปนอยู่ในนั้น”

เขาเทนํ้าเหยือกใหญ่ลงไปในหม้อ และหย่อนตัวยากับสมุนไพรต่างๆ ลงไปในนํ้าทีละอย่าง เมื่อนํ้าเริ่มเดือดปุดๆ และส่งกลิ่นหอมตัวยาออกมา เขาก็วางร่างครึ่งท่อนล่างของคนแล่เนื้อลงไป

ฮูหลิงเอ๋อกังวล “มันจะโดนต้มจนสุกไหม”

เฒ่าบอดยิ้มแป้นและกล่าว “เมื่อเจ้าได้กลิ่นหอมซุปเนื้อฉุยๆ นั่นแหละแปลว่าสุกกําลังดี”

คนแล่เนื้อย้อนด้วยความโมโห “ร่างข้าโดนตัดออกไปยังไม่ตาย มันจะไปสุกได้อย่างไรกะอีแค่โดนต้มในนํ้าเดือด”

หลังจากต้มอยู่พักหนึ่ง ฉินมู่ก็สังเกตสีของนํ้าต้มยา จากนั้นเปิดถ้วยยาเพื่อคีบคางคกแดงคางคกดําสามสี่ตัวที่โดนตากจนแห้ง พวกมันมีขนาดเท่านิ้วก้อยและถูกโรยลงไปทั่วๆ ในหม้อ

คางคกเหล่านั้นแต่เดิมก็แห้งสนิท แต่เมื่อมันหล่นลงไปในนํ้า พวกมันก็ฟื้นคืนชีพขึ้นมาและพุ่งมุดไปมาในนํ้าเดือด ดูดซับเอาพิษหมอผีเข้าไปในตัว

ไม่นานนัก คางคกเหล่านั้นก็ตายจากการต้องพิษ ฉินมู่เปลี่ยนนํ้าในหม้อใหม่อีกนํ้า จากนั้นทําตามขั้นตอนเดิมอีก 9 รอบเพื่อขัดเกลาพิษหมอผีออกไปโดยสิ้นเชิง เขาเห็นว่าโลหิตในร่างครึ่งท่อนล่างของคนแล่เนื้อกลับมาเป็นสีแดง และโลหิตสีแดงเหล่านั้นก็ไหลเวียนไปมาในเส้นเลือดทั้งหลายราวกับว่ามันมีชีวิต

ฉินมู่ต้มนํ้าอีกหม้อ และเปลี่ยนตัวยาอีก 10 กว่าชนิดเพื่อกระตุ้นการทํางานของเลือดและโลหิตง่วนอยู่นานจนกระทั่งคํ่าคืนมาถึง

หลิงอวี้จิวและจิ้งจอกน้อยหลับไปเรียบร้อยแล้ว วัวเขียวเองก็ไปงีบเช่นกันขณะที่เฒ่าบอดนั่งอยู่ที่พื้น กรนเบาๆ กอดไม้เท้าไผ่ของตน เหลือแต่ฉินมู่และคนแล่เนื้อที่ยังคงนั่งเฝ้าอยู่ข้างหม้อ

ฉินมู่ดึงกระบี่ผู้พิทักษ์เยาว์ของตนออกมาแล้วส่งให้แก่คนแล่เนื้อ “ท่านปู่คนแล่เนื้อ หนังท่านเหนียวเกินกว่าที่ข้าจะตัดได้ ดังนั้นท่านคงต้องทําเอง ท่านต้องตัดเนื้อเยื่อส่วนที่งอกออกมาห่อหุ้มแผลของร่างท่อนบน”

“ไม่ต้องใช้กระบี่เจ้าหรอก ข้าจะใช้มีดของข้า” คนแล่เนื้อนํามีดเชือดหมูของตนออกมาตัดฟัน กลั้นใจเฉือนเอาเนื้อเยื่อที่งอกออกมาปิดแผลครึ่งตัวของเขา เพราะวรยุทธ์ของเขากล้าแข็ง จึงสามารถปิดผนึกบาดแผลของตนได้ทันทีไม่ปล่อยให้เลือดไหลออกมา

ฉินมู่ดึงร่างท่อนล่างออกมาจากหม้อ บาดแผลบนร่างท่อนล่างนั้นยังคงสดใหม่และไม่จําเป็นต้องเฉือนเพิ่ม ฉินมู่นําขวดหยกออกมาและทานํ้าลายมังกรลงไปในแผลถูกตัดของครึ่งท่อนล่างและครึ่งท่อนบนอย่างระมัดระวัง

ในวินาทีที่เขาทานํ้าลายมังกร เขาก็เห็นทันทีว่ามีเนื้อเยื่อใหม่งอกออกมาอย่างรวดเร็วราวกับว่ามีหนอนแดงตัวเล็กๆ เต้นกระดุบกระดิบอย่างไม่หยุดยั้ง

เขามิได้เชื่อมต่อร่างทั้ง 2 ท่อนในทันทีแต่ฟั่นเฟ้นปราณชีวิตเป็นเส้นด้ายเพื่อหยิบเส้นเอ็นและเส้นประสาททั้งหมดที่ฉีกขาดมาเชื่อมต่อกันเป็นอันดับแรก

เส้นด้ายปราณชีวิตในฝ่ามือเขามีจํานวนมากขึ้นทุกทีเมื่อมันเชื่อมต่อทุกๆ เนื้อเยื่อ อวัยวะภายในกระดูกสันหลัง และค่อยๆ เชื่อมร่างทั้งร่างเข้าด้วยกัน

สุดท้าย ฉินมู่ก็ทานํ้าลายมังกรอีกส่วนลงบนบาดแผลรอยต่อรอบเอว และผิวหนังก็ค่อยสมานเข้าหากันเองปิดแผลนั้นไปอย่างสนิทเป็นเนื้อเดียว

เขาปลุกใจตนแล้วยกร่างของคนแล่เนื้อไปวางไว้ในหม้อยา จากนั้นเอาใส่ห่อยาห่อสุดท้ายลงไปในหม้อ จากนั้นเทนํ้าใส่ตั้งไฟรุมๆ

ในหม้อหลอมยานั้น คนแล่เนื้อพาดแขนข้างหนึ่งไว้ที่ปากหม้อ แล้วโพล่งขึ้นมา “มู่เอ๋อ ขอบใจเจ้าที่อุตส่าห์รักษาข้า”

ฉินมู่ส่ายหน้าแล้วยิ้ม “ข้าได้รํ่าเรียนวิชาเยียวยาจากท่านปู่นักปรุงยามาหลายปี และทักษะทั้งหมดของข้าก็ล้วนแต่ได้รับการถ่ายทอดจากท่านปู่นักปรุงยา นี่ไม่ใช่งานยากอุตสาหะเลย”

“ข้าได้แต่หวังว่าเจ้าคงไม่ทิ้งชื่อเสียงฉาวโฉ่วุ่นวายอย่างที่นักปรุงยาทํา”

นํ้าในหม้อค่อยๆ เดือด และคนแล่เนื้อก็ปล่อยหมอกขาวออกจากปาก “จริงสิ ข้าเห็นเจ้าล้วงข้าวของออกจากถุงผ้าเล็กๆ นั่นขนาดหม้อใหญ่ใบนี้ก็ยังเอาออกมาจากถุงผ้า ถุงเจ้านี่พิลึกเสียจริง ให้ข้าดูหน่อยสิ”

ฉินมู่ยื่นถุงให้เขาแล้วกล่าว “ข้าเก็บตกถุงนี่มาจากวังทองโหรวหลัน ข้าไม่รู้ว่ายังไงเหมือนกัน แต่ข้างในนั้นมีพื้นที่ตั้ง 1 ไร่ ดังนั้นข้าจึงใช้มันเก็บข้าวของต่างๆ”

คนแล่เนื้อเปิดถุงแล้วมองเข้าไปข้างใน จากนั้นเผยสีหน้าพิกล “มู่เอ๋อ ดูเหมือนเจ้าจะเก็บตกสิ่งของจากคลังสมบัติวังทองโหรวหลันได้ไม่น้อยเลยนะ”

ฉินมูหน้าแดงขึ้นเล็กน้อย

“เจ้าเรียนวิชาของเฒ่าเป๋ได้ แต่อย่าเสพติดมันเข้าล่ะ”

คนแล่เนื้อถอนหายใจ “จริงๆ แล้วพวกเราผู้เฒ่าในหมู่บ้านก็ล้วนแต่มีนิสัยเสียกันไปคนละอย่าง เฒ่าเป๋ชอบลักขโมย นักปรุงยาก็ชอบวางยาพิษและชอบทิ้งหนี้รักไว้ไปทั่ว ส่วนข้านั้นก็อวดเก่งจนเกินไปถึงจะยกมีดขึ้นสัประยุทธ์กับสวรรค์ เฒ่าบอดนั้นดูเบาผู้อื่นและชอบทําเป็นเท่ เฒ่าหนวกนั้นถือตัวสูงราวกับมีตาเหนือศีรษะ เฒ่าใบ้ก็คิดอะไรแผลงๆ ของตนไม่บอกใคร ทําตัวยังกับว่าเป็นปริศนาลึกลํ้าของจักรวาล ส่วนยายเฒ่านั้นก็ชอบก่อเรื่องวุ่นวาย ข้ากลัวว่าเจ้าจะรับเอาข้อเสียของพวกเราทั้งหมดมา”

ฉินมู่กล่าวอย่างเคร่งขรึม “ไม่ต้องห่วงท่านปู่คนแล่เนื้อ ตั้งแต่ข้าออกจากหมู่บ้านมาข้ายังไม่เคยก่อเรื่องวุ่นวายเลยสักครั้ง ปรมาจารย์เองก็พอใจในตัวข้ามาก!”

“ถ้าอย่างนั้นก็ดีแล้ว เจ้าก่อเรื่องสร้างปัญหาได้นะ แต่เจ้าก็ต้องรู้จักแก้ไขมันให้ได้”

คนแล่เนื้อเขย่าถุงแล้วยิ้ม “ข้าเคยเห็นถุงแบบนี้มาก่อนและมัน เรียกว่าถุงเต๋าตี้อันสร้างขึ้นจากหนังของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์เต๋าตี้ ในแดนโบราณวินาศน่าจะมีเต๋าตี้สายเลือดบริสุทธิ์หลงเหลืออยู่ และถ้าเราผู้เฒ่าทุกคนในหมู่บ้านต่อสู้กับมันอาจจะโค่นล้มมันได้ หนังที่ใช้ทําถุงเต๋าตี้นี้มิได้มาจากเต๋าตี้เลือดบริสุทธิ์ แต่สายเลือดของมันก็นับว่าจะสูงส่งใกล้เคียงกับบรรพบุรุษ ถุงเต๋าตี้ที่ข้าเคยเห็นนั้นมีรัศมีพื้นที่ข้างในแค่ 10 คืบ และใส่อะไรเข้าไปไม่ได้มากมายนัก ถุงนั้นคงถูกสร้างขึ้นจากหนังสัตว์พิสดารที่มีสายเลือดเต๋าตี้”

“อย่างนี้นี่เอง”

ฉินมู่อึ้งไป จากนั้นกล่าวถาม “ข้าได้เห็นบ้านบางหลังที่มิได้ใหญ่โตจากข้างนอก แต่ข้างในกลับมีพื้นที่กว้างใหญ่ นี่เพราะอะไรรึท่านปู่”

“ง่ายๆ ก็แค่ป่นกระดูกของสัตว์พิสดารที่มีสายเลือดของเต๋าตี้ปนเข้าไปในปูนที่ใช้ก่อสร้าง ผสมมันเข้าไปในสีทาก็ใช้ได้เหมือนกัน ด้วยวิธีนี้ พื้นที่ภายในก็จะขยายกว้างขึ้น”

คนแล่เนื้อกล่าว “เต๋าตี้นั้นเป็นสัตว์เทวะ เป็นเผ่าพันธุ์วงศ์วานมังกรเผ่าพันธุ์หนึ่ง สัตว์เทวะนี้กินเข้าไปอย่างเดียวแต่ไม่ขับถ่ายออกมา ดังนั้นพื้นที่ในท้องของมันจึงกว้างขวางเป็นอย่างยิ่ง หนังของมันถูกใช้สร้างถุงเต๋าตี้ ขณะที่กระดูกของมันสามารถใช้สร้างบ้านเรือน มีวิธีการประยุกต์ใช้มากมาย แต่ทว่า เดี๋ยวนี้เหลือเต๋าตี้เลือดบริสุทธิ์ไม่ค่อยมาก”

ฉินมู่นั่งอยู่ข้างๆ และทั้งคู่ก็คุยกันเรื่อยเปื่อยจนฉินมู่ผล็อยหลับไปโดยไม่รู้ตัว

เมื่อเขาตื่นขึ้นก็ตระหนักว่าไฟใต้หม้อหลอมยามอดดับลงไปแล้ว เขากําลังจะจุดไฟใหม่แต่เสียงของคนแล่เนื้อก็ดังมาจากข้างๆ “ไม่ต้องหรอกมู่เอ๋อ ตอนนี้ข้ารู้สึกว่าร่างกายข้าไม่มีปัญหาใหญ่โตอะไร”

ฉินมู่รีบหันกลับไปและพบว่าคนแล่เนื้อนั้นแต่งเนื้อแต่งตัวเรียบร้อย เขาสวมกางเกงตัวใหม่อันฉินมู่ตัดเย็บเมื่อครู่หลังจากซื้อม้วนผ้ามาพร้อมๆ กับตอนที่รวบรวมยาสมุนไพรในตลาด

ผู้เฒ่าผู้นี้สวมชุดยาวจีนหลวมๆ และหนวดเคราอันรกเรื้อบนใบหน้าก็ถูกโกนออกจนเกลี้ยงเกลาทําให้เขาดูสดใสเป็นอย่างยิ่ง

คนแล่เนื้อมองเขาขึ้นๆ ลงๆ จากนั้นพยักหน้าหงึกๆ “เจ้าโตขึ้นแล้วจริงๆ แต่ก่อนนั้นเจ้าต้องให้พวกเราช่วย แต่ว่าเดี๋ยวนี้เจ้าช่วยพวกเราได้แล้ว ดีจริงๆ ดีจริงๆ…”

เสียงเฒ่าบอดดังมาจากข้างนอก “คนฆ่าหมู หากเจ้ายังมัวแต่พล่ามต่อ เจ้าจะหนีไปไม่ทันนะ ศิษย์ของเจ้าตามมาติดๆ แล้ว”

คนแล่เนื้อเดินออกไปแล้วกล่าว “มันมีกระดูกมือเทพเจ้าในถุงเต๋าตี้ของเจ้า ซึ่งข้าจะเก็บมันเอาไว้ให้ เจ้าเอาของนี้เตร็ดเตร่ติดตัวไม่ได้หรอกนะ เทพเจ้านั้นยังมีชีวิตอยู่ หากเจ้านํากระดูกนี้ติดตัวไปด้วย ก็จะนําภัยพิบัติมาสู่ตัว”

ฉินมู่ตกตะลึง “เจ้าของกระดูกมือนี้ยังมีชีวิตอยู่?”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version