Skip to content

Tales of Herding Gods 164

ตอนที่ 164 ธิดาเทพ

ฉินมู่อดไม่ได้ที่จะทึ่งเมื่อเห็นจํานวนของผู้ฝึกวิชาเทวะในเมืองหลัวอันมากมาย สามารถคะเนได้เลยว่าจํานวนผู้ฝึกวิชาเทวะทั้งจักรวรรดินี้จะมีมากมายสักเพียงไหน

ตอนนี้ราชครูสันตินิรันดร์ไม่อาจใช้อํานาจของตนได้ก็จริง แต่เมื่อใดที่กองกําลังกบฏถูกปราบปรามจนหมดสิ้นแล้วละก็แสนยานุภาพของจักรวรรดิสันตินิรันดร์โดยภาพรวมก็จะมิได้ลดน้อยถอยลง มีแต่จะเพิ่มพูนขึ้นแทน!

ในที่สุดเขาก็มาถึงมณฑลสมานฉันท์อันแตกต่างจากเมืองหลัว มณฑลสมานฉันท์ดูเหมือนจะสันติรุ่งเรือง ประชาชนต่างก็ดํารงชีวิตอย่างสงบสุขและประกอบอาชีพอย่างมีความสุข ฉินมู่เดินผ่านทุ่งนาและเห็นผู้ฝึกยุทธ์สามสี่คนกําลังร่ายเวทมนตร์ เปลี่ยนสายลมให้เป็นมีดวายุเก็บเกี่ยวให้แก่ชาวนา

ฉินมู่หยุดยืนดูและเห็นว่าผู้ฝึกยุทธ์เหล่านี้ใช้เวทมนตร์ที่มาจากลัทธิมารฟ้า พวกเขาควบคุมลมเพื่อช่วยให้ครอบครัวชาวนาหลายครอบครัวเก็บเกี่ยวผลผลิตของพวกเขา จากนั้นค่อยตามไปเรียกเก็บเงินค่าจ้างจากครอบครัวชาวนาอีกที

หนึ่งในเด็กสาวกล่าว “อย่าเพิ่งตากข้าวนะวันนี้ ตอนเย็นๆ จะมีฝนตก”

ครอบครัวชาวนาเหล่านั้นกล่าวขอบคุณพวกเขาซํ้าๆ

ผู้ ฝึกยุทธ์เหล่านั้นเห็นฉินมู่ยืนอยู่ที่ข้างทุ่งนาและรู้สึกไม่คุ้นหน้า เด็กสาวก้าวเข้ามาแล้วหยุดยืนอยู่ไม่ไกลจากฉินมู่ก่อนที่จะทักทาย “ศิษย์พี่ผู้นี้ มีเรื่องอะไรอย่างนั้นหรือ”

ฉินมู่ยิ้มอย่างอบอุ่นแล้วถาม “เจ้ามาจากโถงลมใช่ไหม”

เด็กสาวผู้นั้นสะดุ้งตกใจและไม่กล้าตอบเขา ฉินมู่ยิ้มกล่าว “ข้าเคยเห็นเวทมนตร์ที่เจ้าใช้มาก่อนอันคือ ลมวสันต์เลียดพื้น ดังนั้นข้าจึงถามเจ้า หัวหน้าโถงลมเป็นผู้สอนเวทมนตร์นี้ให้เจ้าอย่างนั้นหรือ”

เด็กสาวลังเลอยู่ครู่ก่อนจะกล่าว “ใช่แล้ว เป็นหัวหน้าโถงลม เล่ยเซิงอิ๋นที่สอนข้า”

ฉินมู่ถามด้วยความสงสัย “หัวหน้าโถงลมไม่ได้สอนเวทมนตร์ให้เจ้าครบสมบูรณ์หรือ”

ผู้ฝึกยุทธ์คนอื่นๆ เดินตามเข้ามาสมทบ และเด็กหนุ่มคนหนึ่งส่ายหน้า “หัวหน้าโถงลมนานๆ ทีถึงจะสอนกระบวนท่าให้พวกเราสองสามท่า แต่ละท่าเขาจะสอนแค่ครั้งเดียวไม่มีสอนซํ้า ดังนั้นพวก

เราจึงมิได้เรียนมันครบสมบูรณ์”

ฉินมู่โคจรปราณชีวิตของเขาและแปรเปลี่ยนมันเป็นปราณมังกรเขียว พลางแย้มยิ้มไปด้วย “พอดีข้าพอมีเวลา ให้ข้าสอนเจ้าล่ะกัน ดูให้ดี”

เขาขับเคลื่อนปราณชีวิตมังกรเขียวข้างๆ ทุ่งนานั้นและร่ายเวทมนตร์ลมวสันต์เลียดพื้น พวกเขาพลันเห็นมีดลมอันดูเหมือนมีดโค้งวงเดือน พุ่งซัดซิกแซกไปมาเหมือนกับงูในทุ่งนา ด้วยมีดลมกว่าร้อยเล่มซัดเลียดพื้น มันก็พุ่งไปอย่างเร็วจี๋เพื่อโจมตีศัตรู

“กระบวนท่านี้มิได้จํากัดแค่สร้างมีดลมที่ซัดเลียดพื้น พวกเจ้ายังสามารถทําแบบนี้ได้”

ฉินมู่พลันสะกิดเท้ากระโดดขึ้นจากพื้น ปลายเท้าเขาเหยียบลงไปบนมีดลมที่หมุนติ้วไม่หยุดหย่อนและพาร่างเขาลอยไปข้างหน้าพร้อมกับมีดลมนั้น

เขายืนอยู่บนมีดลมและร่ายเวทมนตร์ไปพร้อมๆ กันเพื่อโจมตีมีดลมกว่าร้อยเล่มพลันซัดพุ่งไปข้างหน้ากินบริเวณรัศมีกว่า 15 วาในพริบตา

แม้ว่าลมวสันต์เลียดพื้นจะเป็นเวทมนตร์ทั่วไป แต่พลานุภาพของมันนั้นไม่น้อยเลย ในทางตรงข้าม สามารถเห็นพลังอํานาจของคัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิตจากการใช้เวทมนตร์นี้ในวิธีแตกต่างกันจํานวนมาก

ฉินมู่กระโดดลงกลับสู่พื้นและสลายเวทมนตร์ของเขา เด็กหนุ่มเด็กสาวเหล่านั้นทั้งดีใจและประหลาดใจ “หัวหน้าโถงลมไม่เคยสอนเราถึงวิธีใช้เวทมนตร์แบบนี้เลย!”

พวกเขารีบเข้ามาขอคําชี้แนะปรึกษาฉินมู่ และฉินมู่ก็นั่งลงข้างๆ ทุ่งนานั้นเพื่อตอบคําถามทุกข้อสงสัย เขาอธิบายความพิสดารของการโคจรเวทมนตร์และวิธีการควบคุมพลังเวทให้อย่างละเอียดประณีต

“กระบวนท่านี้ยังมีวิธีประยุกต์แบบอื่นและมีดลมก็ไม่จําเป็นต้องซัดเลียดพื้นเสมอไป”

ฉินมู่ร่ายเวทมนตร์ลมวสันต์เลียดพื้นอีกครั้ง และพลันกระตุกปลายนิ้วเล็กน้อย มีดลมพลันพลิกตั้งฉากและซัดเสยขึ้นไปข้างบน จากนั้นโจมตีลงมาข้างล่าง “เต๋าแห่งเวทมนตร์นั้นจริงๆ แล้วเชื่อมโยงกับวิชากระบี่และวิชาบู๊ แม้ว่าลมวสันต์เลียดพื้นจะเป็นเวทมนตร์ชนิดหนึ่ง แต่มันก็สามารถแปรเปลี่ยนเป็นวิชากระบี่หรือวิชาบู๊ได้”

เขาพลันนําไจกระบี่ออกมาแล้วเขย่ามันเบาๆ มีดโค้งหลายเล่มพลันโบยบินออกมาจากไจมีดของเขา และมีดเหล่านั้นก็ซัดออกไปในแบบลมวสันต์เลียดพื้นเช่นกันแม้ว่าวิธีประยุกต์นี้จะไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นเวทมนตร์ แต่พลังโจมตีของมันก็ร้ายกาจขึ้นหลายเท่า

ฉินมู่ควงมีดโค้ง 2 เล่ม และรังสีมีดก็พลันแผ่ขยาย มือเขาเหวี่ยงมีดขึ้นลงและรังสีมีดก็พลันวิ่งเลียดพื้น กระบวนท่าที่เขาใช้คือลมวสันต์เลียดพื้นไม่ผิดเพี้ยนและพลานุภาพก็ร้ายแรงกว่าที่ใช้ไจมีดเมื่อครู่อีกหลายเท่า!

ฉินมู่รั้งมีดกลับและมีดโค้งก็พรั่งพรูกลับเข้าไปในไจมีดกันจนหมด

เมื่อเหลียวหลังก็ไป ก็พบว่าหนุ่มสาวเหล่านี้ยืนอ้าปากค้างจากภาพที่เห็น

ฉินมู่ส่งยิ้มให้ จากนั้นถาม “พวกเจ้าเข้าใจหรือไม่”

เด็กสาวพึมพํา “เวทมนตร์แปรเปลี่ยนเป็นเพลงมีดได้อย่างไร กลายเป็นวิชาบู๊? แม้แต่หัวหน้าโถงเล่ยก็ไม่สามารถใช้แบบนี้ได้…”

ฉินมู่ชี้แนะอย่างใจเย็น “ใครกันที่ตรากฎเกณฑ์เอาไว้ว่าเวทมนตร์ต้องใช้อย่างเวทมนตร์เท่านั้น เหตุใดมันถึงไม่สามารถใช้อย่างเพลงมีด และใช้มันเช่นเดียวกับวิชาบู๊ ก็เหมือนกับปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติ เมื่อเจ้าฝึกปรือเวทมนตร์ ไม่จําเป็นที่จะต้องยึดติดกับกรอบคิดอันจําเจและถูกจํากัดโดยประสบการณ์ของผู้อื่น”

หนุ่มสาวเหล่านั้นตรึกตรองด้วยใจจดจ่อ ฉินมู่อธิบายหัวใจสําคัญของวิชานี้ซํ้าอีกสองสามรอบ จนเมื่อ

พวกหนุ่มสาวเหล่านั้นเรียนรู้จนครบถ้วนสมบูรณ์ เขาก็เอ่ยถาม “ว่าแต่พวกเจ้าไม่ได้เข้าโรงเรียนหรือ ข้าเห็นว่าพวกเจ้ายังเยาว์อยู่มาก เหตุใดจึงไม่เข้าไปแสวงหาความรู้ในโรงเรียนประถมฐาน”

หนุ่มน้อยคนหนึ่งตอบด้วยนํ้าเสียงสลด “คนยากจนอย่างพวกเรา ไหนเลยจะมีเงินจ่ายค่าเล่าเรียน พวกเราจึงได้แต่ทํางานหาเงิน ในช่วงฤดูเก็บเกี่ยวและเพาะปลูกแบบนี้ ลัทธิศักดิ์สิทธิ์สอนเวทมนตร์ วิชากระบี่ และวิชาบู๊ให้กับพวกเราเพื่อให้พวกเราใช้หาเลี้ยงชีพ ไม่อดตายไปเสียก่อน”

“อย่างนี้นี่เอง” ฉินมู่ดูเหมือนกําลังครุ่นคิดและทันใดนั้นเสียงที่เขาคุ้นเคยก็ดังมา

“เจ้าสอนได้ดี และพวกเขาก็เรียนได้ดี”

ฉินมู่หันหลังกลับไปและเห็นบุคคลที่กําลังเดินเข้ามา เขารีบทักทายทันที “ปรมาจารย์ ผู้อาวุโสคุมกฎ พวกท่านมาถึงตั้งแต่เมื่อไหร่”

เขาไม่รู้ว่าปรมาจารย์เยาว์และผู้อาวุโสคุมกฎที่ตามมาข้างหลังนั้นปรากฏตัวตั้งแต่เมื่อไหร่ ผู้อาวุโสคุมกฎยิ้มกล่าว “พวกเรามาอยู่ที่นี่ได้สักพักแล้ว พวกเราผ่านทางมาและเห็นเจ้าสอนเวทมนตร์ให้พวกเขา จึงยืนฟังอยู่ข้างๆ โดยไม่รบกวน”

ปรมาจารย์เยาว์กล่าวชื่นชม “ตอนนี้ข้ารู้สึกว่าการถ่ายทอดคัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิตให้เจ้าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง สําหรับคนอื่นๆ นั้นถ้าพอเข้าใจและฝึกปรือคัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิตได้ก็ถือเป็นความสําเร็จที่น่าชื่นชมแล้ว พวกเขาสามารถประยุกต์ใช้เวทมนตร์ได้แค่สองสามอย่าง แต่เจ้ากลับคิดได้ตั้งหลายรูปแบบ เยี่ยม เยี่ยมจริงๆ”

ฉินมู่ฉงนฉงาย “เวทมนตร์ไม่ได้ใช้แบบนี้หรอกหรือ”

ปรมาจารย์เยาว์ยิ้ม “มันควรใช้แบบนี้แหละ เพียงแต่จ้าวลัทธิคนก่อนๆ นั้นปัญญาทึบจนเกินไปจึงไม่อาจคิดวิธีประยุกต์ใช้เหล่านี้ได้ พวกเราไปกันเถอะ”

ฉินมู่รับคําและพาฮู่หลิงเอ๋อตามพวกเขาไปที่เมืองมณฑลสมานฉันท์

“ไอ้หยา ข้าลืมถามเลยว่าเขาเป็นใคร!” เด็กสาวคนนั้นพลันร้องขึ้นมา

หนุ่มสาวเหล่านั้นมองตามฉินมู่และคนอื่นๆ เดินห่างไกลไปทุกที หนุ่มน้อยคนหนึ่งพึมพํา “เมื่อครู่เขาเรียกคนหนึ่งว่าปรมาจารย์เยาว์ และอีกคนหนึ่งว่าผู้อาวุโสคุมกฎ เช่นนั้นเขาจะเป็นใครกัน…”

“ความรู้ของเขาเหนือลํ้ากว่าหัวหน้าโถงเล่ย เขาต้องเป็นตัวตนสําคัญในลัทธิศักดิ์สิทธิ์เราแน่ๆ!”

ระหว่างทาง ฉินมู่เห็นศิษย์ลัทธิมารฟ้าใช้เวทมนตร์เพื่อขุดคูนํ้า และมีบางกลุ่มที่ใช้เวทมนตร์เพื่อขุดพรวนดิน บางคนก็ใช้เวทมนตร์บินขึ้นไปเก็บเกี่ยวผลไม้

แต่ทว่าศิษย์เหล่านี้ไม่คล่องแคล่วเชี่ยวชาญในเวทมนตร์ของตนเอง และส่วนใหญ่ก็เรียนมาไม่ครบสมบูรณ์

คราวนี้ฉินมู่มิได้หยุดเพื่อถ่ายทอดเวทมนตร์ที่ครบสมบูรณ์ให้บรรดาศิษย์ลัทธิมารฟ้าเหล่านั้น ทั่วทั้งโลกหล้ามีศิษย์ลัทธิมารฟ้าแพร่กระจายไปมากมาย เป็นไปไม่ได้โดยสิ้นเชิงที่เขาจะสอนสั่งพวกเขาด้วยตนเอง เพราะมันคงใช้เวลาไม่รู้กี่ปีต่อกี่ปี

“ในมณฑลสมานฉันท์นี้จะมีศิษย์ลัทธิมารฟ้าเราอยู่มากสักหน่อย”

ปรมาจารย์เยาว์ยิ้มแล้วเอ่ยถาม “เมื่อเห็นสถานการณ์แบบนี้แล้ว เจ้ามีความคิดเห็นอย่างไรล่ะ”

“ปรมาจารย์สนับสนุนราชครูสันตินิรันดร์ให้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยจักรวรรดิ มหาวิทยาลัย และโรงเรียนประถมฐาน แต่ศิษย์ลัทธิมารฟ้าเรากลับไม่มีสถานที่จะรํ่าเรียน ปรมาจารย์ใส่ใจสถานการณ์โลก แต่หลงลืมสถานการณ์ลัทธิศักดิ์สิทธิ์เรา”

ฉินมู่ส่ายหน้าแล้วกล่าว “ปรมาจารย์ควรก่อตั้งโรงเรียนประถมฐาน วิทยาลัย และมหาวิทยาลัยในลัทธิเรา เพื่อมิให้ศิษย์ลัทธิเราล้าหลังไม่ทันความก้าวหน้าของโลก”

ปรมาจารย์เยาว์ยิ้ม “นี่คือสิ่งที่จ้าวลัทธิศักดิ์สิทธิ์พึงกระทํา และมิใช่หน้าที่ของปรมาจารย์ จ้าวลัทธิน้อย ต่อไปเรื่องนี้ก็เป็นความรับผิดชอบของเจ้า”

ฉินมู่มองตาค้างไปครู่จากนั้นกล่าว “ทําไมจ้าวลัทธิหลี่ไม่ทํามันตั้งแต่เมื่อ 40 ปีที่แล้ว”

“จ้าวลัทธิหลี่ติดบ่วงเสน่ห์อิตถีเพศ และงมงายอยู่กับฮูหยินลัทธิ ฉะนั้นเขาจะมีดวงตาคู่ไหนที่ใช้จ้องมองปวงชนในโลกหล้า”

ฉินมู่พูดไม่ออก ท่านยายซีกลายเป็นแพะรับบาปอีกแล้ว เมื่อครั้งนั้นหลี่เทียนซิ่งหลงท่านยายซีหัวปักหัวปํา และพลาดโอกาสการปฏิรูปอันเป็นกระแสหลักของโลกหล้า

เมื่อเทียบกันแล้ว สํานักเต๋าและวัดใหญ่ฟ้าคํารามมีโครงสร้างที่ไม่เหมาะแก่การปฏิรูปนี้ แม้ว่าพวกเขาจะเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ใหญ่แห่งฝ่ายเที่ยงธรรมและฝ่ายพุทธ แต่วิธีการของพวกเขาคืออาจารย์แต่ละคนจะรับศิษย์จํานวนเล็กน้อย และอาจารย์เหล่านั้นก็สามารถสั่งสอนได้แต่เพียงศิษย์จํานวนนี้ของตนเท่านั้น

ขณะที่ลัทธิมารฟ้าแตกต่างออกไป วิธีการของลัทธิมารฟ้านั้นคือระบบการรับผิดชอบของหัวหน้าโถง แม้ว่าหัวหน้าโถงแต่ละคนจะเป็นยอดยุทธ์ฝีมือแกร่ง แต่พวกเขาก็ไม่รับศิษย์เป็นการเฉพาะ แต่จะถ่ายทอดวิชาและทักษะเทวะของตนโดยทั่วไปเป็นครั้งคราว

ลัทธิมารฟ้าเหมาะแก่การจัดตั้งโรงเรียนประถมฐาน วิทยาลัย ภายในลัทธิ ส่วนมหาวิทยาลัยนั้น…

“สําหรับการศึกษาขั้นมหาวิทยาลัย เราก็เพียงแต่ส่งพวกเขาเข้าไปเรียนที่มหาวิทยาลัยจักรวรรดิ”

ฉินมู่คิดคํานวณ “เลือกเอาศิษย์ที่โดดเด่นจากลัทธิเราส่งพวกเขาไปเข้าร่วมการสอบเข้ามหาวิทยาลัยจักรวรรดิ และให้มหาวิทยาลัยจักรวรรดิช่วยเราฝึกฝนขัดเกลาศิษย์ของลัทธิเรา ลัทธินักบุญสวรรค์เราก็จะรุ่งเรืองแบบรั้งไม่หยุดฉุดไม่อยู่”

ปรมาจารย์เยาว์จ้องเขาหนึ่งที จากนั้นถอนหายใจ “ทําไมเจ้าไม่เกิดมาให้เร็วกว่านี้สัก 40 ปีนะ”

เขาพาฉินมู่เข้าไปในเมือง และประชาชนในเมืองเดินคลาคลํ่าไปมาราวกับเส้นด้ายที่เรียงร้อยต่อกัน ฉินมู่อดพิศวงไม่ได้ “หรือว่าสํานักใหญ่ของลัทธิเราจะอยู่ในเมืองนี้ นี่มันไม่สะดุดตาเกินไปหรอกหรือ”

ปรมาจารย์เยาว์พาเขาไปที่จวนเจ้าเมือง และเมื่อพวกเขาไปถึงที่นั่น ก็เดินเข้าไปเลยโดยไม่บอกกล่าวใด ในจวนนั้นมีตัวตนตําแหน่งสูงของลัทธิมากันพร้อมหน้า ได้แก่หัวหน้าโถงทั้งหลาย ผู้อาวุโสคุ้มกันลัทธิ ผู้ตรวจการ ผู้พิทักษ์ และเทวราชลัทธิ

เมื่อคนเหล่านั้นเห็นปรมาจารย์เยาว์และฉินมู่ พวกเขาก็ลุกขึ้นคารวะต้อนรับ

ฉินมู่คารวะกลับ ส่วนปรมาจารย์เยาว์ผงกหัวเล็กน้อยก่อนที่จะเอ่ยถาม “ทุกคนมากันครบแล้วหรือ”

ผู้อาวุโสคุ้มกันลัทธิคนหนึ่งกล่าว “ฮูหยินลัทธิและธิดาเทพยังมาไม่ถึง เทวราชเฉียนในเทวราชลัทธิก็ยังไม่มาเช่นกัน”

ปรมาจารย์เยาว์พยักหน้า “ถ้าอย่างนั้น พวกเรารออีกสักพักละกัน”

ไม่นานนักเสียงอันหวานเยิ้มและยั่วยวนก็ดังมา “มู่เอ๋อและ ปรมาจารย์อยู่ที่นี่ไหม”

เมื่อฉินมู่ได้ยินเสียงนี้ เขาก็รู้สึกโลหิตในกายแล่นพล่านขึ้นไปที่ศีรษะ หัวหน้าโถงและผู้เฒ่าทั้งหลายพลันมีสีหน้าแดงฉานจากความกระเหี้ยนกระหือรือ เมื่อพวกเขาเคลิบเคลิ้มถึงนางในดวงใจ เมื่อได้ยินเสียงนี้

หัวใจปรมาจารย์เยาว์ก็เต้นตุ้มต่อมขึ้นมาเล็กน้อย สีหน้าเขาแปรเปลี่ยนทันที เขาตวาด “ซีหยูหยู สํารวมหน่อย!”

เสียงของท่านยายซีดังมาจากข้างนอก “น่าเบื่อจัง”

ปรมาจารย์เยาว์พุ่งจากประตูออกไปข้างนอกเสียงเขาดังมา “ใครให้เจ้าเผยโฉมที่แท้จริง หากเจ้าเผยโฉมที่แท้จริง พิธีกรรมนี้ก็จะเละตุ้มเป๊ะ…ใช่แล้ว เจ้าต้องมาในสภาพอัปลักษณ์…เด็กที่เจ้าเลี้ยงมากําลังจะขึ้นเป็นจ้าวลัทธิ เจ้าอยากให้เขาโดนเสน่ห์เจ้ายั่วยวนหรืออย่างไร…แบบนี้ค่อยดีหน่อย เอ้า เข้าไปได้”

ฉินมู่ถอนหายใจโล่งอกพร้อมๆ กับทุกคนที่อยู่ในจวนเจ้าเมือง เหงื่อเย็นเยียบหลั่งออกมาโซมหน้าผากของผู้เฒ่าผมขาวและเทวราชหลายคน เมื่อพวกเขาพยายามตั้งสติสํารวมใจ

ข้างนอกประตู ปรมาจารย์เยาว์และยายเฒ่าซีเดินเข้ามา หญิงชราผู้นี้ยังมีสีหน้าไม่ค่อยพอใจและเหลียวมองไปรอบๆ เมื่อนางเห็นฉินมู่ ก็เผยยิ้มขึ้นมา

“ท่านยาย!”

ฉินมู่รีบเข้าไปจูงมือท่านยายซี เขาหัวเราะเบาๆ “ท่านยาย ข้ารู้นะว่าท่านอยู่ในมหาวิทยาลัยจักรวรรดิ ท่านถึงกับไม่เปลี่ยนแซ่ ตอนที่ปลอมตัว…”

ท่านยายซีงงงวย “ข้าไม่ได้ไปมหาวิทยาลัยจักรวรรดิเลยนะ ข้าเพียงแต่คอยดูเจ้าจากไกลๆ ยิ่งไปกว่านั้น ปรมาจารย์ก็อยู่ในมหาวิทยาลัยจักรวรรดิ ดังนั้นข้าจึงไม่ห่วงความปลอดภัยของเจ้าเลยแม้แต่นิด”

ฉินมู่ยิ้มแล้วกล่าว “ท่านยายยังแกล้งทําเป็นไม่รู้อีกหรือ ข้าน่ะเห็นท่านทะลุปรุโปร่งหมดแล้ว ท่านคือเด็กสาวในมหาวิทยาลัยจักรวรรดินามว่าซี…”

“ธิดาเทพมาถึงแล้ว!” เสียงก้องสะท้องดังมาจากข้างนอก ฉินมู่กําลังจะเอ่ยนามของซีอวิ๋นเซี่ยง แต่ทันใดนั้นเขาก็เห็นซีอวิ๋นเซี่ยงเดินออกมาจากประตู เสียงท่านยายซีพลันกระซิบที่ข้างหูเขา “ธิดาเทพนี่ก็เป็นเพื่อนร่วมชั้นของจ้าวลัทธิด้วยล่ะ พวกเจ้าสองคนเข้ามหาวิทยาลัยจักรวรรดิพร้อมๆ กัน”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version