Skip to content

Tales of Herding Gods 165

ตอนที่ 165 สามคุณูปการอมตะ

ฉินมู่ตะลึงจนพูดไม่ออกเขามองไปที่ซีอวิ๋นเซี่ยง จากนั้นหันกลับไปมองท่านยายซีข้างๆ เขาอีกครั้งด้วยสีหน้าแข็งทื่อ เขาคิดมาตลอดว่าท่านยายซีคือซีอวิ๋นเซี่ยง แต่บัดนี้ซีอวิ๋นเซี่ยงอีกคนหนึ่งกลับโผล่ขึ้นมาและนางยังเป็นธิดาเทพคนปัจจุบันของลัทธิมารฟ้า!

เขารู้สึกจิตใจสับสนไปหมด ธิดาเทพคนปัจจุบันก็มีแซ่ซี ดังนั้นเขาจึงมีความประทับใจแรกและคอยทดสอบนางว่าใช่ท่านยายซีไหม เขาถึงกับจงใจแหย่ธิดาเทพสองสามครั้งเพื่อดูท่าทีเอียงอายของนาง!

จนกระทั่งครั้งสุดท้ายที่ซีอวิ๋นเซี่ยงมาโอ้อวดกับเขานั่นแหละ เขาถึงแน่ใจว่านางคือท่านยายซี แต่ตอนนี้…

“ธิดาเทพรุ่นนี้นี่ปลอดภัยไร้กังวลกว่ารุ่นก่อน ธิดาเทพรุ่นก่อน หน้านี้เป็นนางปีศาจสาวชัดๆ”

ผู้เฒ่าผมขาวถอนหายใจ “แม้ว่าพวกเขาจะมาจากตระกูลซีเหมือนกันแต่ธิดาเทพรุ่นนี้คงไม่สร้างความเสียหายแก่ลัทธิศักดิ์สิทธิ์เรา”

ท่านยายซีจ้องเขาด้วยสายตาแค้นเคือง ผู้อาวุโสนั้นหันหน้าหนีแกล้งทําเป็นไม่เห็น

ซีอวิ๋นเซี่ยงก้าวไปข้างหน้าและมายังข้างกายฉินมู่ นางนั้นมีท่าทีเอียงอายเล็กน้อยและทักทายด้วยรอยยิ้มจริงใจ “จ้าวลัทธิน้อย ธิดาเทพซีอวิ๋นเซี่ยงน้อมคารวะจ้าวลัทธิน้อย”

ฉินมู่รีบคารวะทักทายตอบทันที “ศิษย์น้องหญิงสุภาพไปแล้ว”

“ธิดาเทพรุ่นนี้ช่างเป็นธรรมชาติ ปราศจากความเสแสร้ง” ผู้อาวุโสอีกคนถอนหายใจอย่างสะท้อนใจ “ไม่เหมือนกับรุ่นก่อน วางแผนสังหารจ้าวลัทธิในฐานะภรรยา”

ท่านยายซีโลดเต้นด้วยความเดือดดาลแล้วตะโกน “ข้ายังยืนหัวหงอกอยู่นี่ ตาเฒ่าอย่างพวกเจ้าต้องการอะไรกันห้ะ”

ผู้อาวุโสนั้นหุบปากทันทีไม่กล้าเถียงนาง

“ธิดาเทพซีอวิ๋นเซี่ยงคนนี้ดูท่าจะรับมือไม่ง่าย”

ฉินมู่แววตาวูบไหวและมองไปยังเด็กสาวที่บอบบางและเอียงอาย ครุ่นคิดในใจ นางมีจิตใจลึกล้ำยากหยั่งถึง และผู้ที่เอาชนะโฝจื่อได้น่าจะเป็นนาง จากนั้นนางก็มาโอ้อวดกับข้าเพื่อหยั่งวัดกิริยาท่าทีของข้า นางรู้มาตั้งนานแล้วว่าข้าเป็นจ้าวลัทธิน้อย แต่ก็ยังมาโอ้อวดต่อหน้าข้า นั่นเพื่ออะไรกันนะ

ท่านยายซีแย้มยิ้ม “ซีอวิ๋นเซี่ยงมาจากตระกูลซีของข้า และปรมาจารย์สั่งสอนนางด้วยตนเองมาหลายปี ปรมาจารย์ค้นพบนางหลังจากที่พบเจอเจ้า และเมื่อเขาพบนาง เขาก็ทอดถอนใจเสียดายว่าหากว่าพบนางก่อน คงไม่เลือกเจ้า”

ฉินมู่มองไปที่ซีอวิ๋นเซี่ยงและซีอวิ๋นเซี่ยงก็เงยหน้าขึ้นมาสบตาเขาโดยบังเอิญ สายตาของพวกเขาปะทะกันและฉินมู่สามารถมองเห็นความไม่ยอมรับนับถือในดวงตาอันคล้ายจะอ่อนโยนนุ่มนวลของนาง

ฉินมู่ยิ้มกลับไป

ซีอวิ๋นเซียงนั้นน่าจะได้รับการอบรมสั่งสอนโดยปรมาจารย์เยาว์ในหนทางของจ้าวลัทธิ เขาให้นางสอบเข้ามหาวิทยาลัยจักรวรรดิในปีเดียวกับฉินมู่เพื่อเปรียบเทียบพวกเขา

ฉินมู่ไม่เคยรู้ว่าจริงๆ แล้วเขากําลังแข่งขันกับเด็กสาวผู้นี้ นางจะทําอะไรได้ ในเมื่อฉินมู่โดดเด่นเกินไปในการทดสอบและถึงกับซัดนักพรตหลิงอวิ๋นกระเด็นไป 7 ตลบถึงหน้าพระพักตร์ขององค์จักรพรรดิ ไม่ว่าซีอวิ๋นเซี่ยงจะทําอย่างไร ก็ไม่อาจพ้นจากเงาของฉินมู่ไปได้ และไม่มีทางโดดเด่นไปยิ่งกว่าเขา

ในขณะนั้น ปรมาจารย์เยาว์ก็ทดสอบว่าฉินมู่เหมาะจะเป็นจ้าวลัทธิหรือไม่ หลังจากการทดสอบ ปรมาจารย์ก็ตกลงปลงใจและผู้ที่เขาเลือกมิใช่ซีอวิ๋นเซี่ยง เมื่อเทียบกับนางแล้ว ฉินมู่เหมาะจะขึ้น

เป็นจ้าวลัทธิมากกว่า

ทว่าซีอวิ๋นเซี่ยงไม่อาจยอมรับเรื่องนี้ได้ ดังนั้นเมื่อนางกําราบโฝจื่อสําเร็จ จึงมาโอ้อวดท้าทายฉินมู่

ปรมาจารย์เยาว์มองไปรอบๆ จากนั้นถาม “เทวราชเฉียนยังมาไม่ถึงอีกรึ”

“ยังเลย”

ปรมาจารย์เยาว์ขมวดคิ้ว เทวราชเฉียนนั้นมีนิสัยอยู่ไม่สุข และไม่ว่าจะมีเรื่องราวอะไร เขาก็จะเป็นคนแรกที่เข้ามาข้องเกี่ยวเสมอ แต่ว่าตอนนี้เขากลับยังไม่มา นี่แปลว่าเขาคงไม่สามารถมาได้อีกต่อไป

มีเรื่องอะไรที่สลักสําคัญยิ่งกว่าการขึ้นครองลัทธิของจ้าวลัทธิ?

มีเพียงเหตุผลเดียวที่เทวราชเฉียนไม่สามารถเข้าร่วมพิธีขึ้นครองลัทธิได้

“จ้าวลัทธิน้อย เจ้าต้องดูแลครอบครัวของเทวราชเฉียนเป็นอย่างดี” ปรมาจารย์เยาว์บอกกับเขาด้วยเสียงแผ่วเบา

ฉินมู่สะท้านใจและขณะที่กําลังจะไถ่ถาม ปรมาจารย์เยาว์ก็ประกาศอย่างเคร่งขรึม “โถงทั้ง 360 คลี่ธงของเจ้า และพบกันที่ภูเขานักบุญเยือน!”

วิ้ว

ธงใหญ่พลันคลี่ออกมาและทั้งจวนนี้ก็ถูกคลุมไว้ด้วยธง เมื่อธงใหญ่นี้ม้วนกลับไป ทั้งจวนเจ้าเมืองแห่งเมืองมณฑลสมานฉันท์ก็หายวับไปในอากาศธาตุ สถานที่ที่จวนเจ้าเมืองเคยตั้งอยู่ เหลือแต่ที่ดินว่างเปล่า

เมื่อธงยักษ์ที่คลี่คลุมเหนือหัวพวกเขาหายไป ฉินมู่ก็มองไปรอบๆ และตกตะลึงพรึงเพริด เขาพบว่าพวกเขาได้ออกมาจากเมืองมณฑลสมานฉันท์อันคึกคักแล้ว และมายังสถานที่อันดูไม่เหมือนดินแดนมนุษย์ปุถุชน

บนหัวเขามีฟ้าโค้งเป็นวงกลมรอบๆ และใต้เท้าเขาคือเทือกเขาอันสูงเยี่ยมบนพื้นอันดูคล้ายภาพมายา ในที่แห่งนี้มิอาจขึ้นไปสู่ท้องฟ้าเบื้องบนได้ และไม่อาจลงไปเบื้องล่างเพื่อแตะพื้นดินได้

ขุนเขาเขียวแห่งนี้เขียวชอุ่มสดใส ทว่ามองไม่เห็นดวงอาทิตย์บนท้องฟ้า และใต้เท้าก็ไม่มีพื้นดิน ภูเขาแห่งนี้ดูไม่เหมือนตั้งอยู่บนโลกมนุษย์

“นี่คือภูเขานักบุญเยือน?”

ฉินมู่มองไปรอบๆ และเห็นเทือกเขาสลับซับซ้อนสุดลูกหูลูกตา มีโถงปราสาทราชวังหลายโถงวังซุ่มซ่อนอยู่ในป่าอันน่าจะเป็นโถงวังที่ลัทธิศักดิ์สิทธิ์สร้างเอาไว้ แต่ทว่าปรมาจารย์เยาว์มิได้พาเขาไปยังโถงราชวังเหล่านั้นแต่กลับพามุ่งตรงไปยังต้นสนไซเปรสต้นหนึ่ง

สนไซเปรสต้นนี้เขียวสดชื่นและเต็มไปด้วยชีวิตชีวา มันมีชีวิตอยู่นานแค่ไหนคงมีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่รู้ ข้างใต้สนไซเปรสมีกระท่อมหญ้าฟางตั้งอยู่อันสะอาดสะอ้านเป็นอย่างยิ่ง กระท่อมนี้ไม่มีวี่แววของการผุพังจากกาลเวลาเลยสักนิด

และมีก้อนหินใหญ่ใต้ต้นสนไซเปรส ปรมาจารย์เยาว์นําขบวนมายังใต้ต้นสน หัวหน้าโถงทั้ง 360 ผู้อาวุโสคุ้มกันลัทธิทั้ง 12 ผู้ตรวจการทั้ง 8 เทวราชลัทธิทั้ง 3 ผู้พิทักษ์ซ้าย ขวา ล้วนนั่งลงใต้สนไซเปรสต้นนั้น

ปรมาจารย์เยาว์ส่งสัญญาณเรียกฉินมู่ไปข้างหน้าแล้วกล่าว “แต่เดิมภูเขานี้อยู่ในโลกมนุษย์ เมื่อกาลครั้งนั้นจ้าวลัทธิก่อตั้งของลัทธินักบุญสวรรค์เราได้มายังที่นี้ เขาเห็นคนตัดไม้คนหนึ่งกําลังตัดไม้ฟืนอยู่ ต้นไม้ที่เขาตัดก็คือสนไซเปรสต้นนี้ เมื่อคนตัดไม้ฟันต้นสน เขาก็ตัดฟันด้วยท่วงท่าอันเหมือนจะเปี่ยมปริ่มไปด้วยปริศนามหัศจรรย์ข้างใน ในขณะเดียวกันนั้นเมื่อต้นสนถูกถาก ฟันเนื้อไม้ออกเนื้อไม้ใหม่ก็งอกเงยออกมา ทําให้มันกลับคืนเป็นสภาพเดิม เมื่อจ้าวลัทธิก่อตั้งตระหนักว่าตนกําลังพบนักบุญผู้ ศักดิ์สิทธิ์ เขาจึงเข้าไปขอคําชี้แนะจากคนตัดไม้ คนตัดไม้นั้นถ่ายทอดเต๋าของเขาให้แก่จ้าวลัทธิก่อตั้งใต้สนไซเปรสต้นนี้ และเมื่อเขาเริ่มถ่ายทอด เขาก็อธิบายเต๋าของตนเป็นเวลาหลายสิบปี

จ้าวลัทธิก่อตั้งบรรลุแจ้งทางปัญญามากมายไม่สิ้นสุด แต่ก็ยังไม่อาจดับความกระหายในปัญญาได้ เขาจึงถามคนตัดไม้ว่าจะสําเร็จเป็นนักบุญได้อย่างไร”

ฉินมู่เงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ และปรมาจารย์เยาว์ก็เว้นไปครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวต่อ “คนตัดไม้กล่าว หากว่าใครต้องการจะสําเร็จเป็นนักบุญ พวกเขาจะต้องก่อตั้งคุณธรรมของตน ก่อตั้งบุญกุศลของตน และก่อตั้งระบบความคิดของตนในนิพนธ์ข้อเขียน อันนับเป็น 3 คุณูปการอมตะ คนตัดไม้กล่าวเหตุผลชัดแจ้ง ความเข้าใจชัดแจ้ง การสั่งสอนชัดแจ้ง ความชัดแจ้ง 3 ประการจึงจะเป็นครูสอนสั่งของทุกผู้คน เมื่อได้ยินเช่นนั้น จ้าวลัทธิก่อตั้งก็เกิดพุทธิปัญญาขึ้นมาทันที”

ปรมาจารย์เยาว์เงยหน้าขึ้นมองสนไซเปรสอันผ่านการเคี่ยวกรําของกาลเวลา “จ้าวลัทธิก่อตั้งรู้หนทางในการสําเร็จเป็นนักบุญ สิ่งแรกที่เขาต้องทําก็คือการกลายเป็นครูสอนสั่งของทุกผู้คน เขาจึงสังคายนาคําสั่งสอนของนักบุญเป็นนิพนธ์ต่างๆ และรวบรวมมันเป็นบันทึกซึ่งปัจจุบันเรารู้จักในนามว่าคัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิต”

“เมื่อจ้าวลัทธิก่อตั้งเขียนคัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิตออกมา เขาก็สําเร็จเหตุผลชัดแจ้ง”

“จากนั้นเขาจึงเดินทางไปทั่วโลกสั่งสมประสบการณ์การถ่ายทอดหลักการอันนักบุญได้ถ่ายทอดให้แก่เขาไปสู่ผู้อื่นอีกทอด หลักการที่นักบุญถ่ายทอดให้เขาก็กลายเป็นหลักการของเขา หลังจากที่เขาถ่ายทอดให้ผู้อื่น หนึ่งปากสู่สองหูเจ้า จากปากเจ้า สู่สองหูเขา นี่คือความเข้าใจ จ้าวลัทธิก่อตั้งสําเร็จความเข้าใจชัดแจ้ง”

“สําหรับการสั่งสอนชัดแจ้งนั้น จ้าวลัทธิก่อตั้งได้ก่อตั้งลัทธิอันเป็นอนุสรณ์อันระลึกถึงการแสดงหนทางอันเที่ยงแท้ของคนตัดไม้ ดังนั้นเขาจึงเรียกมันว่าลัทธินักบุญสวรรค์ และได้ก่อตั้งคําสอนหลักของลัทธิ หนทางแห่งนักบุญมิใช่ใดอื่นนอกจากการยังประโยชน์แก่วิถีชีวิตของคนธรรมดาสามัญ ผู้ใดที่กระทําผิดไปจากนี้ถือว่านอกรีต! กระทําอย่างตรงไปตรงมา เป็นอิสระจากธรรมชาติ นั่นคือความหมายของหนทาง และนี่คือความเป็นมาของคําสอนหลักลัทธิเรา”

ข้างล่างนั้นแม้ว่าหัวหน้าโถงทั้งหลาย ผู้พิทักษ์ และผู้เฒ่า ตําแหน่งสูงในลัทธิทั้งหมด ส่วนใหญ่แล้วพวกเขาเพิ่งเคยเข้าร่วมพิธีขึ้นครองลัทธิเป็นครั้งแรก แม้แต่ผู้อาวุโสคุ้มกันลัทธิและเทวราชลัทธิก็ใช่ว่าจะคุ้นเคยกับประวัติศาสตร์ของลัทธิ

เดิมนั้นพวกขาคิดว่าพิธีขึ้นครองลัทธิของจ้าวลัทธินั้นจะมีพิธีการอันยิ่งใหญ่อลังการ และไม่คาดคิดเลยว่าปรมาจารย์จะเริ่มพิธีด้วยการบอกเล่าประวัติศาสตร์ของลัทธิ

สําหรับตํานานของจ้าวลัทธิก่อตั้งนั้น พวกเขาเคยเห็นบันทึกอยู่บ้างในบรรดาบันทึกโบราณ แต่นั่นก็เป็นแค่เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย ไม่มีรายละเอียดและเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ดังที่ปรมาจารย์เยาว์บรรยาย

“สั่งสอนชัดแจ้งนั้นหมายถึงการถ่ายทอด การสั่งสอน จ้าวลัทธิก่อตั้ง จัดตั้งลัทธิขึ้นมานั้นก็เพื่อถ่ายทอดคําสอนของนักบุญไปยังปวงชนทั้งหลายในโลกหล้า เขากลายเป็นครูผู้สั่งสอนปวงชนได้สําเร็จ มีเหตุผลชัดแจ้ง ความเข้าใจชัดแจ้ง และการสั่งสอนชัดแจ้ง เขาได้ก่อตั้งคุณธรรมของตน ก่อตั้งถ้อยคําความคิด แต่เขายังมิได้ก่อตั้งบุญกุศลของเขา ดังนั้นเขาจึงยังไม่สําเร็จเป็นนักบุญ”

ปรมาจารย์เยาว์กล่าวต่อ “ในช่วงปีท้ายๆ ของเขา เขาคิดแล้วคิดอีก แต่ก็ไม่รู้ว่าบุญกุศลเขาอยู่ที่ใด แต่แม้ว่าจ้าวลัทธิก่อตั้งจะมิอาจสําเร็จเป็นนักบุญได้ เขาก็ได้ก่อตั้งถ้อยคําความคิดสําหรับนักบุญและก่อตั้งลัทธิด้วยตนเอง สําเร็จการสั่งสมคุณธรรม ด้วยการบรรลุ 3 ชัดแจ้ง และ 2 คุณูปการอมตะ เขาก็เหนือลํ้ากว่าผู้คนจํานวนนับไม่ถ้วน ฉินมู่ เจ้ามุ่งหมายที่จะสืบทอดคุณธรรม ถ้อยคําความคิด เหตุผล และความเข้าใจของจ้าวลัทธิก่อตั้งหรือไม่”

ฉินมู่โค้งคารวะและก้าวเท้าไปข้างหน้า “ศิษย์มุ่งหมายเช่นนั้น”

ปรมาจารย์เยาว์เผยยิ้มแล้วกล่าว “เมื่อเป็นเช่นนั้น ลัทธินี้ก็จะอยู่ใต้การดูแลของเจ้า เจ้าจะต้องแบกรับความรับผิดชอบนี้ต่อไป”

ฉินมู่ตอบอย่างเคร่งขรึม “ศิษย์ยินดีแบกรับความรับผิดชอบนี้”

ปรมาจารย์เยาว์ยิ้มอย่างอ่อนโยนแล้วกล่าว “ไปนั่งบนก้อนหิน”

ฉินมู่ก้าวไปข้างหน้าและนั่งบนก้อนหินใต้ต้นสนไซเปรส ปรมาจารย์เยาว์ก้มลงมอง และเสียงของเขาก้องกังวานไปทั่ว

“หินก้อนนี้คือหินนักบุญ เป็นอาสนะศักดิ์สิทธิ์ เมื่อครั้งนั้นคนตัดไม้ที่ชี้แนะจ้าวลัทธิก่อตั้งเป็นนักบุญที่ลงมาจากสรวงสวรรค์ เขาไม่มีสายเลือดเกี่ยวข้องกับจ้าวลัทธิก่อตั้ง ไม่มีผลประโยชน์เกี่ยวพันแต่เขาก็ยังรับบทบาทครูเพื่อถ่ายทอดความรู้และวิชาแก่จ้าวลัทธิก่อตั้ง เพียงเพราะว่าจ้าวลัทธิก่อตั้งมีความมุ่งหมายที่จะรํ่าเรียนจากเขา ผู้ที่นั่งอยู่บนหินก้อนนี้คือจ้าวลัทธิ แต่เขาก็จะเป็นครูบาศักดิ์สิทธิ์แห่งลัทธิเราด้วย”

สายตาของเขากวาดมองไปยังทุกๆ หัวหน้าโถง ผู้อาวุโสคุ้มกันลัทธิ ผู้ตรวจการ เทวราช และผู้พิทักษ์ เขาออกคําสั่งด้วยเสียงอันหนักแน่น “พวกเจ้าทุกคน คารวะในฐานะศิษย์แสดงความเคารพต่อครูบาศักดิ์สิทธิ์”

360 หัวหน้าโถง 12 ผู้อาวุโสคุ้มกันลัทธิ 8 ผู้ตรวจการ 3เทวราชลัทธิ ผู้พิทักษ์ซ้ายและขวา ล้วนแต่โค้ง คารวะด้วยมารยาทของศิษย์ ธิดาเทพซีอวิ๋นเซี่ยงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็ต้องคารวะด้วยเช่นกัน

“ศิษย์น้อมพบจ้าวลัทธิศักดิ์สิทธิ์”

ทุกคนตะโกนก้องเป็นเสียงเดียว อันสะท้อนไปไกลทั่วขุนเขานักบุญเยือน

ปรมาจารย์เยาว์มองไปที่ยายเฒ่าซีแล้วกล่าวอย่างเคร่งขรึม “หลี่เทียนซิ่ง จ้าวลัทธิใหม่ได้ขึ้นครองลัทธิแล้ว ไฉนเจ้ายังไม่แสดงตัวออกมา เจ้าจะไม่ถ่ายทอดวิชาของลัทธิเราหรอกหรือ เจ้าหมายจะกอดวิชาศักดิ์ของลัทธิเข้าหลุมศพให้ถูกกลบฝังหายไปสิ้นเชิงหรือ”

ร่างของท่านยายซีพลันสั่นเทิ้ม และเสียงชราโบราณก็ดังออกมา “ศิษย์…น้อมรับบัญชาอาจารย์”

นางเป็นสตรีชัดๆ แต่กลับกล่าวด้วยเสียงดุจชายชราที่มีเสียงแหบห้าว อันมีความเขื่องโขอยู่ในนั้นแต่ทว่าเขามิกล้าจองหองต่อหน้าปรมาจารย์เยาว์

ยายเฒ่าซีเดินไปที่หน้าฉินมู่ ฉินมู่กําลังจะลุกขึ้นแต่ฝ่ามือของยายเฒ่าซีก็สัมผัสกับหน้าผากของเขา แสงทองพลันพุ่งวาบไปวาบมาในใจกลางระหว่างหน้าผากของยายเฒ่าซี และสรรพสําเนียงทุกชนิดก็ดังมาพร้อมกับแสงทองนั้น เมื่อมันพวยพุ่งถ่ายเทไปยังหน้าผากของฉินมู่ตรงไปถึงจิต

“จ้าวลัทธิหลี่…” เสียงบางคนกระซิบจากข้างล่าง

ในขณะนี้ ผู้ที่ควบคุมร่างของท่านยายซีคือจ้าวลัทธิคนก่อน หลี่เทียนซิ่ง แม้ว่าเขาจะถูกท่านยายซีลอบสังหาร แต่เขาก็ได้ปลูกฝังตนเองเข้าไปในจิตเต๋าของท่านยายซี กลายเป็นมารจิตในจิตใจของนาง รอวันเวลาที่จะช่วงชิงร่างของนางและแปรเปลี่ยนเป็นสตรีที่เขาลุ่มหลงมากที่สุด

เสียงอันซับซ้อนวกวนดังขึ้นในจิตของฉินมู่ ราวกับมีเสียงสาธยายคําสอนจากสวรรค์ชั้นเก้า หรือเสียงมารกระซิบกระซาบข้างหูเขา หรือเสียงพุทธองค์ท่องบ่นคัมภีร์ในจิตใจ ฟังๆ แล้วประหลาดพิลึกอย่างยิ่ง

“เสียงของนักบุญ?” ฉินมู่สะท้านใจขึ้นมาทันทีเมื่อนึกถึงความเป็นไปได้ เสียงนั้นเป็นเสียงของคนตัดไม้ สิ่งที่จ้าวลัทธิหลี่ถ่ายทอดให้เขาคือคัมภีร์ที่คนตัดไม้ให้จ้าวลัทธิก่อตั้ง!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version