Skip to content

Tales of Herding Gods 172

ตอนที่ 172 กองทัพแมลงแห่งมณฑลเนินดิน

3 เทวราชลัทธิรีดเค้นพละกําลังทั้งหมดเพื่อฟันฝ่าออกมาจากพื้นที่สายฟ้าสวรรค์จํากัดเขตจนได้ และสิ่งที่พวกเขาเห็นก็คือฉินมู่ซึ่งเคลื่อนย้ายระยะไกลแวบไปแวบมาอย่างต่อเนื่อง เดินทางห่างจากพวกเขาไปเรื่อยๆ

เทวราชทั้ง 3 ระบายลมหายใจโล่งอก

“หากข้ารู้ว่าภารกิจจะสาหัสขนาดนี้ ข้าคงไม่รับตั้งแต่แรก…” เทวราชหลู่ปาดเหงื่อบนหน้าจากนั้นพึมพํา “จ้าวลัทธิศักดิ์สิทธิ์รุ่นนี้ช่างเดาทางไม่ถูกเอาเสียเลย”

เทวราชอีก 2 คนก็มีความรู้สึกอย่างเดียวกัน

เทวราชฉื่อกล่าว “โชคดีที่เรื่องนี้จบสิ้นแล้ว จ้าวลัทธิศักดิ์สิทธิ์ของเราเผยพรสวรรค์อันเหนือชั้นมาตั้งแต่อายุเยาว์นับว่าเป็นโชควาสนาของลัทธิ ในเมื่อภารกิจนี้จบสิ้นลง พวกเราควรไปสืบสาวราวเรื่อง เกี่ยวกับเทวราชเฉียนต่อ”

จิตใจของเทวราชหลู่และเทวราชอวี้พลันเปลี่ยนเป็นเครียดขมึง และพวกเขาตอบด้วยสีหน้าอันหนักแน่น “นั่นคือสิ่งที่พวกเราจะทําอย่างแน่นอน เพื่อสืบเสาะว่าใครกันแน่ที่กล้ายื่นมือเข้ามาตอแยลัทธิศักดิ์สิทธิ์เรา!”

เทวราชฉื่อมีสีหน้าหนักอึ้งและกล่าวอย่างเคร่งขรึม “สิ่งที่ข้ากังวลที่สุดไม่ใช่เรื่องนี้ แต่คือเรื่องว่าธงเคลื่อนย้ายระยะไกลของลัทธิเราจะเล็ดรอดไปตกในนํ้ามือผู้อื่นหรือไม่ ปีนี้ช่างวิปโยคเสียจริง…ดูข้างล่างนั่น ดูเหมือนที่นี่จะเป็นชายแดนมณฑลเนินดิน!”

“มณฑลเนินดิน? แดนศักดิ์สิทธิ์ลัทธิเราเดินทางมาเหนือท้องฟ้ามณฑลเนินดินแล้วหรือนี่”

เทวราชอวี้สะท้านใจเล็กน้อย และเขาระบายลมหายใจขุ่นมัว “มณฑลเนินดินก่อกบฏและประยูรญาติของจักรพรรดิก็ร่วมกบฏด้วยพร้อมกับอิทธิพลอํานาจอันไม่อาจดูเบา ตอนนี้จ้าวลัทธิศักดิ์ร่วงลงไปใน มณฑลเนินดิน ข้าเกรงว่า…”

ภูเขานักบุญเยือนซ่อนเร้นอยู่ในวงพื้นที่สายฟ้าสวรรค์จํากัดเขตและลอยอยู่สูงขึ้นไปในนภากาศ แดนศักดิ์สิทธิ์นี้มิได้จอดนิ่งอยู่กับที่ แต่จะเคลื่อนที่อยู่ตลอดเวลา ในภูเขานักบุญเยือนจะมีสถานที่ที่เรียกว่าจุดส่องเหวอันสามารถมองเห็นสภาพพื้นที่เบื้องล่างภูเขานักบุญเยือนได้เมื่อผู้คนมองลงไปจากจุดส่องเหว ชัดขนาดที่ว่าแม้แต่มดบนพื้นก็อาจจะเห็นได้อย่างถนัดถนี่

แต่ว่าพวกเขากําลังเร่งรีบ จึงไม่มีเวลาไปตรวจสอบดูที่จุดส่องเหว และดันปล่อยให้ฉินมู่ลงไปจากภูเขานักบุญเยือนขณะที่แดนศักดิ์สิทธิ์เคลื่อนที่ผ่านเหนือมณฑลเนินดินพอดิบพอดี

“หวังว่าจ้าวลัทธิศักดิ์สิทธิ์คงไม่ร่วงลงไปในสนามรบ” เทวราชหลู่พึมพํา

ฉินมู่ร่วงลงมาจากท้องฟ้า และฮู่หลิงเอ๋อก็ร่ายเวทมนตร์เรียกลมปีศาจให้ฉินมู่เดินทางไปบนยอดลม ไม่นานนักเขาก็ลงมาแตะพื้น ปราณชีวิตของเขาเผาผลาญไปครึ่งหนึ่ง แต่อย่างน้อยเขาก็ลงมาได้ปลอดภัยดี

“ข้าไม่ได้ไปมหาวิทยาลัยจักรวรรดิตั้งนานแล้ว ในฐานะดุษฎีบัณฑิตและขุนนางที่ได้รับการแต่งตั้งโดยจักรพรรดิ ข้ากลับได้เข้าฟังบรรยายในชั้นเรียนแค่ครั้งเดียวเอง”

เมื่อมองไปรอบๆ เขาก็ให้ฮู่หลิงเอ๋อนําแผนที่จักรวรรดิสันตินิรันดร์ออกมาจากกระเป๋าหลัง เมื่อกวาดตามองภูมิประเทศของเทือกเขาบริเวณนี้ ฉินมู่ก็พยายามเปรียบเทียบกับภูมิประเทศที่คล้ายคลึงกันในแผนที่

“นี่คือ มณฑลเนินดินแต่ว่าจุดนี้ยังค่อนข้างห่างไกลจากตัวเมือง”

ในขณะนั้นเอง เขาก็เห็นเรือเหาะลอยมาบนท้องฟ้า ฉินมู่ใจไหววูบเล็กน้อยและรีบใช้วิชาขาขโมยสวรรค์วิ่งไล่เรือนั้นไปตามเนินเขา

เรือนั้นแขวนธงพ่อค้าเอาไว้ แต่มันเป็นเรือที่ทั้งขนสินค้าและให้คนโดยสารควบคู่กันไป ขณะนี้แม้ว่าทั่วท้องที่จะปั่นป่วนจากภัยสงคราม แต่ก็ยังมีเรือสินค้าอยู่มากมาย มีทั้งเรือที่แล่นไปมาในพื้นที่ของกองกําลังกบฏ

ฉินมู่วิ่งเร็วขึ้นและเร็วขึ้น จนกระทั่งเท้าของเขาเหยียบตะบึงขึ้นไปบนอากาศ เขาเหินหาวขึ้นไป ห้อตะบึงเต็มเหยียดไปบนท้องฟ้า

ราวกับว่ามันเป็นพื้นแข็ง ไล่ตามติดเรือเหาะนั้นในไม่กี่อึดใจ และเหยียบเท้าลงบนกราบเรือในพริบตา

ชิ้ง ชิ้ง ชิ้ง!

เสียงกระบี่จํานวนมากชักออกจากฝัก กระบี่ 10 กว่าเล่มโบยบินออกมาจ่อที่คอของเขาเมื่อเขาเหยียบเท้าลงบนเรือ กระบี่เหล่านั้นล้อมหน้าล้อมหลังเขาไว้จนหมดสิ้น

“ทุกคนอย่าเพิ่งแตกตื่น ข้าแค่จะขอโดยสารขึ้นเรือ” ฉินมู่รีบยก 2 มือขึ้นแล้วกล่าวอย่างระมัดระวัง

บนดาดฟ้าเรือมีผู้คนอยู่ 10 กว่าคนอันพวกเขาส่วนใหญ่ดูเหมือนจะเป็นพ่อค้า และมีทั้งผู้ฝึกวิชาเทวะที่พ่อค้าเหล่านี้จ้างมาคุ้มกันและมีนายทหารอีกสองสามคน พวกที่คุมกระบี่บินจี้คอฉินมู่ คือเหล่านายทหารและผู้ฝึกวิชาเทวะ

“เจ้าหนุ่ม เจ้าวางแผนจะไปไหนล่ะ” คนคุมเรือผู้ซึ่งมีแขนเปลือยเปล่าอันเต็มไปด้วยรอยสักมองฉินมู่ขึ้นๆ ลงๆ แล้วเอ่ยถามด้วยหน้าตาตื่น

ฉินมู่ถามกลับ “เรือนี้กําลังจะไปเมืองหลวงหรือเปล่า”

คนคุมเรือพยักหน้าแล้วกล่าว “กําลังไปเมืองหลวง ค่าโดยสารเรือคือร้อยเหรียญสมบูรณ์พูนสุข”

ฉินมู่ฟังแล้วก็แตกตื่น จนร้องออกมา “แพงขนาดนี้เลยหรือ จากสุสานแม่นํ้าไปเมืองหลวงค่าเรือแค่ 10 เหรียญสมบูรณ์พูนสุขเอง ทําไมแผล็บเดียวราคาก็ขึ้นมา 10 เท่า”

“สถานการณ์ตอนนี้ไม่สู้ดี มีการรบพุ่งกับทุกวี่วัน การเดินทางจึงไม่ราบรื่นอย่างแน่นอน ค่าโดยสารเรือก็เลยต้องขึ้นตามไปด้วย ฮี่ๆ 10 เท่านี้ยังนับว่าน้อย ตอนนี้พวกเราเสี่ยงชีวิตกันอยู่นะ ดังนั้นเจ้าก็คงต้องใช้ค่าตอบแทนที่สาสมกับแรงงานพวกเราหน่อย”

ฉินมู่ตกลง

หากว่าเขามุ่งหน้าไปเมืองหลวงโดยลําพัง และพบกับภัยพิบัติกลียุคระหว่างทาง เขาก็คงต้องเสียเวลาไม่ตํ่ากว่า 10 วันถึงจะไปถึงเมืองหลวง หากว่าเขาจะใช้วิชาขาเทวะขโมยสวรรค์ไปตลอดทาง เขาก็จะต้องเผาผลาญพลังวัตรไปอย่างรวดเร็ว และทําให้พลังวัตรของเขาเหือดแห้งไปหลังจากวิ่งได้ไม่นาน ดังนั้นขึ้นเรือเหาะก็จะสะดวกกว่าอยู่ดี

“โลกหล้าไม่สงบสุข ข้าได้ยินว่าชุ่ยเตี่ยอี้แห่งมณฑลป่าไม้ก็ก่อกบฏเช่นกัน”

ฉินมู่จ่ายค่าโดยสารและได้ยินพ่อค้าสองสามคนคุยกันสุภาพบุรุษชราผู้หนึ่งกล่าว “ชุ่ยเตี่ยอี้นั้นไม่ใช่ชนชั้นไร้ชื่อเสียงเรียงนาม ก่อนที่นางจะสวามิภักดิ์ต่อราชสํานัก นางเคยเป็นจักรพรรดินีมหาประทับแห่งวังพรากกิเลสผู้ซึ่งมีวรยุทธ์แข็งแกร่งสะท้านแดนดิน วังพรากกิเลสมีอิทธิพลอํานาจยิ่งใหญ่และศิษย์วัง

พรากกิเลสจํานวนมากก็ได้ขึ้นเป็นแม่ทัพชายแดนและตอนนี้เมื่อจักรพรรดินีมหาประทับแห่งวังพรากกิเลสมาก่อกบฏ ฮี่ๆ โลกหล้าแห่งนี้ไม่ปั่นป่วนก็ไม่รู้จะเรียกว่าอะไร”

“ข้าได้ยินมาว่าวังพรากกิเลสเป็นสํานักใหญ่อันดับหนึ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาโดยสตรีนางหนึ่ง มีอิทธิพลอํานาจเหนือลํ้ากว่าสํานักอื่นๆ อันไม่ยิ่งหย่อนไปกว่า 3 มหาแดนศักดิ์สิทธิ์ แม่ทัพหญิงส่วนใหญ่ในสภาราชสํานักล้วนแต่มาจากวังพรากกิเลสทั้งนั้น”

“ปราสาท 3 มหัศจรรย์ก็ก่อกบฏเช่นกัน ปราสาท 3 มหัศจรรย์ในครั้งนั้นเคยเป็นที่รักใคร่ใยดีขององค์จักรพรรดิ และสนมเฉอก็มาจากปราสาท 3 มหัศจรรย์ ข้าได้ยินว่านางเป็นหลานสาวของเฉอเจิ้งหลี่ หนึ่งใน 3 มหัศจรรย์! และบัดนี้เมื่อปราสาท 3 มหัศจรรย์ก่อกบฏ สนมเฉอก็ถูกเนรเทศให้ไปอยู่ตําหนักเย็น”

“ทําไมมีสํานักที่ก่อกบฏเยอะนักล่ะ”

“เจ้าไม่รู้หรือ เมื่อ 3 เดือนก่อน เต๋าจื่อแห่งสํานักเต๋าไปขวางประตูมหาวิทยาลัยจักรวรรดิ และราชครูสันตินิรันดร์ก็ไปสอนบรรยายที่นั่น หลังจากนั้นก็มีผู้คนที่เห็นว่าราชครูสันตินิรันดร์บาดเจ็บ ข้าได้ยินว่าบาดแผลของราชครูส่งกลิ่นเหม็นและเขาจงใจใช้นํ้าหอมมากลบกลิ่นของมัน ทว่าก็ไม่อาจปิดบังกลิ่นเน่าของบาดแผลได้”

“เมื่อข่าวนี้แพร่กระจายออกไป หลายสํานักยังไม่เชื่อถือ แต่แล้วก็มีอีกเรื่องเล่าลือออกมา เจ้าสํานักขี่มังกรได้ไปเยือนเคหาสน์ราชครูในยามคํ่าคืน เพื่อต่อสู้กับราชครู และสามารถรอดชีวิตกลับออกไปได้! กําลังฝีมือของเจ้าสํานักขี่มังกรไม่อาจนับได้ว่าเป็นชั้นหนึ่ง แต่เขามีมังกรที่เลี้ยงไว้อันวิวัฒนาการมาจากอสรพิษ จึงพอจะนับได้บ้างว่าเขาเป็นตัวตนระดับจ้าวลัทธิ แต่เมื่อราชครูไม่อาจเอาเขาลงได้ นั่นก็แปลว่าราชครูบาดเจ็บอย่างหนักหนาสาหัส”

“ชู่ววว หยุดคุยเรื่องนี้เถอะ นายทหารพวกนั้นมองมาทางนี้แล้ว”

ฉินมู่ใจวูบไหวเล็กน้อยเมื่อเขาหวนคิดถึงตอนที่ราชครูมาสอนบรรยาย ราชครูสันตินิรันดร์นั้นดูไม่ค่อยแข็งแรงจริงๆ นั่นละ แต่ฉินมู่นั้นเชี่ยวชาญวิชาแพทย์เป็นอย่างยิ่ง ทั้งเคยไปซื้อชาดและแป้งประทินผิวกับท่านยายซีอยู่บ่อยๆ เขาจึงแน่ใจได้ว่าสีแดงเรื่อบนใบหน้าของราชครูสันตินิรันดร์นั้นไม่ได้มาจากอาการป่วยไข้ แต่มาจากการทาชาดเข้าไป

ส่วนการใช้นํ้าหอมกลบกลิ่นเน่าของบาดแผลที่พ่อค้าพวกนั้นพูดถึง ฉินมู่ก็ได้กลิ่น 2 แบบที่แตกต่างกันจริงๆ แต่เขาไม่กังวลเลย

เขาเรียนรู้วิธีแยกแยะสมุนไพรด้วยกลิ่นจากนักปรุงยามาแต่เล็กแต่น้อย กลิ่น 2 กลิ่นนี้มาจากสมุนไพรธรรมดาและนํ้าหอม

ฉินมู่ขมวดคิ้ว “อาการบาดเจ็บของราชครูหายดีแล้ว แต่เขาก็ยังฉวยโอกาสตอนที่เขามาสอนบรรยายที่มหาวิทยาลัยจักรวรรดิเพื่อหลอกลวงผู้คนในโลกภายนอกให้คิดว่าเขายังบาดเจ็บสาหัสอยู่ ทําให้ผู้คนที่ตอนแรกไม่กล้ากระด้างกระเดื่องก็โผล่หัวโผล่หางออกมา แผนการของเขาจะไม่น่ากลัวไปหน่อยหรอกหรือ”

นับจากที่ราชครูสอนบรรยายที่มหาวิทยาลัยจักรวรรดิก็ผ่านมา 3 เดือนแล้ว และในเวลา 3 เดือนนี้ สถานการณ์ก็ยุ่งเหยิงยํ่าแย่ลงไปทุกที มีหลายต่อหลายสํานักสมทบกองกําลังกบฏ ขุนนางและนายทหารก็ย้ายฝั่งกันเป็นว่าเล่น ทําให้ฉินมู่ยิ่งหยั่งคะเนจิตเจตนาของราชครูสันตินิรันดร์ไม่ได้เข้าไปทุกที

ราชครูสันตินิรันดร์เขย่าสถานการณ์ทางการเมืองในปัจจุบันจนยุ่งเหยิงขนาดนี้ และก็ดูยากจะคลี่คลายแก้ไข แม้ว่าเขาจะสามารถปรามปรามการกบฏ แต่แสนยานุภาพของจักรวรรดิสันตินิรันดร์เห็นทีคงจะย่อยยับไม่ใช่น้อย

ยิ่งไปกว่านั้น จักรวรรดิสันตินิรันดร์ก็มีอริศัตรูภายนอกอย่างจักรวรรดิคนเถื่อนตี้ในทิศตะวันตก และประเทศรังหมาป่าในทิศเหนือ ไม่สงบทั้งศึกในและศึกนอก

“หรือราชครูสันตินิรันดร์กำาลังคิดจะแย่งชิงบัลลังก์” เขาเผยสีหน้าสงสัย

ขณะที่ราชวงศ์จักรพรรดิต่อสู้กับเหล่ากบฏ ราชครูสันตินิรันดร์อาจจะฉวยโอกาสนี้แย่งชิงบัลลังก์และขึ้นเป็นจักรพรรดิได้ หากว่าทั้งสองฝ่ายต่างสูญเสียกําลังจากการรบพุ่ง

แต่ถึงแม้ว่าฉินมู่จะมิได้รู้จักมักจี่กับราชครูสันตินิรันดร์เป็นการส่วนตัว เขาก็รู้สึกว่าผู้คนที่จิตใจโอ่อ่าเปิดกว้างขนาดนี้ย่อมไม่ใช่วิธีพรรค์ดังกล่าวในการแย่งชิงบัลลังก์

ทันใดนั้น เรือเหาะก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง และใจฉินมู่ก็เต้นตูมตาม เขารีบชะโงกออกไปจากข้างเรือเพื่อมองดูและเห็นว่าเรือนี้กําลังลอยเข้าสู่สมรภูมิรบ

สมรภูมิรบดังกล่าวอยู่ในอากาศ และนอกจากเรือรบทั้งหลาย ก็ยังมีรถเหาะ เมฆบิน สัตว์ขี่อากาศ และสมบัติวิเศษสําหรับเหาะเหินประหลาดพิสดารอีกจํานวนมาก

โชคดีที่เรือนี้อยู่ในตําแหน่งริมขอบสนามรบ และเมื่อคนคุมเรือเห็นสถานการณ์ข้างหน้า เขาก็รีบหมุนพวงมาลัยบังคับหางเสือตีโค้งไปทางซ้ายสุดกู่ จนเรือเหาะนี้แทบเอียงควํ่า เรือนี้หลบหลีกการชนปะทะกับเรือรบได้อย่างหวุดหวิดและเล็ดรอดผ่านสมรภูมินั้นไป

ฉินมู่ตั้งหลักยืนให้มั่นป้องกันตนมิให้ร่วงตกลงไป

ทันใดนั้น พลทหารหน่วยรบเร็วที่ขี่นกปีกทองก็บินเข้ามา และกระบี่บินก็พรั่งพรูออกมาจากกล่องกระบี่ของทหารผู้นั้นพุ่งเป้ามายังผู้คนบนเรือ

คนคุมเรือรีบตะโกนทันที “พวกเราเป็นพ่อค้าที่ผ่านทางมา ไม่ใช่ทหาร!”

หน่วยรบเร็วผู้นั้นทําหูทวนลมแล้วยิงกระบี่คมกริบเข้าใส่ผู้คนบนดาดฟ้าเรือ กระบี่บางเล่มก็พุ่งเข้าไปใส่ใบเรือ เฉือนตัดเชือกที่ขึงใบ ทําให้เรือแล่นช้าลงอย่างมาก

ทุกคนบนเรือขนหัวลุกเห็นได้ชัดว่านี่คือการรบระหว่างกองทัพเต็มรูปแบบ อันฝั่งหนึ่งคือกองทัพของสันตินิรันดร์ และอีกฝั่งเป็นกองทัพของฝ่ายกบฏ นี่ไม่ใช่แค่การสร้างความวุ่นวายของสํานัก

เมื่อสํานักสร้างความวุ่นวาย นอกจากสามสํานักใหญ่อันได้แก่ 3 มหาแดนศักดิ์สิทธิ์ ก็ยากที่จะมีสํานักไหนอันสามารถสร้างกองกําลังอันทัดเทียมกับกองทัพของจักรวรรดิได้

การปฏิรูปของราชครูสันตินิรันดร์นั้นมิใช่เพียงแค่ปฏิรูปโรงเรียนประถมฐาน วิทยาลัย และมหาวิทยาลัยจักรวรรดิเท่านั้น เขายังได้ปฏิรูปกองกําลังทางทหารอีกด้วย ในกองทัพหนึ่งๆ ทหารทุกคนจะมีอาวุธวิญญาณอันเป็นมาตรฐานเดียวกันแล้วต่อให้พวกเขาไม่มีกําลังฝีมือเท่ากับศิษย์สํานักทั้งหลาย แต่ตราบเท่าที่จํานวนพวกเขามีมากกว่าและสามารถใช้ปราณคุมกระบี่บิน ทหารทั้งหมดสามารถร่วมมือกันเป็นหนึ่งเดียวปลดปล่อยกระบี่นับหมื่นเข้าโจมตีอย่างต่อเนื่อง สร้างแสนยานุภาพอันร้ายกาจ!

นอกจากการร่วมมืออย่างเป็นระบบของกองทัพแล้ว ยังมีการประสานการโจมตีภาคพื้นดินและทางอากาศ การผสานกันของเวทมนตร์และยุทธวิธีต่างๆ ทหาร 10 นายในขั้นห้าธาตุร่วมมือกัน สามารถสังหารผู้ฝึกวิชาเทวะขั้นหกทิศได้อย่างง่ายดาย

สํานักทั้งหลายในโลกหล้าไม่มีกําลังที่จะสู้กลับเมื่อพวกสํานักเหล่านั้นประสบกับการล้อมปราบของราชสํานัก ด้วยยุทธวิธีของกองทัพ ก็มีสํานักจํานวนมากที่ถูกทําลายล้างจนราพณาสูรในประวัติศาสตร์การรบพุ่งขยายดินแดนของจักรวรรดินิรันดร์!

บนเรือเหาะ ฉินมู่ตั้งสติสงบใจ และขณะที่เขากําลังจะเรียกใช้กล่องกระบี่ แต่พลันนึกขึ้นมาได้ว่ากระบี่บินในกล่องกระบี่ของเขาทั้งหมดถูกทําลายในวังทองโหรวหลันแล้ว ดังนั้นจึงได้แต่โยนกล่องกระบี่ทิ้งไป

“ใช้กระบี่ผู้พิทักษ์เยาว์!” ฉินมู่หลบหลีกกระบี่บินที่ทิ่มแทงเข้ามาและส่งปราณชีวิตเข้าไปในถุงเต๋าตี้ เสียงฮึ่มฮัมสดใสพลันดังกังวาน ด้วยการกวาดเหวี่ยงอย่างแผ่วเบาของท่วงท่ากระบี่สะบัด กระบี่บินที่พุ่งเข้ามาก็ถูกผ่าเป็น 2 เสี่ยงทั้งหมด ใบกระบี่ร่วงลงบนพื้นเรือเหลือแต่ด้าม

ด้วยวิชากระบี่อันเชี่ยวชาญของเขาผนวกกับความคมกล้าของกระบี่ผู้พิทักษ์เยาว์ กล่าวได้ว่าเขาไม่เสียเปรียบเลยแม้แต่น้อย

ฉินมู่ระบายลมหายใจโล่งอกและพลันเห็นถุงผ้าของทหารที่อยู่บนนกปีกทองเปิดอ้าออกเสียงหวี่ๆ พลันดังออกมาพร้อมกับแมลงสีทองจํานวนนับไม่ถ้วนพรั่งพรูออกจากถุงผ้า

“นี่มันกองทัพแมลง!”

ผู้โดยสารคนอื่นๆ บนเรือพลันมีสีหน้าแปรเปลี่ยนอย่างรุนแรง และร้องออกมา “กองทัพแมลงของปราสาท 3 มหัศจรรย์!”

ทหารหน่วยรบเร็วจํานวนนั้นชี้มือออกไป และฝูงแมลงจํานวนเหลือประมาณดังกล่าวก็รวมตัวกันแล้วพวยพุ่งเข้าใส่เรือบินราวกับมังกรพิษ กัดทึ้งและมุดชอนไชเข้าไปในทุกผู้คนที่มันเห็น ไม่ไกล

จากฉินมู่มีพ่อค้าพุงใหญ่คนหนึ่งที่วรยุทธ์มิได้ตํ่าต้อย แต่เขากลับถูกแมลงแทรกซอนเข้าไปในดวงตา จมูก ปาก และใบหูของเขา ในชั่วพริบตาถัดมา ทั้งร่างของพ่อค้าอ้วนผู้นี้ก็เหี่ยวแฟบเหมือนลูกโป่งที่ถูกปล่อยลม เหลือแต่ผืนหนังกลวงเปล่าลงไปกองกับดาดฟ้าเรือ

ใต้ผืนหนังมนุษย์นั้นแมลงจํานวนนับไม่ถ้วนคืบคลานขยุบขยับออกมาจากรูตา หู ปาก จมูกของเขาแล้วโบยบินต่อไป

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version