Skip to content

Tales of Herding Gods 176

ตอนที่ 176 อธิการบดีกู่

หลิงอวี้ชู้มีสีหน้าหวั่นไหวเมื่อฉินมู่กล่าวจี้ใจดําความกังวลของเขา กู่ลี่หนวนเป็นอาจารย์ของรัชทายาทสมัยยังเยาว์ รัชทายาทนั้นอายุมากกว่าหลิงอวี้ชู้และครอบครองตําแหน่งมกุฎราชกุมาร หากมีคํากล่าวว่าความแตกต่างระหว่างสมาชิกราชวงศ์กับสามัญชนนั้นเหมือนฟ้ากับเหว ก็สามารถกล่าวได้ว่าความแตกต่างระหว่างองค์ชายรัชทายาทและองค์ชายจักรวรรดิก็ต่างกันราวฟ้ากับเหวเช่นกัน

กู่ลี่หนวนย่อมต้องไม่ไว้หน้าเขาอย่างแน่นอนแต่กลับกันเขาจะต้องจงใจหาเรื่องหลิงอวี้ชู้เป็นแน่

นี่คือสิ่งที่เขาแน่ใจในตอนนี้

“เช่นนั้นข้าคงไม่เข้าไปขัดขวางเรื่องของเจ้าและกู่ลี่หนวน” หลิงอวี้ชู้ตัดสินใจและกล่าว “แต่เจ้าต้องระวังตัว วิธีจัดการเรื่องราวของกู่ลี่หนวนนั้นไม่เหมือนอธิการบดีคนก่อน เขาไม่มีจิตวิญญาณอันโอ่อ่าที่จะรู้จักคํานึงถึงการพัฒนาการศึกษาอย่างยั่งยืน”

ฉินมู่พยักหน้าแล้วกล่าว “ไม่ต้องห่วง อย่างมากกู่ลี่หนวนก็คงหาเรื่องข้าบ้าง แต่คงไม่กล้าทําอะไรมากกว่านั้น”

หลิงอวี้ชู้สีหน้าหน้าพิกล ฉินมู่ดูจะคุยโวมากไปหน่อย เขาเอาความมั่นใจนี้มาจากไหน

หรือว่าเขากับน้องหญิงเจ็ดจะ…

ความคิดไม่ดีพลันผุดขึ้นมาในหัวหลิงอวี้ชู้ หากว่าฉินมู่กลายเป็นบุตรเขยของจักรพรรดิ เขาย่อมไม่ต้องกริ่งเกรงกู่ลี่หนวน

หลิงอวี้ชู้เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะกล่าว “ข้าวางแผนว่าจะออกจากมหาวิทยาลัยจักรวรรดิและตรงไปยังชายแดนเพื่อนํากองพันของข้า เพราะข้าเป็นแม่ทัพทหารม้าลาดตระเวนและมีตําแหน่งนายทหารบนตัว ยิ่งไปกว่านั้นอายุของข้าถึงวัยที่ควรนําทัพออกรบได้แล้ว แต่ว่าข้ายังคงกังวลเกี่ยวกับน้องหญิงเจ็ด…”

ฉินมู่กล่าวเป็นมั่นเหมาะ “องค์ชายรองไม่ต้องห่วง มีข้าอยู่นี่!”

หางตาหลิงอวี้ชู้กระตุกเมื่อเขาคิดในใจ “มีเจ้าอยู่นั่นแหละ ข้าถึงห่วงน้อง”

ฉินมู่สนทนากับ 2 พี่น้องนี้อีกครู่หนึ่ง ก่อนลุกขึ้นกล่าวลา “ข้าเพิ่งกลับมาจากการเดินทางไกล และยังไม่ได้วางสัมภาระเลย ข้าคงต้องกลับไปที่บัณฑิตนิเวศน์ก่อน”

หลิงอวี้ชู้ส่งเขาออกไปจากอุทยานราชวงศ์และนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวกับหลิงอวี้จิว “ดุษฎีบัณฑิตฉินมีความคิดอ่านที่ไม่คล้ายกับเด็กรุ่นเยาว์ เขาอ่านสถานการณ์ได้กระจ่างชัดและจะต้องเป็นผู้เปี่ยมความสามารถในอนาคต คําพูดเมื่อครู่ของเขาแทงทะลุถึงก้นบึ้งหัวใจของข้า”

หลิงอวี้จิวหัวเราะแล้วกล่าว “ใครว่าเขาเป็นผู้ใหญ่ เขาไม่รู้เรื่องอะไรเลยสักนิด ถึงกับว่ามาว่าข้าอ้วนตุ้ยนุ้ย ปากเขาไม่รู้จักพูดคํารื่นหู”

หลิงอวี้ชู้ส่ายหน้าแล้วกล่าว “ข้าจะเขียนจดหมายบอกกล่าวท่านพ่อ แล้วออกจากมหาวิทยาลัยจักรวรรดิ ข้ามิอาจเป็นบัณฑิตได้อีกต่อไป ตอนนี้เมื่อกู่ลี่หนวนกลายเป็นคณบดี เขาเองก็คงมองเจ้าด้วยสายตาระคาย หากว่าเจ้าไม่อาจทนอยู่ในมหาวิทยาลัยจักรวรรดิได้อีกต่อไปก็สามารถตามข้าไปที่ชายแดนได้”

หลิงอวี้จิวผงกศีรษะ “พี่รองไม่ต้องห่วง หากว่าข้ามิอาจอยู่ที่นี่ได้อีกต่อไป ข้าจะตามพี่ไปที่ชายแดนแน่ๆ แต่ว่าตอนนี้ข้ายังอยากติดตามคณบดีป้าซานเพื่อฝึกปรือวิทยายุทธ์ก่อน”

หลิงอวี้จิวมองนางและรู้ว่าเหตุผลที่แท้จริงของนางคืออะไร แต่เขาก็ไม่อาจพูดอะไรได้ จึงได้แต่ส่ายหน้า

ฉินมู่กลับไปที่บัณฑิตนิเวศน์และมีกิเลนมังกรตัวใหญ่เดินตามหลัง บนทางขากลับนั้น บัณฑิตทั้งหลายแห่งบัณฑิตนิเวศน์ต่างก็จ้องมองเขาด้วยสายตาอิจฉา

อวิ๋นฉื้อก้าวเข้ามาหาด้วยรอยยิ้มแล้วกล่าว “พี่สาวจิ้งจอก ข้าหาเงินมาได้เพียงพอแล้ว ข้าจะสามารถไถ่จีวรกลับคืนมาได้หรือไม่”

ฮู่หลิงเอ๋อรับถุงเหรียญมาแล้วกดดูจํานวนคร่าวๆ ก่อนจะผงกหัว “รอสักครู่ ข้าจะไปหยิบมาให้”

อวิ๋นฉื้อขอบคุณแล้วขอบคุณอีก

ฮู่หลิงเอ๋อกลับไปที่เรือนเพื่อนําจีวรของเขากลับมาพลางร้องตะโกน “พวกที่ติดค้างเงินอยู่ รีบนําเงินพวกเจ้ามาไถ่สัญญาหนี้สินไป”

ไม่นานนัก บัณฑิตหลายคนก็เข้ามาพร้อมกับสีหน้าคับแค้นใจเพื่อไถสัญญาหนี้ของตน ฮู่หลิงเอ๋อพอใจเป็นอย่างยิ่งแล้วกล่าว “ครั้งหน้าเมื่อพวกเจ้าถูกคุณชายอัดจนน่วม ข้าจะลดค่าไถ่ทรัพย์สินให้พวกเจ้า 2 ส่วน”

บัณฑิตผู้หนึ่งส่ายหน้า “ดุษฎีบัณฑิตฉินเป็นถึงขุนนางชั้นหก ใครจะกล้าท้าทายเขา”

ฮู่หลิงเอ๋ออึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนที่จะหันกลับไปกล่าวแก่ฉินมู่ “คุณชาย พวกเราสูญเสียแหล่งรายได้แล้ว ทรัพย์สินของพวกเราทั้งหมดจะถูกกินไปจนเกลี้ยง พวกเราเลี้ยงเจ้าตัวใหญ่นี้ไม่ได้แล้ว!”

กิเลนมังกรย่นคอแล้วพึมพํา “ยาเซียนเพลิงฉานวันละลิตรก็ได้เหมือนกันขอแค่มีอะไรให้กิน…”

ฉินมู่ปลอบใจ “ไม่ต้องห่วง ข้าเลี้ยงเข้าได้แน่ จริงสิ เจ้ามีนํ้าลายไหม ให้ข้าสักขวดดูว่าข้าจะเอาไปขายแลกเงินได้ไหม”

ฮู่หลิงเอ๋อนําขวดหยกออกมาแล้วรวบรวมนํ้าลายมังกร 1 ขวด ฉินมู่เก็บขวดหยกนั้นไว้อย่างดี แล้วบอกพวกเขาให้รออยู่ที่บ้าน ส่วนเขาจะไปที่โถงบรมเยียวยา หมอหลวงหลายคนที่นั่นซึ่งกําลังศึกษาค้นคว้าตํารับยาอยู่ในโถง ล้วนแต่ปีติยินดีเมื่อเห็นฉินมู่มา “หมอเทวดาน้อยกลับมาแล้ว! วันนี้ท่านจะหลอมปรุงยาวิญญาณใด หากว่ามันเป็นยาสลบหรือยาพิษ ช่วยเตือนพวกเราก่อนด้วยนะ!”

ฉินมู่คารวะทักทายพวกเขาแล้วกล่าว “ข้ามาหาพวกท่านหมอหลวงที่นี่เพื่อทดสอบยา”

หลังจากที่เขากล่าว เขาก็นําขวดหยกเล็กๆ ออกมา

เมื่อหมอหลวงทั้งหลายเห็นขวดหยกเล็กนี้ สีหน้าก็แปรเปลี่ยน บิดเบี้ยว หมอหลวงอวี้ถามด้วยเสียงสั่นสะท้าน “ข้าจําขวดหยกนี้ได้ หรือว่านี่คือยาสลบอื่นอีก?”

“ไม่ใช่หรอก นี่คือยารักษาบาดแผล”

เมื่อฉินมู่กล่าว หมอหลวงหยูก็ดึงมีดเล่มเล็กออกมา ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนเฉือนกรีดแขนของหมอหลวงติ่ง ทําให้เลือดสดๆ ไหลออกมาจากแผล

หมอหลวงติ่งโลดเต้นด้วยความเดือดดาลและกําลังจะโวยวาย แต่ฉินมู่รีบก้าวเข้าไป เขาเปิดขวดหยกแล้วทานํ้าลายมังกรจํานวนเล็กน้อยลงไปบนบาดแผล และพลันเห็นแผลสมานตัวเข้าหากันอย่างรวดเร็ว กลายเป็นผิวหนังปกติอันไร้บาดแผลและร่องรอยภายในไม่กี่อึดใจ

หมอหลวงหลายคนนั้นทึ่งตะลึงอย่างแรง และพวกเขารีบเข้ามามุงดู หมอหลวงอวี้ถาม “ยารักษานี้สามารถเยียวยาบาดแผลสาหัสได้ถึงระดับไหนกัน มันสามารถเชื่อมต่อแขนขาขาดได้หรือไม่”

ฉินมู่พยักหน้า “สามารถทําได้ มีคนผู้หนึ่งถูกตัดครึ่งตัวที่สะเอว และข้าได้ใช้ยารักษานี้เชื่อมต่อร่างของเขา ทําให้เขากลับเป็นปกติ แต่ทว่ายานี้เป็นตัวสนับสนุน เพราะต้องเชื่อมต่อเส้นเอ็นและเส้นประสาทเข้าด้วยกันด้วยมือตน อันเป็นการทดสอบวัดฝีมือหัตถการของหมออย่างยิ่ง”

หมอหลวงติ่งเหลือบมองไปข้างๆ และเห็นหมอหลวงหยูเงื้อมีดอีกครา เขาจึงรีบตะโกน “ถ้าเจ้ากล้าสับข้า ข้าจะวางยาทั้งตระกูลเจ้า!”

หมอหลวงหยูมิอาจทําได้เขาจึงออกไปจากโถง สักพักหนึ่งเขาก็จับบัณฑิตคนหนึ่งเข้ามา หมอหลวงทั้งหมดเห็นแล้วก็ส่ายหัว หมอหลวงอวี้กระทืบเท้าด้วยความเดือดดาล “เฒ่าหยู เจ้าบ้าไป

แล้วหรืออย่างไร ต่อให้เจ้าอยากทดสอบยา แต่จะไปซี้ซั้วสับแขนขาเขาไม่ได้นะ!”

บัณฑิตคนนั้นได้ยินก็หลั่งเหงื่อเย็นเยียบแล้วรีบวิ่งหนีไปทันที หมอหลวงหยูหมายจะตามไปจับตัวเขากลับมา แต่หมอหลวงคนอื่นๆ รีบดึงเขาไว้ “ไม่ได้นะ เจ้าอย่าทําเด็ดขาด บัณฑิตทุกคนเป็นขุนนางระดับแปดนะ ถ้าเจ้าสับแขนขาเขาต้องมีเรื่องขึ้นโรงขึ้นศาลแน่ๆ เอาอย่างนี้สิ นักพรตหลิงอวิ๋นมีนกกะเรียนตัวหนึ่งที่ไปต่อสู้กับวัวเขียวของคณบดีป้าซานเมื่อหลายวันก่อนและขาของนางก็หักจากการต่อสู้ เจ้าสามารถไปนํานกกระเรียนนั่นมาที่นี่ เพื่อสับขานางออกแล้วต่อเข้าไปใหม่!”

หมอหลวงหยูออกไปอีกครั้ง และนํานกกระเรียนกลับมาเมื่อผ่านไปสักพัก หมอหลวงฉูจับจะงอยปากของนกกระเรียนไว้แน่น ทําให้นกกระเรียนหวาดผวาจนขนชูชันและไม่อาจดิ้นรนหลุดไปได้ หมอหลวงหยูเอามีดสับขานกกระเรียนที่หักออกจากตัว

หมอหลวงที่เหลือช่วยกันทําความสะอาดกระดูกที่แตกหักและรอให้ฉินมู่เยียวยารักษา

สักครู่หนึ่ง นักพรตหลิงอวิ๋นก็บุกเข้ามาและกําลังจะโวยวายนั่นเอง แต่เขาเห็นฉินมู่กําลังเชื่อมต่อกระดูก ตามด้วยเชื่อมต่อกล้ามเนื้อและเส้นประสาท ทําความสะอาดไขกระดูก

นักพรตหลิงอวิ๋นไม่กล้าปริปาก และรอจนกระทั่งฉินมู่เชื่อมต่อขานกกระเรียนสําเร็จ ถึงตอนนั้นหมอหลวงทั้งหลายถึงค่อยปล่อยนกกระเรียนให้เป็นอิสระ

นกกระเรียนนั้นลุกขึ้นยืนและแกว่งขาข้างนั้นไปมาด้วยสีหน้าแตกตื่น นางกล่าวขอบคุณฉินมู่อย่างซึ้งใจด้วยเสียงดังกังวานของเด็กหญิงตัวเล็กๆ

ฉินมู่เขียนใบสั่งยาแล้วยื่นให้นักพรตหลิงอวิ๋น “ต้นสมุนไพรตามใบสั่งยานี้แล้วต้มนํ้าอุ่นให้นางแช่ขาที่บาดเจ็บ มันจะช่วยกระตุ้นเส้นประสาทและหลอดเลือด ชําระล้างอาการบาดเจ็บที่ยังตกค้าง”

นักพรตหลิงอวิ๋นเห็นนกกระเรียนของเขาหายจากขาหักและอดไม่ได้ที่จะรู้สึกประหลาดใจแกมดีใจ เขารีบรับใบสั่งยานั้นมาและกล่าวขอบคุณพร้อมรอยยิ้ม “เจ้าเคยทุบตีข้าต่อหน้าองค์จักรพรรดิ และข้าก็ยังคงคิดแค้นใจอยู่ก่อนหน้านี้ แต่บัดนี้ข้ามีแต่ความสํานึกตื้นตัน”

ฉินมู่ยิ้ม “ไม่ต่อยตีก็คงไม่รู้จักกัน”

นักพรตหลิงอวิ๋นฟังแล้วรู้สึกว่าฉินมู่ใช้สํานวนนี้ผิดที่ผิดทาง แต่เขาก็ไม่จู้จี้กับเรื่องนี้ เขารีบเรียกนกกระเรียนของเขาแล้วพากันไปคลังทรัพย์สินเพื่อไปเบิกสมุนไพรตามใบสั่ง

ฉินมู่แย้มยิ้ม “หมอหลวงทั้งหลาย ยารักษานี้หนึ่งขวดถ้าขายจะมีมูลค่าเท่าไหร่หรือ ช่วงนี้ข้ากําลังร้อนเงินน่ะ”

หมอหลวงเหล่านั้นทั้งประหลาดใจแกมดีใจ

หมอหลวงอวี้กล่าว “หมอเทวดาน้อยจะขายมันอย่างนั้นหรือ มันค่อนข้างมีค่าอยู่นะ ยารักษาชนิดนี้ทรงคุณค่ายิ่งกว่าสมบัติธรรมชาติใดๆ สําหรับทหารในสนามรบ! ข้าคะเนว่ามันน่าจะมีมูลค่าหมื่นเหรียญสมบูรณ์พูนสุข!”

ฉินมู่ตกตะลึงแล้วกล่าว “หาเงินแบบนี้ได้เร็วกว่าฝานอวิ๋นเสี้ยวออกปล้นชิงผู้คนอีกหรือเนี่ย”

“อะไรนะ” หมอหลวงเหล่านั้นตามความหมายของคําที่เขาอุทานออกมาไม่ทัน

“ไม่มีอะไรหรอก”

ฉินมู่แย้มยิ้ม “ข้าสามารถหลอมปรุงยานี้ได้วันละ 1 ขวดและจะขายให้แก่โถงบรมเยียวยาในราคาหนึ่งหมื่นเหรียญทอง พวกท่านว่าอย่างไร”

สายตาของหมอเหล่าเหล่านั้นลุกวาบ และพวกเขามองกันไปมา หมอหลวงอวี้กล่าว “นั่นดีที่สุดเลย”

ฉินมู่พึงพอใจและออกไปจากโถง หัวขาวๆ ของหมอหลวงเหล่านั้นเข้ามาสุมด้วยกันแล้วหมอหลวงฉูก็กล่าว “พวกเรารวยแล้ว!”

หมอหลวงทั้งหมดพยักหน้า ไม่อาจข่มระงับความตื่นตื่น “เฒ่าอวี้นี่ฉลาดจริงๆ ยารักษาหนึ่งขวดเล็กนี้ไม่ได้มีมูลค่าแค่หมื่นเหรียญทอง! แค่ขายต่อเราก็จะทําราคาได้ถึง 2 เท่า!”

ฉินมู่เดินออกจากโถงบรมเยียวยา และกลับไปที่บัณฑิตนิเวศน์ และทันใดนั้นก็มีเสียงกล่าวมาจากข้างหลังเขา “โจรหัวล้านน้อย ไม้เท้าขักขระเจ้าไปไหนซะล่ะ”

ฉินมู่ยั้งเท้าแล้วหันกลับไปมองผู้เฒ่าในชุดม่วงที่อยู่ข้างหลังเขา เขาโค้งคารวะด้วยรอยยิ้มเกลื่อนหน้า “นักเรียนผู้นี้น้อมพบอธิการบดี”

ผู้เฒ่าในชุดม่วงคือกู่ลี่หนวนและตราขุนนางเก้าตราก็ไม่ปรากฏบนเสื้อยาวม่วงของเขา ดูเหมือนว่าเขาจะถอดชุดขุนนางชั้นหนึ่งออกและเปลี่ยนเป็นชุดขุนนางชั้นสามแทน

กู่ลี่หนวนกระตุกยิ้มที่มุมปากแล้วเดินตรงไปหาเขาขณะที่กล่าวอย่างไม่เร่งรีบ “เมื่อเจ้าต้มตุ๋นกระบี่ผู้พิทักษ์เยาว์ของข้าไป เจ้าคิดบ้างไหมว่าจะมีวันนี้ที่เจ้าตกอยู่ในเงื้อมมือของข้า”

ฉินมู่ส่ายหน้าแล้วกล่าว “อธิการบดีกล่าวเช่นนี้เพื่ออะไรหรือ”

กู่ลี่หนวนยิ้มผยองแล้วแบมือออกไปข้างหน้า “คืนมันมาซะ!”

ฉินมู่ส่ายหน้าอีกครั้ง “ข้าไม่เคยคืนของที่ข้าต้มตุ๋นมาได้”

กู่ลี่หนวนถลึงตาจ้องเขาอย่างดุร้าย แต่ฉินมู่ไม่หวั่นเลยสักนิด “ตอนนี้ข้าเป็นขุนนางระดับหกและดุษฎีบัณฑิตที่ได้รับการแต่งตั้งโดยจักรพรรดิ เป็นผู้รักษาเยียวยาพระพันปีหลวง หากว่าเจ้าแตะต้องข้า จักรพรรดิจะประหารเจ้าเจ็ดชั่วโคตร”

ตูม!

ปราณมารรอบกายกู่ลี่หนวนพลันพลุ่งพล่านและสร้างเงารูปมารเทวะสูงกว่าพันคืบข้างหลังเขา อันส่งรังสีอาฆาตมาดร้าย เงารูปมารเทวะนั้นทําให้อากาศโดยรอบหนืดแข็ง และเหมือนจะม้วนกลืนห้วงมิติรอบๆ ด้วยเช่นกัน ทําให้มารเทวะนี้ดูบิดเบี้ยวราวกับถูกปิดบังด้วยพยับแดด ระหว่างที่มันจับจ้องฉินมู่ด้วยสายตาจะกินเลือดกินเนื้อ

ฉินมู่ยิ้มแล้วถาม “อธิการบดียังมีเรื่องอื่นอีกไหม”

กู่ลี่หนวนกล่าวด้วยนํ้าเสียงเยียบเย็น “หากข้าหมายจะฆ่าเจ้า ข้าไม่จําเป็นต้องลงมือเองหรอก”

“เจ้าก็ไม่กล้าทําเช่นนั้นแน่”

ไม่ทันที่ฉินมู่จะกล่าวอะไร ก็มีเสียงพูดมาจากข้างหลังกู่ลี่หนวน “หากเจ้ากล้าแตะต้องศิษย์น้องของข้า ไม่ต้องรอให้จักพรรดิประหารเจ้าเจ็ดชั่วโคตร ข้านี่แหละจะฆ่าล้างครัวเจ้าเจ็ดชั่วโคตร”

กู่ลี่หนวนแข็งทื่อไปครู่ เมื่อเขารู้สึกราวกับว่ามีมีดคมกริบอันมิอาจทําลายได้มาจ่ออยู่ที่คอของเขา เขาหัวเราะเบาๆ แล้วกล่าว “คณบดีป้าซาน? เจ้าคิดจะออกหน้าแทนโจรหัวล้านน้อยนี่น่ะหรือ”

คณบดีป้าซานยืนอยู่ข้างหลังเขาด้วยอกเปิดเปลือยและมีด 2 เล่มที่สั่นสะเทือนอย่างไม่หยุดนิ่งข้างหลังเขา เขากล่าวด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “เฒ่ากู่ เจ้าไม่โผล่หัวมาตั้ง 200 ปี เต๋า วิชา และทักษะเทวะของเจ้าล้วนแต่ล้าหลังขึ้นสนิม เจ้าอยากให้ข้าชี้แนะหน่อยไหมล่ะ”

พลันกู่ลี่หนวนหัวเราะด้วยเสียงอันดัง และร่างของเขาก็หายวับ สลายเป็นปราณมาร เสียงของเขาดังมาจากที่ไกลๆ เย้ยหยัน “ชี้แนะข้า ? เว้นแต่ว่าดาบสวรรค์จะอยู่ที่นี่!”

ฉินมู่หันหลังกลับทันใดนั้นก็เห็นปราณมีดพุ่งกรีดฟ้าไล่ล่าปราณมารนั้น

“คณบดีป้าซานชื่นชอบการต่อสู้ และคงชอบใจที่ได้เหยื่อ ข้าคิดว่าเขาคงไล่ตามไปสู้กับกู่ลี่หนวน น่าเสียดายที่ข้าตามไปดูไม่ได้”

ฉินมู่ถอนหายใจแล้วกลับไปที่บัณฑิตนิเวศน์ เมื่อเขาเข้าไปในประตูนั่นเอง ก็ได้ยินเสียงของฮู่หลิงเอ๋อดังมา “คุณชาย พวกเรามีแขกมาเยี่ยมเยือน”

ฉินมู่ก้าวเข้าไปในเรือนและตกตะลึงอย่างช่วยไม่ได้เมื่อเห็นชายกลางคนผู้หนึ่งรออยู่ในบ้าน ยืนมือไพล่หลังเอาไว้

ราชครูสันตินิรันดร์

ราชครูสันตินิรันดร์หันกายกลับมา และสายตาของเขาจับจ้องที่ฉินมู่ “จ้าวลัทธิศักดิ์สิทธิ์แห่งลัทธินักบุญสวรรค์ ใครล่ะจะคาดคิดว่าที่แท้เขาก็คือดุษฎีบัณฑิตแห่งมหาวิทยาลัยจักรวรรดิเรา น่าสนใจจริงๆ”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version