Skip to content

Tales of Herding Gods 178

ตอนที่ 178 เก้าเปลี่ยนแปลงสามสภาวะ

แม้ว่าฉินมู่จะวิ่งตะบึงด้วยความเร็วดุจติดปีก สมองของเขาก็ทํางานอย่างไม่หยุดหย่อน ประมวลผลเป็นอย่างหนัก แม้ว่าเมื่อครู่ที่เขาพบกับราชครูสันตินิรันดร์ทั้งคู่จะมิได้แลกเปลี่ยนบทสนทนาอะไรกันมากมาย แต่แรงกดดันนั้นก็ทําให้สมองของเขาพลุ่งพล่านเป็นพิเศษ

ได้พบกับยอดคนพรสวรรค์ไร้เทียมทานย่อมกระตุ้นให้ตนตื่นเต้นขึ้นมา สร้างแรงกดดันต่อตนและผลักดันตนให้ก้าวไปข้างหน้า

แม้ว่าจะเป็นแค่การสนทนากับราชครูสันตินิรันดร์ สําหรับฉินมู่แล้วกลับเป็นเหตุการณ์สําคัญเป็นอย่างยิ่ง เพียงแค่ได้ยืนหยัดอยู่ตรงหน้าตัวตนในตํานาน เขาก็ต้องใช้ความกล้าหาญอย่างมหาศาล และในขณะที่เขาต้องสนทนากับตัวตนระดับนั้น เขาก็ต้องรีดเร้นสติปัญญาทั้งหมดของตนมาใช้งานทุกหยาดหยด

ด้วยการแลกเปลี่ยนความคิดกับบุคคลผู้ชาญฉลาด ก็ย่อมเติมปัญญาญาณให้กับตนเอง และหากเอาแต่คลุกคลีกับคนสามัญธรรมดา เขาก็ย่อมกลับกลายเป็นสามัญธรรมดาเช่นกัน

ฉินมู่ฉวยใช้โอกาสนี้ที่เขาได้แลกเปลี่ยนความคิดกับราชครู เพื่อให้ปัญญาญาณของเขาอยู่ในสภาวะที่ถูกกระตุ้นเร้าถึงขีดสุด และใช้มันมาเติมเต็มวิชาร้อยรัดให้สมบูรณ์

ทันใดนั้น ฝีเท้าเขาก็เนิ่นช้าลง และปราณชีวิตของเขาก็โคจรตลอดทั่วแนวทางโคจรของวิชากายาจ้าวแดนดินที่ปรับปรุงใหม่ วิชากายาจ้าวแดนดินในขณะนี้ของเขาคือวิชาร้อยรัดที่เขาปรับแต่งให้สมบูรณ์แบบ ซึ่งมีจุดเด่นคือสามารถร้อยรัดหลอมรวมทุกทักษะวิชาในคัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิตได้เป็นหนึ่งเดียว

วิชากายาจ้าวแดนดินสามอมตะนั้นแต่เดิมไม่มีคุณสมบัติธาตุ และใช้เพียงเพื่อขับเคลื่อนวิชาฝึกปรือและวิชาทักษะอื่นๆ พลานุภาพของมันมิอาจเทียบเท่ากับวิชาฝึกปรืออื่นที่มาพร้อมกับทักษะเทวะเฉพาะวิชาฝึกปรือนั้นๆ

ยกตัวอย่างเช่น ฟ้าคํารามแปดจู่โจมต้องอาศัยพระสูตรมหายานยูไลเพื่อให้มันสามารถเปล่งอานุภาพถึงขีดสุดได้ เคล็ดลับย้ายฝนก็ต้องอาศัยวิชาเต่าดําควบคุมนํ้ามาขับเคลื่อนมัน เคล็ดลับฟ้าพิโรธเพลิงโหมก็ต้องใช้วิชาหงส์เพลิงควบคุมไฟมาช่วงใช้มัน พลังสายฟ้าและเพลิงไฟในเวทมนตร์นั้นจึงจะปลดปล่อย ออกมาได้อย่างเต็มพิกัด

แต่ในทางกลับกัน วิชากายาจ้าวแดนดินสามอมตะเป็นวิชาฝึกปรือที่ไม่มีเวทมนตร์และทักษะเทวะควบคู่มาด้วย

ตรึกตรองสรรค์สร้างวิชาร้อยรัดในครั้งนี้ ฉินมู่ได้ใช้วิชากายาจ้าวแดนดินสามอมตะเป็นรากฐานเพื่อใช้ในการตรึกตรองคําสอนของคนตัดไม้บนก้อนหิน เขากระตุ้นทุกรายละเอียดของวิชากายาจ้าวแดนดินสามอมตะเพื่อให้มันสามารถปลดปล่อยพลานุภาพของสรรพวิชา!

วิชากายาจ้าวแดนดินสามอมตะไม่มีคุณสมบัติธาตุ มันจึงไม่สามารถใช้ในการขัดเกลาบ่มเพาะร่างกายได้ แถมมันยังไม่มีทักษะเทวะควบคู่มาด้วย มันจึงไม่อาจกลายเป็นการโจมตีอันร้ายกาจรุนแรงได้

แต่ด้วยการตรึกตรองสรรค์สร้างวิชาร้อยรัดในคราวนี้ ฉินมู่ก็ได้แก้ไขปัญหาใหญ่ดังกล่าวได้สําเร็จ

และบัดนี้วิชากายาจ้าวแดนดินสามอมตะก็มีพลังอํานาจอันรอบด้านกว่าเดิม ด้วยวิชากายาจ้าวแดนดินสามอมตะที่เขาปรับปรุงขึ้นใหม่ เวทมนตร์ เพลงกระบี่ วิชาบู๊ที่เขาใช้ออกมาก็จะไม่ด้อยกําลังไปกว่าวิชาฝึกปรือพื้นฐานเดิมของทักษะเทวะเหล่านั้น!

นี่คือวิชาร้อยรัดแห่งคัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิตอันเป็นที่กล่าวขาน

จ้าวลัทธินักบุญสวรรค์แต่ละคนแต่งวิชาร้อยรัดเป็นของตนเอง และจิตเจตนาของปรมาจารย์เยาว์นั้นก็หมายให้ฉินมู่ฝึกปรือทั้งวิชาร้อยรัดและวิชากายาจ้าวแดนดินสามอมตะไปพร้อมๆ กันแม้ว่านี่จะทําให้การฝึกยุทธ์ของเขาล่าช้า แต่เขาก็จะได้รับจุดเด่นข้อดีจาก 2 วิชา

แต่ปรมาจารย์มิได้คาดคิดว่าฉินมู่จะต่อเติมเสริมสร้างวิชากายาจ้าวแดนดินสามอมตะ แทนที่จะสร้างวิชาร้อยรัดขึ้นมาใหม่จากบนรากฐานของคัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิตล้วนๆ

ฉินมู่ก็ไม่รู้ว่านี่จะดีหรือแย่ หรือว่ามันเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องหรือไม่ แต่ว่าตั้งแต่เขายังเล็กๆ เขาก็ได้ฝึกปรือวิชากายาจ้าวแดนดินสามอมตะมาโดยตลอดและคุ้นเคยกับวิชาฝึกปรือนี้มากที่สุด ดังนั้นเขาจึงได้เปลี่ยนวิชากายาจ้าวแดนดินสามอมตะให้วิวัฒนาการเป็นวิชาร้อยรัดโดยไม่ได้คิดมากมาย

ประเด็นที่สําคัญที่สุดคือเขาได้แก้จุดอ่อนของวิชากายาจ้าวแดนดินสามอมตะในด้านการขัดเกลาบ่มเพาะกายเนื้อ เวทมนตร์ และวิชาบู๊

เขาขับเคลื่อนวิชากายาจ้าวแดนดินสามอมตะ และบัดนี้วิชากายาจ้าวแดนดินสามอมตะได้หลอมรวมวิชาปริศนาเก้าเปลี่ยนแปลงสามสภาวะเข้าไปด้วย อันเป็นวิชาขัดเกลาบ่มเพาะร่างกายในคัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิต วิชานี้นับว่าเป็นสุดยอดวิชาขัดเกลาบ่มเพาะร่างกายของลัทธินักบุญศักดิ์สิทธิ์

ฉินมู่นํ้าลายไหลกับวิชาบ่มเพาะร่างกายของสํานักบู๊มาเนิ่นนานแต่เฒ่าหม่า คนแล่เนื้อ และเฒ่าเป๋มิได้สอนวิชาทํานองนี้ให้ ดังนั้นเขาจึงได้แต่เลือกเฟ้นมาจากคัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิต

เมื่อเขาขับเคลื่อนวิชานี้ ฉินมู่ก็พลันรู้สึกถึงความพิเศษพิสดารของกายาจ้าวแดนดินสามอมตะที่ยกเครื่องใหม่ ปราณชีวิตของเขาโคจรอย่างเร็วรี่และแทรกซึมเข้าไปในทุกอณูผิวหนัง กล้ามเนื้อ เส้นเอ็น เส้นขนและไขกระดูก

นอกจากขัดเกลาร่างกายแล้ว วิชากายาจ้าวแดนดินสามอมตะแบบใหม่นี้ยังช่วยขัดเกลาวิญญาณ และปราณของเขาได้อย่างวิเศษสุดจะพรรณนา

ฉินมู่เดินช้าลงและช้า จนกระทั่งหยุดยั้งการเคลื่อนที่ในที่สุด เขาค้นพบจุดขาดพร่องในวิชาของตนลึกถึงรายละเอียดและเริ่มต้นซ่อมแซมปรับปรุงมัน

โครงสร้างพื้นฐานของวิชาร้อยรัดนั้นครบสมบูรณ์แล้ว ที่เหลือก็มีแต่รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ

เขานั้นเคยมีจุดอ่อนในด้านการขัดเกลาบ่มเพาะกายเนื้อและวิญญาณ แต่บัดนี้เขารู้สึกราวกับว่าร่างกายคือผืนดินแห้งผากที่ดูดซับเอาความชื้นและสารอาหารจากนํ้าฝนฉํ่าอย่างตะกละตะกราม

เก้าเปลี่ยนแปลงสามสภาวะของคัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิตนั้นคือการเปลี่ยนแปลงเก้าประการของปราณชีวิตและร่างเนื้อ และสามสภาวะของกระดูกในร่างกาย สภาวะแรกคือกระดูกเชื่อมต่อกัน โดยมิอาจแยกทําลาย สภาวะที่สองคือร่างแกร่งราวเหล็กไหล และสภาวะที่สามคือกายาดุจขุนเขา ตอนนี้เขาอยู่ที่การเปลี่ยนแปลงขั้นแรก และสภาวะที่หนึ่ง

ครึ่งวันผ่านไปโดยไม่รู้ตัว และฉินมู่ก็ค่อยเดินทางไปถึงเรือนบันทึกสวรรค์ ที่หน้าเรือนบันทึกสวรรค์นั้น บรรณารักษ์ลับคนหนึ่งเดินผ่านมาโดยบังเอิญ และเหลือบมองเขาแวบ สีหน้าเขาพลัน

แปรเปลี่ยนและร้องตะโกนมา “ดุษฎีบัณฑิตฉิน เจ้าต้องรีบบํารุงฟื้นฟูร่างกายโดยด่วน มิเช่นนั้นเจ้าคงอยู่ได้อีกไม่นาน!”

ฉินมู่งงงวยและไม่รู้ว่าเขาหมายถึงอะไร แต่ทันใดนั้นก็มีลมโชยมาวูบทําให้เขารู้สึกโงนเงนแล้วล้มลงไป

“แย่ล่ะ!”

ฉินมู่ตกตะลึงและรีบยกมือของตนขึ้นมาดู เขาเห็นมืออันผอมซูบ เขาแตะใบหน้าของตนและพบว่าผิวหนังของเขาบางเฉียบหุ้มกระดูกแก้ม

เสื้อผ้าที่ตอนแรกยังพอดีตัว กลับหลวมโพรก ตอนนี้เองเขาถึงพบว่าตนเองกลับกลายเป็นผอมซูบหนังหุ้มกระดูกภายในชั่วระยะเพียง 4 ชั่วโมง ราวกับมนุษย์ไม้ขีด ไม่เพียงเท่านั้น ร่างเนื้อเขายังอ่อนระโหยจนถึงขีดสุด

และที่ยิ่งน่าตระหนก คือเมื่อเขาขับเคลื่อนโคจรกายาจ้าวแดนดินสามอมตะ ความอ่อนระโหยนี้ก็ยิ่งทับทวี!

เมื่อพลังงานในร่างเนื้อของเขาแห้งเหือดไปโดยสิ้นเชิง เมื่อนั้นเขาก็คงลงหลุมได้

เขาเพียงแต่เพ่งสมาธิจดจ่ออยู่กับการแต่งแต้มวิชากายาจ้าว แดนดินสามอมตะให้สมบูรณ์แบบ และฝึกปรือวิชาขัดเกลาร่างกาย และวิญญาณ แต่ทว่าเขาลืมดูร่างเนื้อของตนเองและเพิ่งมาพบเอาป่านนี้ตอนที่เรี่ยวแรงเขาริบหรี่เต็มทน

“วิชากายาจ้าวแดนดินสามอมตะที่ยกเครื่องใหม่นี้มีภัยซ่อนเร้นที่น่ากลัวจริงๆ ความเร็วในการฝึกปรือของมันเร็วมากเกินไป และข้าก็ยังลืมไปอีกว่าวิชาบ่มเพาะร่างกายจําเป็นต้องเผาผลาญพลังงานในร่างตน เมื่อพลังงานในร่างข้าเหือดแห้งจนหมด มันก็จะสร้างความเสียหายอย่างรุนแรงต่อร่างเนื้อ!”

วรยุทธ์ของเขาอยู่ในขั้นห้าธาตุและมีพลังวัตรอันหนาแน่น หากแต่ว่าการโคจรวิชากายาจ้าวแดนดินใหม่เพื่อบ่มเพาะกายเนื้อและวิญญาณของตนกับเผาพลังวัตรอันเข้มข้นนี้ให้แห้งผากไปภายในระยะเวลาไม่ถึง 4 ชั่วโมง!

ฉินมู่ยับยั้งการโคจรกายาจ้าวแดนดินสามอมตะทันที และสงบความคิดจิตใจ จิตคิดของเขาแล่นพล่านอย่างหนักเพื่อขบคิดวิธีการหลอมปรุงยาที่เหมาะกับร่างกายเขาในขณะนี้ และเท้าก็วิ่งอย่างเร็วรี่กลับไปยังบัณฑิตนิเวศน์

ฉินมู่พุ่งเข้าไปในห้องของตนและคว้าเงินทองออกมา แล้ววิ่งกลับไปทางมหาวิทยาลัยจักรวรรดิอีกที ทิ้งให้จิ้งจอกน้อยและกิเลนมังกรสีหน้าประหลาดใจ

เขาซื้อสมุนไพรจากคลังทรัพย์สินและไม่มีเวลาพอที่จะรอกลับไปยังบัณฑิตนิเวศน์ เขาจึงหลอมปรุงยาไปด้วยระหว่างที่เดินทางกลับ เขาช่วงใช้วิชามืออันละลานตาของตนเพื่อหลอมปรุงยาที่ต้องการ และไม่ทันที่เขาจะกลับถึงบัณฑิตนิเวศน์ ยาวิญญาณก็ถูกหลอมปรุงออกมาสําเร็จ 1 หม้อ

เมื่อยาวิญญาณเหล่านั้นเสร็จสิ้น ก็มีเสียงพุทธองค์ล่องลอยมา ราวกับว่าในยาแต่ละเม็ดมีพุทธองค์กําลังสวดคาถาอยู่

ในจังหวะที่ยาวิญญาณปรุงสําเร็จ ฉินมู่ก็อ้าปากดูดดึงยาวิญญาณเหล่านั้นเข้าไปเป็นเส้นสาย

เขาย่อยฤทธิ์พลังยาระหว่างที่รีบเร่งกลับไปยังลานบ้านของตนและในก้าวที่เขาเหยียบเข้าไปในธรณีประตู เขาก็วิงเวียนอย่างรุนแรงแล้วล้มควํ่าเข้าไปในลานบ้านทันที

ฮู่หลิงเอ๋อร้องออกมาและรีบวิ่งตะกายทั้ง 4 ขาเข้ามาดู ฉินมู่ค่อยคลายใจลงเมื่อเห็นฮู่หลิงเอ๋ออยู่ข้างๆ ก่อนที่เขาจะหมดสติ “ช่วยข้ากระตุ้นฤทธิ์พลังยา…”

ไม่ทันจะสิ้นสุดประโยค เขาก็หมดสติไปจริงๆ

เมื่อฉินมุ่ตื่นขึ้นมาอีกทีอย่างสะโหลสะเหล เขาก็รู้สึกว่าฤทธิ์พลังยาในท้องของเขาถูกกระตุ้นเรียบร้อยแล้วและกําลังโคจรส่งกระแสอุ่นไปทั่วแขนขาและกระดูกทั้งร้อยราวกับหม้อหลอมใหญ่อันร้อนฉ่า ตอนนั้นเขาจึงโล่งอกโดยสิ้นเชิง และรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา

วิชาร้อยรัดกายาจ้าวแดนดินสามอมตะนั้นเลิศลํ้าเป็นอย่างยิ่ง แต่ก็อันตรายร้ายกาจด้วยเช่นกัน หากว่าเขาไม่ฉวยโอกาสตอนที่ยังไม่หมดสติเพื่อหลอมปรุงยาบํารุงแก้ไข ผลลัพธ์ที่ตามมาคงร้ายเกินกว่าจะคาดคิดและอาจจะถึงตายเลยด้วยซํ้า!

หากข้าเติมพลังงานที่เหือดแห้งเข้าไปใหม่ไม่ทันล่ะก็ ข้าคงตายไปแล้ว

ฉินมู่ลืมตาขึ้นมาและนอนแผ่อยู่อย่างงั้นเงียบๆ เขาคิดคะเนในใจ หากจะแก้ไขปัญหาในวิชานี้คงยากหนักหนา มันต้องอาศัยให้ข้าขับเคลื่อนช่วงใช้ทุกส่วนของร่างกาย และต่อให้ข้าสามารถแก้ไขมันได้ มีนก็อาจจะต้องใช้ระยะเวลาอันยาวนานเกินจะรับไหว ถ้าอย่างนั้นข้าไม่ฝึกมันคงจะดีกว่า…

ฮู่หลิงเอ๋อยืนอยู่ข้างๆ และมองไปที่เขาด้วยความกระสับกระส่าย กิเลนมังกรยังอยู่ข้างๆ หน้าต่างและหมายที่จะมุดหัวเข้ามาข้างในเพื่อดูว่าเจ้านายผู้เลี้ยงอาหารมันยังอยู่ดีไหม แต่ศีรษะมันใหญ่โตเกินไป และหน้าต่างก็เล็กขนาดว่าตามันลอดเข้าไปได้ข้างเดียว มันจึงไม่อาจมุดเข้ามาในบ้านได้แม้แต่นิด

ฉินมู่ลุกขึ้นนั่งและพบว่าขณะนี้เขาเอนกายอยู่บนเตียง นี่คงเป็นจิ้งจอกน้อยที่ใช้ลมปีศาจยกร่างเขาส่งขึ้นเตียง เขาแย้มยิ้ม “ไม่ต้องห่วงแล้ว ข้าสบายดีละ เมื่อข้ากระตุ้นและย่อยฤทธิ์พลังยาเหล่านั้นได้หมด ร่างกายข้าก็จะฟื้นฟูกลับมา”

ฮู่หลิงเอ๋อระบายลมหายใจโล่งอกแล้วกล่าว “คุณชายทําข้าตกใจจนแทบตาย เมื่อประเดี๋ยวนี้ ร่างกายท่านผ่ายผอมซูบเซียว เมื่อท่านล้มลงไปเมื่อครู่ ข้ากลัวว่าท่านจะไม่ลุกขึ้นมาอีกต่อไป…”

ฉินมู่ย่อยฤทธิ์ยาอย่างสบายๆ และฤทธิ์พลังยาที่แผ่กระจาย และถูกดูดซับโดยร่างกายของเขา ตอนนี้เขาไม่มีภัยถึงชีวิตอีกต่อไป แต่ร่างกายก็ยังคงขาดพร่องอยู่

ความขาดพร่องนี้เป็นความขาดพร่องภายในอันเกิดจากการขัดเกลาบ่มเพาะร่างเนื้อและวิญญาณ ร่างเนื้อและวิญญาณเขาแกร่งขึ้นก็จริง แต่มันไม่มีสารอาหารมาหล่อเลี้ยงเหมือนกับเรือเหาะลําใหญ่ลอยอยู่บนฟ้า แต่มีเพียงเตาหลอมเล็กๆ ที่ให้พลังขับเคลื่อนแก่เรือเหาะ เรือนั้นก็จะร่วงลงมาจากท้องฟ้าอย่างแน่นอนและจะแตกทําลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย

นี่คือสิ่งที่กําลังเกิดขึ้นกับเขา

ขัดเกลาวิญญาณนั้นเผาผลาญจิต ขัดเกลาร่างเนื้อก็เผาผลาญพลังงานในร่าง วิญญาณที่เขาหลอมขึ้นมาก่อนหน้านั้นใช้เพื่อเติมฟื้นฟูจิตของเขาและไม่ปล่อยให้จิตของเขาเหือดแห้งจนหมด แต่ทว่าร่างกายของเขาก็ยังคงอยู่ในสภาวะอดอยากรุนแรง

บัดนี้จิตเขาฟื้นฟูกลับมาอย่างสมบูรณ์แล้ว แต่ร่างกายเขายังเป็นหนังหุ้มกระดูกอย่างน่ากลัว

ฉินมู่ยืนขึ้นและถาม “หลิงเอ๋อ มีอะไรกินไหม ตอนนี้ข้าหิวสุดๆ”

“นายน้อยอยากกินวัวเขียวไหม” ลูกตาโปนโตของกิเลนมังกรนอกหน้าต่างกลอกไปมาพลางกล่าวด้วยเสียงอันเริงร่าเป็นพิเศษ “ที่หลังภูเขามีวัวป่าอยู่ตัวหนึ่ง ให้ข้าไปจับมันมาย่างให้นายน้อยกินหน่อยไหม”

เมื่อกิเลนมังกรพ้นจากความอดอยากหิวโหย เขาก็เต็มไปด้วยเล่ห์กลแผนร้ายที่จะแก้แค้นวัวเขียวนั่น

ฮู่หลิงเอ๋อแย้มยิ้ม “คุณชายโปรดรอสักเดี๋ยว! มังกรใหญ่ พวกเราไปหาอาหารมาให้คุณชายกัน!”

หลังจากที่นางกล่าวเช่นนั้น นางก็วิ่งออกไปจากบ้านราวกับเปลวเงา และพากิเลนมังกรออกไปจากบัณฑิตนิเวศน์

“พี่สาวหลิงเอ่อ พวกเราจะไปหาอาหารกันที่ไหน” กิเลนมังกรถามอย่างฉงนฉงาย

“เจ้าว่ายนํ้าเป็นไหม”

ฮู่หลิงเอ๋อถาม “ในทะเลสาบมังกรหยกมีปลามังกรตัวมหึมายาวหลายวา ข้ามองมันตาเป็นมันมาหลายเวลาแล้ว”

กิเลนมังกรตอบอย่างคึกคัก “ข้าเองก็อยากกินพวกมันมาตั้งนานแล้วเหมือนกันแต่ในเมื่อนายผู้เฒ่าไม่มีคําสั่งข้าก็ไม่กล้าทําอะไรนอกคําสั่ง เจ้าไม่ต้องห่วง ข้าน่ะว่ายนํ้าเก่งมาก ขนาดว่าดํานํ้าได้หลายวันโดยไม่ต้องโผล่ขึ้นมาหายใจเลย”

ฮู่หลิงเอ๋อยินดีเป็นอย่างยิ่งและมาที่ทะเลสาบมังกรหยกกับเขา ที่ฝั่งตรงข้ามทะเลสาบมีนักพรตคนหนึ่งเฝ้าอยู่และแสดงสีหน้าสงสัยเมื่อเห็นพวกเขาเดินเข้ามา แต่ไม่ทันที่จะได้ซักไซ้ไต่ถาม เขาก็เห็นกิเลนมังกรตะลุยมุดลงไปในทะเลสาบ

สีหน้าของนักพรตแปรเปลี่ยนอย่างรุนแรงและตะโกนทันที “เจ้าสิงโตตัวนั้นน่ะ เจ้าลงไปอาบนํ้าในทะเลสาบไม่ได้นะ! จิ้งจอกนั่น หยุดเจ้าสิงโตเดี๋ยวนี้!”

ฮู่หลิงเอ๋อกล่าวทันที “มังกรใหญ่ เร็วๆ หน่อย เร่งมือเข้า!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version