Skip to content

Tales of Herding Gods 190

ตอนที่ 190 ผู้เฒ่าที่บ้านข้า

“ท่านปู่ใบ้!”

ฉินมู่รีบวิ่งเข้าไปและอ้าแขนกอดผู้เฒ่าในชุดผ้าฝ้าย เขาอยากจะกอดยกอีกฝ่ายจนตัวลอย แต่ผู้เฒ่านี้หนักอึ้งราวกับขุนเขาที่หนักที่สุดในแดนดิน เขาจึงไม่อาจยกได้แม้แต่นิด

ฉินมู่หัวเราะด้วยความตื่นเต้นและรีดเร้นพละกําลังทั้งหมด แต่ก็ยกขึ้นมาไม่ได้อยู่ดี

เฒ่าใบ้ร้องอาๆ สองทีและวางหีบในมือลง ในที่สุดฉินมู่ก็สามารถกอดยกเขาจนตัวลอยได้ แล้วค่อยโยนผู้เฒ่ากลับลงพื้น เฒ่าใบ้ร่วงลงจํ้าเบ้า และลุกขึ้นยืนปัดฝุ่นที่ติดก้น เขาส่งภาษามือสองสามที ที่บอกว่าฉินมู่น่ะซนจริงๆ

“ท่านปู่ใบ้ ทําไมท่านก็ออกจากหมู่บ้านกับเขาด้วยล่ะ แล้วท่านมาที่นี่ได้อย่างไร”

ฉินมู่ทั้งประหลาดใจและดีใจ เขาถามรัวเร็วราวกับปืนกล “ท่านเก่งสุดๆ เมื่อกี้ไจกระบี่พวกนั้นท่านหลอมสร้างขึ้นมาเองหมดหรือ แล้วใครอีกที่มากับท่าน”

“อา อา อาอาอา!”

เมื่อเฒ่าใบ้ส่งเสียง เขาก็ส่งภาษามือไปด้วย เขาเลิกคิ้ว 2 ข้างทําสีหน้าเบื่อ แล้วประกบมือ 2 ข้างไว้ข้างแก้มเอียงซบไปข้างหนึ่งเพื่อแสดงการนอน จากนั้นก็ใช้ 2 นิ้วทําท่าคนเดิน

สัญญาณมือเขาก็รัวเร็วไม่แพ้กันและสีหน้าท่าทางก็รุ่มรวยร้อยพันอย่างในชั่วอึดใจ ละลานตาฉินมู่ไปหมด

“ท่านปู่ใบ้ พูดช้าๆ หน่อย ข้าตามท่านไม่ทันแล้วท่านปู่หนวกล่ะ? ทําไมเขาไม่ตามท่านมาด้วย”

เฒ่าใบ้เผยสีหน้าพึงพอใจในตนเองและส่งสัญญาณต่ออีกชุด เขาหมายความว่าเขาแอบออกมาจากหมู่บ้านโดยไม่บอกใครสักคน

ฉินมู่กะพริบตาปริบๆ จากนั้นแย้มยิ้ม “ท่านไม่รู้หรอก ข้าเจอท่านปู่คนแล่เนื้อกับท่านปู่บอด ยังมีท่านยายซีอีก พวกเขาก็ออกมาจากหมู่บ้านกันแล้ว”

เฒ่าใบ้ตกตะลึงจากนั้นหัวเราะในคอ 2 ที เขายกหีบไม้ยื่นให้ฉินมู่ ส่งสัญญาณหมายให้ฉินมู่ช่วยแบกหีบนี้ ฉินมู่ยิ้มหยันและไม่เอื้อมมือออกไปรับ “ท่านปู่ใบ้ อย่าฝันจะหลอกข้าเลย หีบนี้หนักอึ้งอย่างยิ่ง มีไจกระบี่หลายพันไจอยู่ในนั้นใช่ไหมล่ะ ไจกระบี่ของท่านหนักหน่วงสุดๆ และหีบของท่านก็หนักยิ่งกว่าหลายพันเท่า หากว่าข้าช่วยท่านถือ ไหล่ข้าคงหลุดและตัวข้าก็คงล้มควํ่ากับพื้นแน่ๆ!

คราวก่อนข้าเผลอโดนท่านหลอก แต่คราวนี้ หึหึ”

เฒ่าใบ้ฉีกยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์แสนกล จากนั้นยกหัวแม่มือชมฉินมู่

ในหมู่บ้านพิการชรา นอกจากเฒ่าเป๋ที่ชอบแหย่ฉินมู่ที่สุด ก็มีเฒ่าใบ้นี่แหละที่เป็นอันดับสอง

ทันใดนั้นเฒ่าใบ้ก็เลิกคิ้วแล้วมองเลยข้ามไหล่ฉินมู่ ฉินมู่ก็รีบหันกลับไปดูและเห็นชายกลางคนเดินเข้ามา ราชครูสันตินิรันดร์เดินมายังเบื้องหน้าพวกเขาอย่างเงียบกริบ และหยุดยั้งห่างออกไปหกเจ็ดวา

“ผู้คนจากรุ่นเก่าก่อน?” เขาถามด้วยเสียงนุ่มนวล เฒ่าใบ้ฉีกยิ้มและแสดงสัญญาณมือสองสามที ราชครูสันตินิรันดร์ได้แต่ขมวดคิ้วเพราะไม่เข้าใจ

ฉินมู่อธิบายแก่เขา “ราชครู ท่านปู่ใบ้หมายความว่า เขามิใช่ผู้คนจากรุ่นเก่าก่อน เขาว่าเขายังหนุ่มแน่นอยู่เลย”

ราชครูสันตินิรันดร์ขมวดคิ้วอีกครา มันรู้สึกตะขิดตะขวงอย่างไรไม่รู้เมื่อเขาไม่อาจสื่อสารกับเฒ่าใบ้ได้โดยตรงและต้องอาศัยฉินมู่แปลให้เขาฟัง

“พี่ทางเต๋ามีกําลังฝีมืออันเหนือธรรมดา แต่วิชาที่ท่านฝึกปรือมิใช่เพลงกระบี่”

ราชครูสันตินิรันดร์ถอนใจอย่างสะทกสะท้อน “ข้าได้ปฏิสัมพันธ์กับตัวตนจากรุ่นเก่าก่อนจํานวนหนึ่งและได้เรียนรู้อย่างละอันพันละน้อย ข้าคิดว่าข้าได้พบเห็นทักษะเทวะ เต๋า และวิชาทุกรูปแบบในโลกหล้าแล้ว แต่ไหนเลยจะคาดคิดว่าจะได้เห็นทักษะเทวะอันโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์เช่นนี้ ไม่ทราบว่าพี่ทางเต๋าจะอนุเคราะห์ให้ข้าได้สัมผัสทักษะเทวะของท่านได้หรือไม่”

ฉินมู่ตกตะลึง เขาเห็นการโจมตีของเฒ่าใบ้เมื่อครู่ด้วยไจกระบี่จํานวนไร้ประมาณที่ลอยขึ้นไปบนท้องฟ้าและแปรเปลี่ยนเป็นกระแสกระบี่บินอันไร้สิ้นสุด บีบให้แม้แต่ราชามารตู้เถียนก็ยังต้องถอยกรูดและได้แต่ป้องกันตนเอง ก็ยังป้องกันไม่สําเร็จและบาดเจ็บเสียอีก

ฉินมู่คิดว่าเช่นนี้แล้วทักษะวิชาของเฒ่าใบ้ก็น่าจะเน้นหนักที่กระบี่ แต่ราชครูสันตินิรันดร์ก์ลับกล่าวว่าวิชาที่เฒ่าใบ้ฝึกปรือมิใช่เพลงกระบี่ หรือว่ากําลังฝีมือที่แท้จริงของเฒ่าใบ้จะยังคงเหนือลํ้ากว่าเพลงกระบี่ที่เขาสําแดงออกไปเมื่อครู่?

ในหมู่บ้าน สิ่งที่เฒ่าใบ้สอนสั่งเขาคือมรรคาแห่งการหลอมสร้างตีเหล็ก ฉินมู่ก็แบกค้อนเหล็กยักษ์ติดตัวเขาไปไหนต่อไหนและวิชาค้อนของเขาก็ได้รับถ่ายทอดจากเฒ่าใบ้

“หรือท่านปู่ใบ้จะฝึกปรือวิชาค้อนเป็นหลัก?”

เฒ่าใบ้ยิ้มร่าแล้วกระชับเตาหลอมบนหลังตน เขาวางหีบไม้ในมือ รูปลักษณ์ของเขาตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับช่างตีเหล็กพเนจร ซึ่งจะหยุดพักที่หมู่บ้านใดอันผ่านทางเพื่อช่วยหลอมตีเครื่องมือเหล็กให้กับชาวบ้านใช้ในครัวเรือน

หีบของเขาก็เหมือนหีบที่เอาไว้เก็บเครื่องมือตีเหล็ก และวัตถุที่ออกมาจากหีบก็ไม่ควรเป็นไจกระบี่แต่ควรเป็นข้าวของเครื่องมือ อย่างเช่น ค้อน ทั่ง กรวยกรอง ทัพพีตักเหล็ก ฯลฯ

เขาเปิดหีบแล้วส่งสัญญาณมืออีกหลายที ราชครูสันตินิรันดร์มีสีหน้าแข็งค้างและหันไปมองฉินมู่

ฉินมู่กล่าว “ท่านปู่ใบ้กล่าวว่าวิชาของเขาแทบจะสาบสูญหายไปในโลกหล้า หากว่าราชครูหมายจะชมดู เขาต้องการให้ราชครูหาผู้สืบทอดที่เหมาะสมให้เขาด้วย”

ราชครูสันตินิรันดร์มีความรู้สึกนับถือยกย่องอย่างสุดใจ “พี่ทางเต๋ามีจิตคิดถ่ายทอดสุดยอดวิชาอันสั่งสมมาทั้งชีวิตให้แก่ผู้อื่น ความโอ่อ่าเปิดกว้างของท่านเหนือลํ้ากว่าบรรดาจ้าวลัทธิ และเจ้าสํานักทั้งหลายแห่งลัทธิใหญ่สํานักดัง หากว่าโชคชะตานําพาข้าก็จะคอยมองหาผู้สืบทอดให้แก่พี่ทางเต๋า”

หีบไม้เปิดฝาออกมา และข้างในคือไจกระบี่จํานวนนับไม่ถ้วนแต่ละไจกระบี่มีขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือ

ราชครูสันตินิรันดร์มีสีหน้าฉงนฉงาย และเฒ่าใบ้ก็แย้มยิ้ม เขายื่นมือออกไป และไจกระบี่เหล่านั้นก็มิใช่ลูกกลมเงินอีกต่อไป พวกมันพลันเหลวละลายและแปรเปลี่ยนเป็นสสารอันคล้ายกับนํ้าคล้ายกับแสง ให้ความรู้สึกต่อผู้คนว่ากําลังชมดูมวลนํ้าที่กลั่นออกมาจากแสงสว่าง

หีบบรรจุไจกระบี่พลันแปรเปลี่ยนเป็นหีบบรรจุแสงเหลว แสงเหลวนั้นพลันลอยขึ้นมาจากหีบอย่างแช่มช้าและม้วนพันรอบร่างเฒ่าใบ้ แผ่ขยายไปทั่วร่างเขาประดุจชุดเกราะเงิน

ฉินมู่และราชครูสันตินิรันดร์พลันได้ประจักษ์แก่รอยจารึกอันแปลกพิสดารที่ปรากฏบนผิวชุดเกราะ พวกมันเป็นพยุหะอักษรรูนอันแปลกประหลาดซึ่งขับเน้นฤทธิ์อํานาจในการป้องกัน

แสงเหลวนั้นพลันไหลลงจากร่างของเฒ่าใบ้และแปรเปลี่ยนเป็นระฆังใหญ่กลางอากาศ มันสูงเจ็ดแปดวาและผนังระฆังนั้นบางเฉียบราวกับว่าจะมองผ่านทะลุได้

ระฆังใหญ่นี้ค่อยๆ หมุนไปอย่างช้าๆ และอักขระอันโบราณเก่าแก่อย่างไม่อาจสืบค้นยุคสมัยก็ปรากฏที่ผนังระฆัง และยังมีรูปภาพของสัตว์พิสดารทุกชนิดประเภทรวมทั้งแผนภาพการจัดเรียงดวงดาวของทั้งสรวงสวรรค์

หวือ

ระฆังใหญ่แปรเปลี่ยนเป็นแสงเหลว และมังกรเงินก็ปรากฏขึ้นมาจากแสงเหลวนั้นและว่ายวนรอบๆ ตัวพวกเขา เมื่อมังกรยักย้ายแหวกอากาศ ริ้วรอยมังกรก็ปรากฏอยู่ทั่วทั้งร่างของมัน

ทันใดนั้นมังกรเงินก็ทะยานขึ้นไปบนอากาศและแปรเปลี่ยนเป็นกระบี่ยาวทะลวงสู่ท้องฟ้า ร่ายรํากระบวนท่ากระบี่อันลึกลํ้า แสงกระบี่พลันหดวูบและปรากฏโล่เงินขนาดยักษ์ลอยเลื่อนลงจากนภา

ไม่ทันที่โล่เงินจะลอยลงมายังพื้น มันก็แปรเปลี่ยนเป็นร่มเงินและลอยล่องอย่างแช่มช้าพลางหมุนปีกร่มไปด้วย

ไจกระบี่ในหีบของเฒ่าใบ้ร้อยเปลี่ยนพันแปลง มันสามารถแปรเปลี่ยนเป็นอาวุธและสมบัติวิเศษใดก็ได้ตามใจปรารถนา

สมบัติวิเศษในหีบของเขาสามารถจําแลงแปลงได้กระทั่งทักษะเทวะทุกรูปแบบ!

เป็นครั้งแรกของฉินมู่เช่นกันที่ได้เห็นเฒ่าใบ้งัดวิชาความสามารถที่แท้จริงออกมาแสดงให้ดู และก็เป็นครั้งแรกของเขาที่ได้เห็นวิชาฝีมืออันดุจเทพปาฏิหาริย์เช่นนี้!

เฒ่าใบ้มิได้สั่งสอนวิชาฝีมือดังกล่าวให้แก่เขา และเขาก็ไม่เคยเห็นเฒ่าใบ้ใช้วิชาฝีมือรูปแบบนี้ที่หมู่บ้านเช่นกัน

ราชครูสันตินิรันดร์จ้องมองชะงักงันราวต้องมนตรส์ะกด ทันใดนั้นแสงเหลวก็ไหลกลับมา และแปรเปลี่ยนเป็นนาวาสีเงิน เฒ่าใบ้โยนหีบของเขาขึ้นไปบนนาวานั้นก่อนที่จะกระโดดตามขึ้นไปด้วย เขาฉีกยิ้มให้ฉินมู่แล้วโบกมือลา จากนั้นเรือเงินก็แล่นกรีดฟ้าผ่าอากาศไปด้วยความเร็วอันยิ่งยวด และหายลับไปโดยไร้ร่องรอย

ฉินมู่อ้าปากหมายจะเรียกเขากลับมา แต่เมื่อคิดดูนิดหนึ่งเขาก็ไม่กล่าวอะไร

สักครู่หนึ่ง ราชครูสันตินิรันดร์ก็ระบายลมหายใจที่กลั้นเอาไว้แล้วอุทาน “วิชาฝีมืออันเยี่ยมยอด วิชาฝีมืออันเยี่ยมยอด นี่ยังมีวิชาฝีมือที่ข้าไม่เคยพบเห็นในโลกหล้าแห่งนี้! พี่ทางเต๋าผู้นี้อัศจรรย์จริงๆ ดุษฎีบัณฑิตเจ้ารู้จักเขาหรือ”

ฉินมู่กล่าว “เขาเป็นผู้เฒ่าที่บ้านข้า”

ราชครูสันตินิรันดร์อึ้งไปและไม่เข้าใจความหมายของเขา “หรือว่าจะเป็นยอดฝีมือจากลัทธิมารฟ้า? นอกจากอธิการบดี ยังมียอดฝีมือระดับนี้ในลัทธิมารฟ้าอีกหรือ อัศจรรย์เหลือเกิน สมแล้วที่เป็นแดนศักดิ์สิทธิ์อันดับหนึ่งแห่งฝ่ายมาร”

ฉินมู่ส่ายหน้า “ราชครูเข้าใจผิดแล้ว ข้าถือกําเนิดในแดนโบราณวินาศ ดังนั้นบ้านของข้าย่อมอยู่ในแดนโบราณวินาศ”

ราชครูสันตินิรันดร์พรั่นใจและมองเขาด้วยสายตาลึกซึ้ง ก่อนที่จะกล่าวอย่างเปี่ยมนัย “ที่แท้ดุษฎีบัณฑิตก็มาจากตระกูลอันรอบรู้และทรงอํานาจ”

ฉินมู่ก็อึ้งไปเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้ารับอย่างเสียไม่ได้ ราชครูสันตินิรันดร์จึงถามด้วยสีหน้านิ่ง “ถ้าอย่างนั้น ใครกันที่เป็นคนอัญเชิญมารเทวะ”

“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน”

ฉินมู่ตอบไปอย่างไม่กะพริบตา “ข้าเองก็เพิ่งมาถึงที่นี่ และพบปะกับความโกลาหลอันยิ่งใหญ่ ข้าเองก็เป็นผู้ประสบเคราะห์เภทภัยแทบจะทิ้งชีวิตเอาไว้”

ราชครูสันตินิรันดร์พยักหน้าน้อยๆ จากนั้นกล่าว “กู่ลี่หนวน ให้เจ้านําทีมบัณฑิตออกมาแสวงประสบการณ์ จากที่ข้ารู้จุดหมายปลายทางของเจ้าน่าจะเป็นหลี่โจว แต่ที่นี่คือเมืองคลื่นสวรรค์อันมี เมืองระเบียบยุทธ์อยู่ที่ฝั่งนํ้าตรงข้าม ซึ่งห่างจากหลี่โจวกว่า 200 ลี้ เหตุไฉนดุษฎีบัณฑิตถึงมาโผล่ที่นี่”

“นี่…”

ฉินมู่ควักฮู่หลิงเอ๋อออกมาจากกระเป๋าสัมภาระและมองไปยังจิ้งจอกขาวตัวน้อย ฮู่หลิงเอ๋อยกอุ้งเท้าขึ้นมาขบในปากตนเอง ดวงตาของนางกลอกไปมา และพลันตาเป็นประกาย “พวกเราลอยมากับแม่นํ้าหย่ง! พวกเราพบอันตรายในหลี่โจวเพราะว่าซากทัพของสํานักมหาบรรพตได้อัญเชิญมารเทวะออกมา ดังนั้นพวกเราจึงหนีไปทางแม่นํ้า คุณชาย อธิบายอย่างนี้ใช้ได้ไหม”

ราชครูสันตินิรันดร์กล่าวโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า “เจ้าจะพูดอะไรก็แล้วแต่ ในความปั่นป่วนของเมืองคลื่นสวรรค์นี้ กองทัพกบฏประจําการในเมืองคลื่นสวรรค์ได้ตกตายไปอย่างมหาศาล บุคคลที่อัญเชิญมารเทวะออกมานับว่ากระทําความดีความชอบใหญ่ ข้าตระเตรียมที่จะแนะนําเขาแก่จักรพรรดิเพื่อเลื่อนตําแหน่งขุนนาง ด้วยความชอบระดับนี้ บุคคลผู้นั้นน่าจะเลื่อนไปถึงขั้นขุนนางชั้นสี่เป็นอย่างตํ่า”

ฉินมู่อ้าปาก แต่ฮู่หลิงเอ๋อชิงพูด “คุณชายของเราเป็นคนทําเอง คุณชายของเราอัญเชิญมารเทวะที่ชื่อว่าตู้เถียนหรืออะไรสักอย่างนี่แหละ!”

ราชครูสันตินิรันดร์ไม่สนใจนางและกล่าวต่อ “ความชอบก็ดี แต่ในเมื่อประชาชนคนธรรมดานับไม่ถ้วนได้สูญเสียชีวิตในเมืองคลื่นสวรรค์ ความผิดเรื่องนี้ก็ใหญ่หลวง แม้ว่าความสูญเสียจะเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงมิได้ในสมรภูมิรบ แต่กวาดล้างทั้งเมืองเป็นการคร่าผลาญชีวิตที่มากมายเกินไป หากว่าข้าหมายจะเชิดชูคุณงานความดีของผู้ที่สร้างความสําเร็จนี้ ก็จะมีเสียงคัดค้านจํานวนมากในสภาราชสํานักที่ติเตียนการเข่นฆ่าล้างเมือง และบีบองค์จักรพรรดิให้ลงโทษคนผู้นั้น เมื่อการกบฏถูกปราบปรามจนสิ้นก็ จะถูกคิดบัญชีในจังหวะนั้นและบุคคลดังกล่าวก็อาจจะถูกลงทัณฑ์ ถึงแม้จะไม่ถึงขั้นประหารเจ็ดชั่วโคตร แต่การริบตําแหน่งขุนนาง และเนรเทศนั้นเป็นขั้นตํ่าอย่างแน่นอน”

ฮู่หลิงเอ๋อหุบปากนางลงทันที และรู้สึกว่าทุกสิ่งที่นางพูด พูดอย่างไรก็ผิด

ราชครูสันตินิรันดร์เผยยิ้มแล้วกล่าว “ดังนั้นข้าจึงตระเตรียมที่จะเก็บงําความดีความชอบนี้ไว้โดยไม่เปิดเผยว่าใครเป็นคนกระทํา โดยปราศจากความชอบก็ย่อมไม่ต้องแบกรับความผิด ข้าจัดการเช่นนี้ดุษฎีบัณฑิตคิดว่าอย่างไรล่ะ”

ฉินมู่ระบายลมหายใจโล่งอกแล้วกล่าว “ราชครูจัดการได้อย่างเหมาะสมไร้ที่ติ”

ข้างหลังพวกเขา กองทัพจักรวรรดิสันตินิรันดร์กำลังสู้รบเข่นฆ่าฝูงมารฟ้าให้หมดสิ้นและแม่ทัพจํานวนหนึ่งก็เดินตรงเข้ามา

ราชครูสันตินิรันดร์หันกายกลับไปแล้วกล่าวอย่างไร้อารมณ์ “พวกต่อต้านสังหารคนด้วยปากมิใช่ด้วยมือ ต่อให้เจ้าสามารถเอาชีวิตรอดจากปากพวกเขาได้ ก็ยังต้องวุ่นวายกับเรื่องเละเทะอีกมาก”

ฉินมู่กล่าว “ราชครูกล่าวจากประสบการณ์ตรง?”

ราชครูสันตินิรันดร์พยักหน้า “จากการปฏิรูปของข้า ข้าได้สังหารพวกต่อต้านนับไม่ถ้วน สังหารไปรอบหนึ่งก็จะมีระลอกใหม่เข้ามาแทนที่เสมอ ฆ่ากันไม่จบไม่สิ้น พวกเขาเหล่านั้นไม่มีความสามารถและงอมือไม่ทําอะไรแต่กลับคอยจ้องจับผิดทุกอย่างที่เจ้ากระทําหรือกล่าว เรื่องเดียวที่พวกเขาเก่งกาจคือติเตียนด่าทอเจ้า เจ้ารู้หรือไม่ว่าจุดจบข้าจะเป็นเช่นไรหากว่าการปฏิรูปนี้ล้มเหลว?”

ฉินมู่ส่ายหัว

“ข้าจะถูกสาปแช่งจากอนุชนไปอีกหมื่นปี” ราชครูสันตินิรันดร์กล่าวด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง “แม้ว่าการปฏิรูปของข้าจะสําเร็จ ข้าก็ยังจะถูกด่าทอติเตียนจากพวกต่อต้านไปอีกร้อยอีกพันปี แต่ก่อนนั้นข้าเคยมีสหายเต๋าที่ช่วยประโลมใจข้า…”

สีหน้าของเขาหดหู่ “แต่เขาจากไปแล้ว ข้าคิดถึงเขาจริงๆ”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version