Skip to content

Tales of Herding Gods 191

ตอนที่ 191 ก็ตื่นเต้นนิดๆ

ฉินมู่อึ้งไปและไม่รู้ว่าสหายเต๋าของเขาคือใคร แต่ทว่าเมื่อราชครูสันตินิรันดร์เปิดเผยความกังวลเร้นลึกในใจแก่เขาจนหมดเปลือก ฉินมู่ก็รู้สึกขนหัวลุก กลัวว่าจะโดนฆ่าปิดปากเก็บความลับเมื่อใดก็ได้

“เจ้าไม่ต้องกังวล”

ราชครูสันตินิรันดร์ราวจะมองเห็นว่าเขากําลังคิดอะไรและกล่าวอย่างสบายๆ “ข้าเพียงแต่รู้สึกอารมณ์พลุ่งพล่านขึ้นมาเล็กน้อยและแบ่งปันห้วงคิดนี้กับเจ้า เจ้านั้นเป็นผู้ฟังที่ดี หากว่าเป็นคนปากสว่างอย่างเจ้านครเว่ย ข้าคงไม่กล้าพูดมากมายขนาดนี้ มิเช่นนั้นเช้ารุ่งขึ้นทั้งสภาราชสํานักคงรู้กันทั่ว”

“เจ้านครเว่ย? เว่ยหยงดูเหมือนจะมาจากครอบครัวเจ้านครเว่ย”

ฉินมู่กะพริบตาปริบอย่างใสซื่อ เจ้านครเว่ยขุนนางชั้นหนึ่งก็เป็นคนปากไม่มีหูรูดเหมือนกันหรือ ความช่างพูดของเว่ยหยงนั้นก็ทําให้เขาปวดหัวสุดๆ แล้ว ที่แท้เขาก็เรียนมาจากครอบครัว

ราชครูสันตินิรันดร์กล่าว “ยิ่งไปกว่านั้นถึงแม้เจ้าจะเป็นขุนนางชั้นหกตําแหน่งดุษฎีบัณฑิต แต่เจ้าก็มิใช่ส่วนหนึ่งของสภาราชสํานัก พูดคุยกับเจ้านั้นปลอดภัยเป็นอย่างยิ่ง”

เขาเผยยิ้มแล้วกล่าวต่อ “ประเด็นสําคัญที่สุดคือไม่มีใครเชื่อถือคําพูดของจ้าวลัทธิมารแห่งลัทธิมารฟ้าหรอกนะ”

ฉินมู่หน้ามืดคลํ้า แม้ว่าลัทธิมารฟ้าจะมีชื่อเสียงดีงามในบรรดาสามัญชนแต่ในสายตาของสภาราชสํานักและยุทธภพ ลัทธิมารฟ้ามีชื่อเสียงฉาวโฉ่

แม่ทัพที่กําลังเดินเข้ามา เข้าใกล้พวกเขาและโค้งคํานับ “ท่านราชครู เมืองคลื่นสวรรค์ถูกปราบปรามแล้ว”

ราชครูสันตินิรันดร์ผงกหัว แม่ทัพเหล่านั้นมองไปยังฉินมู่และมีสีหน้าพิศวง ฉินมู่แย้มยิ้มแล้วผงกหัวทักทายพวกเขา

“นี่คือดุษฎีบัณฑิตคนแรกของจักรวรรดิเรา” ราชครูสันตินิรันดร์ก์ล่าว “ดุษฎีบัณฑิตฉินมู่”

แม่ทัพสี่ห้าคนนั้นเห็นฉินมู่ทีท่าทีสัตย์ซื่อและผ่าเผย แม้ว่าเขาจะยังเยาว์แต่ก็ให้ความรู้สึกไว้วางใจได้แก่ผู้คน พวกเขาจึงอดไม่ได้ที่จะอุทานออกมา “ดุษฎีบัณฑิตฉินแม้จะเยาว์วัยแต่กลับมีความเป็นผู้ใหญ่ สมแล้วกับที่เป็นดุษฎีบัณฑิตคนแรกแห่งจักรวรรดิ เป็นผู้ที่เปี่ยมไปด้วยปัญญาและความรู้”

ฉินมู่คารวะตอบแล้วยิ้มกล่าว “พวกท่านกล่าวชมเกินไป”

ราชครูสันตินิรันดร์หันกายกลับแล้วมองไปยังทิศใต้ “การประจัญบานครั้งนี้เป็นเพียงแค่กระผีกเล็กของแสนยานุภาพที่เราแสดงให้พวกเขาดู การศึกสนามต่อไปนั้นจึงจะเป็นหลักใหญ่ใจสําคัญ แค่กๆ…”

แม่ทัพสี่ห้าคนนั้นแตกตื่นใจ และรีบก้าวมาข้างหน้า “ท่านราชครู อาการบาดเจ็บของท่าน…”

ราชครูสันตินิรันดร์โบกมือ สีหน้าของเขาซีดลงเล็กน้อย ครู่หนึ่งเขาก็ระงับอาการกลับเป็นปกติแล้วกล่าว “ข้าคงถูกแรงสะท้อนจากการสังหารมารเทวะเมื่อครู่นี้ ไม่มีอะไรร้ายแรง กองทัพกบฏนั้นซ่องสุมกําลังพลอยู่ในแดนใต้ และข้าหมายจะให้ทางเลือกแก่พวกเขา 2 ทาง เสาหลักเหอ”

แม่ทัพที่มีใบหน้าเป็นเหลี่ยมสันโค้งกาย “ขอรับ ท่านราชครู!”

“ไปยังแดนใต้และบอกพวกกบฏว่าข้ากําลังเดินทางไป ข้าจะให้พวกเขา 2 ตัวเลือก”

ราชครูสันตินิรันดร์ชี้ไปยังทิศใต้ด้วยสีหน้าเย็นเยียบ “ทางเลือกแรก ข้าจะนํากําลังหมื่นทหารหมื่นม้าศึกไปเหยียบพวกเขาให้ราบเป็นหน้ากลอง ทําลายลัทธิ สังหารสํานักเข่นฆ่าทั้งตระกูล นี่คือกฎของสภาราชสํานัก และนี่คือโทษทัณฑ์ที่จะมีให้กับพวกกบฏ”

เสาหลักเหอเสี่ยวเผิงเงี่ยหูฟังอย่างไม่ให้ตกหล่น ราชครูสันตินิรันดร์กล่าวต่อ “ทางเลือกที่ 2 คือทําตามกฎยุทธจักร ข้าจะนําเจ้าหน้าที่จากสภาราชสํานักไปเพื่อกําหนดบริเวณนัดพบ และพวกเขาทั้งหลายก็จะไปที่นั่นท้าทายต่อสู้กับพวกเราตามกฎยุทธจักร หากว่าพวกเขามีฝีมือความสามารถ พวกเขาย่อมสังหารพวกเราได้ หรือมิเช่นนั้นก็จะเป็นพวกเราที่สังหารพวกเขา มีเส้นทาง 2 เส้นให้พวกเขาเลือก”

เสาหลักเหอลังเลแล้วกล่าว “ท่านราชครู ข้าเกรงว่าคงไม่เหมาะนักที่จะยึดกฎยุทธจักรมาใช้ในเรื่องนี้ ท่านว่าเช่นนั้นไหม”

ราชครูสันตินิรันดร์กล่าว “ก่อนที่ข้าจะเข้ามาเป็นขุนนางในสภาราชสํานัก ข้าก็เป็นหนึ่งในชาวยุทธ์แห่งยุทธจักร เช่นนั้นแล้วเรื่องนี้จะไม่เหมาะได้อย่างไร ตําแหน่งแม่ทัพเสาหลักเองก็เหมือนกันมิใช่หรือ พวกเจ้าก็เข้าสภาราชสํานักมาจากยุทธภพจริงไหม”

เสาหลักเหอรับคําแล้วกล่าว “ข้าจะเร่งเดินทางไปยังแดนใต้ในบัดนี้! แต่ว่าในตอนนี้ราชครูกําลังเยียวยาอาการบาดเจ็บหากพวกเขาเลือกที่จะตัดสินด้วยกฎยุทธจักร ข้าเกรงว่าท่านราชครูอาจจะถูกลอบแทงข้างหลัง”

ราชครูสันตินิรันดร์โบกมือไล่ และเสาหลักเหอก็จากไป

“เสาหลักเว่ย”

“ขอรับ ท่านราชครู!”

“ส่งกําลังทหารราบและทหารม้าข้ามแม่นํ้า จัดทัพแผ่ออกเป็นรูปพัดฝั่งตะวันออกจะเดินทัพไปจนถึงทะเลตะวันออก ฝั่งตะวันตกจะเดินทัพไปจนถึงแดนโบราณวินาศ ลุยไปโดยไม่หวั่นอุปสรรค ถ้าพบเจอทะเลสาบให้ถมทะเลสาบ เจอแม่นํ้าให้สยบแม่นํ้า ทําลายล้างเมืองเมื่อพวกเราพบเจอเมือง และผลักดันเหล่าทัพไปยังทิศใต้”

ราชครูสันตินิรันดร์กล่าวด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “พวกเราต้องให้กบฏพวกนั้นรู้สึกแรงกดดัน”

“เว่ยเวินจู่รับบัญชาท่านราชครู!”

“เจ้านครเว่ย”

“ขอรับ ราชครู”

“เจ้านครนั้นมีวรยุทธ์อันแข็งแกร่งและเชี่ยวชาญในการนําทัพ เจ้าจงนําทัพตรงไปยังต้าเซี่ยงแห่งแดนใต้ แม่ทัพใหญ่มงกุฎทัพ แม่ทัพใหญ่ถนอมเปลี่ยนแปร พวกเจ้าทั้งสองจงนํากองทัพเป็นปีก 2 ข้างทัพของเจ้านครเว่ยเพื่อกวาดล้างเมืองซ้ายและเมืองขวาของต้าเซี่ยง เสาหลักฉาง เจ้าจงนําทัพแล้วบุกทะลวงไปยังต้าอวี่”

หลังจากราชครูสันตินิรันดร์ออกคําสั่งมอบหมายการศึกเสร็จสิ้น เจ้านครเว่ยก็ยิ้มกล่าว “ราชครู ตอนนี้พวกเราทั้งหมดล้วนแต่มีงานทํา แล้วเจ้าล่ะ?”

ราชครูสันตินิรันดร์แย้มยิ้ม “ข้าจะเดินตามหลังพวกเจ้าไปช้าๆ และรอให้พวกกบฏตัดสินใจ ยิ่งไปกว่านั้นบนร่างข้ายังมีอาการบาดเจ็บที่ต้องฟื้นฟู”

“อาการบาดเจ็บเจ้ายังไม่หายอีกหรือ” เจ้านครเว่ยกล่าวด้วยเสียงอันดัง “เช่นนั้นเจ้าคงต้องพักฟื้นอีกสักระยะ แต่ไม่ใช่ว่าข้างๆ เจ้าก็มีหมอเทวดาน้อยนี่นา? ให้เขารักษาเจ้าสิ เมียข้าถึงกับวิ่งโร่ไปที่ตรอกดอกไม้แห่งเมืองหลวงโดยไม่บอกกล่าวข้า ข้าดันเข้าใจว่านางชมชอบสตรีและหมายจะไปเที่ยวซ่องเพื่อความสําราญเสียอีก แต่กลายเป็นว่านางไปที่นั่นเพื่อรับการรักษาจากหมอเทวดาน้อย การณ์นี้ทําให้ข้าตกใจเยี่ยวแทบราด แต่ก็แอบตื่นเต้นนิดๆ ข้าคิดไปว่านางมีรสนิยมพิเศษเฉพาะแบบนี้…”

ราชครูสันตินิรันดร์ก์ระแอมไอสามสี่ที และรู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย “ได้เวลาที่เจ้านครจะนํากองทัพออกไปแล้ว ต้าเซี่ยงเป็นที่ซ่องสุมสําคัญของกองทัพแดนใต้ กระดูกชิ้นนี้เคี้ยวไม่ง่าย”

เจ้านครเว่ยพยักหน้าและหันกายจะจากไป แต่เขาก็พลันหันหน้ากลับมาและกล่าวต่อฉินมู่ “หมอเทวดาน้อย สั่งยาแก้สีหน้าแข็งโป๊กของเขาให้หน่อยสิ หน้าเครียดๆ อย่างนี้รีดยิ้มออกมาไม่ได้ด้วยซํ้า ฮี่ๆ ไม่ต้องเหลียวซ้ายแลขวา ข้ารู้จักหน้าเจ้า เมื่อเมียข้าไปหาเจ้าที่นั่นเพื่อรักษาอาการไข้ ข้าก็ลอบติดตามนางไป ข้ากลัวว่านางจะไปหลับนอนกับหญิงอื่นและรู้สึกตื่นเต้นคันใจเมื่อคิดขึ้นมา…”

ฉินมู่สีหน้าแข็งทื่อ และโบกมือกลับ ราชครูสันตินิรันดร์ระบายลมหายใจที่อั้นไว้แล้วกล่าว “ไม่ต้อง

สนใจเขา พวกกระทาชายแห่งตระกูลเว่ยเป็นอย่างนี้กันทั้งนั้น ปากของพวกเขากว้างขนาดว่ากลืนวัวเข้าไปได้ทั้งตัว”

“ราชครู เช่นนั้นพวกเราแยกทางกันที่นี่” ฉินมู่ยิ้ม ราชครูสันตินิรันดร์ส่ายหัว “แยกทาง แยกไปทําไม เจ้า ยังต้องตามข้าไปที่แดนใต้ หากไม่มีเจ้าอยู่ข้างๆ ใครจะช่วยรักษาข้าล่ะ”

ฉินมู่กล่าวอย่างกระอักกระอ่วน “อย่าล้อข้าเล่นเลยราชครู ท่านรู้ดีกว่าข้าเรื่องอาการบาดเจ็บในร่างกายท่านน่ะ ยิ่งไปกว่านั้น ข้ากําลังพาบัณฑิตออกมาแสวงประสบการณ์ แต่ตอนนี้ข้าทําบัณฑิตพวกนั้นหล่นหาย ดังนั้นข้าต้องไปตามหาเขาเผื่อว่าเขาจะตกตายในความโกลาหลนี้”

“เจ้าต้องตามข้ามา”

ราชครูสันตินิรันดร์ทําหน้าบึ้งแล้วกล่าว “ข้าจะช่วยเจ้าตามหาบัณฑิตเหล่านั้น พวกเขาชื่ออะไร”

ฉินมู่ไม่อยากตามเขาไปจริงๆ เห็นชัดๆ ว่าราชครูใช้กองทัพทั้งหมดเพื่อสร้างแรงกดดันมหาศาลแก่กองกําลังกบฏแห่งแดนใต้ บีบบังคับให้สํานักและตระกูลทั้งหลายไม่มีทางเลือกนอกจากมุ่งหน้ามาสังหารราชครูสันตินิรันดร์ภ์ายใต้แรงกดดันนี้

ดูคล้ายกับว่าราชครูจะให้ทางเลือกแก่พวกเขา 2 ทาง แต่จริงๆ แล้วมันมีแค่ทางเดียว

หากว่าเขาติดตามราชครูไป เขาก็จะตกเป็นเป้าเช่นกัน

วรยุทธ์ฉินมู่เพิ่งจะอยู่ขั้นห้าธาตุ เขาจะเป็นคู่มือต่อกรกับปีศาจเฒ่าทั้งหลายได้อย่างไร

แต่ว่าในเมื่อราชครูกล่าวเป็นมั่นเหมาะ เขาก็ปฏิเสธไม่ได้และได้แต่กล่าวชื่อของเฉินหว่านอวิ๋นและพรรคพวก

ราชครูสันตินิรันดร์ชูมือขึ้นยิงเมฆอัคคีขึ้นสู่ท้องฟ้า เมฆอัคคีดังกล่าวแปรเปลี่ยนเป็นอักษรเขียนนามของเฉินหว่านอวิ๋น เยว่ชิงหง อวิ๋นฉื้อ และซีอวิ๋นเซี่ยง เมฆอัคคีอีกก้อนแปรเปลี่ยนเป็นลูกศร ชี้ทางมายังจุดที่ฉินมู่ยืนอยู่

ไม่นานนักเฉินหว่านอวิ๋น ซีอวิ๋นเซี่ยงและคนอื่นๆ ก็รีบเร่งมา พวกเขาล้วนแต่มีบาดแผลได้รับบาดเจ็บ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาก็ประสบการต่อสู้ตะลุมบอนเช่นกันและหลบหลีกความตายอย่างเฉียดฉิว กิเลนมังกรก็ตามมาข้างๆ เขาและแบกทาสหมาป่ามาด้วย

“บัณฑิตแห่งมหาวิทยาลัยจักรวรรดิน้อมพบท่านราชครู!” เฉินหว่านอวิ๋นและคนอื่นๆ กระโดดโหยงด้วยความตกใจเมื่อพวกเขาเห็นราชครูสันตินิรันดร์ และรีบคารวะทักทาย

พวกเขารู้สึกกระสับกระส่ายเพราะรู้ว่าฉินมู่อัญเชิญราชามารตู้เถียนมาและสร้างภัยพิบัติร้ายแรงที่คร่าชีวิตผู้คนไปนับไม่ถ้วน พวกเขาก็มีส่วนในเรื่องนี้และนับได้ว่าเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดของดุษฎีบัณฑิตฉิน หากว่าราชครูสันตินิรันดร์ห์มายจะลงโทษผู้ก่อเภทภัย พวกเขาก็จะถูกประหารด้วยเช่นกัน

ราชครูสันตินิรันดร์แลมองพวกเขาทั้งหลาย และเมื่อสายตาเขาไปตกที่กิเลนมังกร เขาก็พยักหน้าแล้วแย้มยิ้ม

กิเลนมังกรดิ้นรนยืนขึ้นมาและทักทายเขา “ราชครู”

“มังกรใหญ่ ทําไมเจ้ายังมีบาดแผลอยู่ล่ะ”

ฮู่หลิงเอ๋อกระโดดขึ้นไปบนตัวของกิเลนมังกรและถามด้วยความฉงนเมื่อนางเห็นก้นของเขายังมีบาดแผล “หรือว่าเจ้าเลียก้นตัวเองไม่ถึง?”

กิเลนมังกรแค่นเสียงเฮอะหนึ่งทีแล้วไม่สนใจนาง

ฉินมู่ก้าวเข้าไปและนํานํ้าลายมังกรออกมาสองสามขวด จากนั้นทามันที่บาดแผลของเจ้าตัวใหญ่ บาดแผลบนร่างกิเลนมังกรนั้นค่อนข้างสาหัสเพราะสายตาของราชามารตู้เถียนไม่เพียงแต่เฉือนเกล็ดที่บั้นท้ายของมันแต่ฤทธานุภาพนั้นยังฉีกเฉือนเข้าไปถึงกล้ามเนื้อ โชคยังดีที่กิเลนมังกรหนังหนาตายยาก และสามารถทนทานสายตาสังหารของราชามารได้ มิเช่นนั้นเขาคงถูกเฉือนเป็น 2 ท่อน

ฉินมู่ควักนํ้าลายมังกรมาอีกสามสี่ขวดและส่งให้เฉินหว่านอวิ๋นและคนอื่นๆ ใช้ในการรักษาบาดแผลของตน

“อวิ๋นฉื้อ หว่านอวิ๋น ขวดนี้ราคาขวดละหนึ่งหมื่นเหรียญสมบูรณ์พูนสุข”

ฮู่หลิงเอ๋อบอกเตือนพวกเขาด้วยใจปรารถนาดี “หากว่าพวกเจ้าไม่มีเงิน เจ้าสามารถเขียนใบรับรองหนี้เอาไว้ก่อนได้”

หลวงจีนอวิ๋นฉื้อหน้าซีดเผือดและพึมพํา “หลวงจีนยากจนผู้นี้ไม่มีเงินทองเหลือหลอ ข้าไม่มีเงินเลยสักเบี้ย หลังจากดุษฎีบัณฑิตมาที่มหาวิทยาลัยจักรวรรดิ หลวงจีนผู้นี้ก็ยิ่งสิ้นไร้ไม้ตอก ข้าเกรงว่าคงต้องแบกหนี้ไปชดใช้ชาติหน้า พี่สาวจิ้งจอก ท่านจะสงสารข้าหน่อยได้หรือไม่…”

ฉินมู่ไม่รู้จะหัวเราะหรือรํ่าไห้ “หลิงเอ๋อ เลิกแกล้งพวกเขา ข้าพาพวกเขาออกมาแสวงประสบการณ์ ดังนั้นข้าย่อมต้องรับผิดชอบอาการบาดเจ็บของพวกเขา อย่าว่าแต่ข้ามีสมญาหมอเทวดา หมอย่อมรักษาคนไข้ด้วยจิตเอื้ออารีประดุจบิดามารดา เช่นนั้นข้าจะคิดเงินพวกเขาได้อย่างไร หลังจากการแสวงประสบการณ์ครั้งนี้ หากพวกเขาบาดเจ็บต้องใช้ยานี้อีกเจ้าค่อยคิดเงินพวกเขาล่ะกัน หากเจ้าคิดเงินเขาคราวนี้ ชื่อเสียงข้าคงจะเสียหาย”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น เยว่ชิงหงซึ่งเตรียมจะเอ่ยปากขอนํ้าลายมังกรอีกขวดไว้สํารองยามฉุกเฉินก็ละวางความคิดทันที นางคิดในใจ เขายังคิดจะเก็บเงินค่ารักษาอีก ลึกๆ ข้างในหมอนี่ขี้เหนียวจริงๆ…

ซีอวิ๋นเซี่ยงก็บาดเจ็บเช่นกันจึงเอ่ยปากขอนํ้าลายมังกรจากฉินมู่หนึ่งขวด นางดึงเยว่ชิงหงไปด้วยกันในป่าเพื่อถอดเสื้อผ้า ผลัดกันทายาบนเรือนร่าง เพื่อมิให้หลงเหลือรอยแผลเป็น

“พี่สาวหุ่นงามเหลือเกิน ข้านี้ใหญ่โตไม่เท่าท่าน” ซีอวิ๋นเซี่ยงกะประเมินสัดส่วนของเยว่ชิงหงและอุทานด้วยความชื่นชม

เยว่ชิงหงแย้มยิ้ม “เจ้ายังอายุน้อยอยู่ เมื่อเจ้าเติบใหญ่ขึ้น พวกมันก็จะใหญ่โตขึ้นมาเอง ยิ่งไปกว่านั้นหากมันใหญ่กว่านี้ก็จะรู้สึกไม่ค่อยสะดวกนัก โดยเฉพาะเมื่อเจ้าต้องวิ่ง อีกอย่างข้าไม่คุ้นชินกับการใส่เสื้อเกาะอก คงจะดีหากว่าข้ารัดพันพวกมันเอาไว้ได้ แต่ถ้าข้าเจอช่างตัดเย็บดีๆ ละก็…”

ซีอวิ๋นเซี่ยงคิดอยู่ครู่ “ข้าได้ยินว่าดุษฎีบัณฑิตนั้นก็เป็นช่างตัดเย็บเช่นกันและเสื้อผ้าที่เขาตัดเย็บออกมาดูสวยสะไม่น้อย เอาแบบนี้ไหม…”

เยว่ชิงหงกระโดดโหยงด้วยความตกใจ และดวงตาดําขลับของนางก็เบิกกว้าง “ข้าจะทําอย่างนั้นได้อย่างไร เขาเป็นผู้ชายนะ!”

สักพักหนึ่งฉินมู่ก็เรียกทุกคนมารวมตัวกันและกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “ภารกิจการฝึกฝนของพวกเราได้เปลี่ยนไปแล้ว ข้าจะต้องติดตามราชครูไปยังแดนใต้ลึกเข้าไปในอาณาเขตของศัตรู อาการบาดเจ็บของราชครูนั้นยังไม่หายดี และข้าก็อยู่ข้างๆ เขาเพื่อรักษาเยียวยา หากว่าเจ้าต้องการกลับมหาวิทยาลัย เจ้า สามารถกลับได้เลยเดี๋ยวนี้”

เฉินหว่านอวิ๋นและคนอื่นๆ จับประเด็นสําคัญและรู้ว่าการเดินทางไปแดนใต้จะต้องมีภยันตรายซุ่มซ่อนเต็มไปหมด ดังนั้นพวกเขาจึงค่อนข้างลังเลว่าจะไปด้วยดีหรือไม่

ราชครูสันตินิรันดร์กล่าว “ข้าสามารถชี้แนะการฝึกปรือและวิทยายุทธ์ให้แก่พวกเจ้าในระหว่างการเดินทาง ครั้งก่อนที่ข้าได้รับเชิญจากอธิการบดีให้ไปสอนบรรยาย แต่ได้สอนบรรยายไม่ถึง 2 วัน คราวนี้ข้าจะถือว่าเห็นแก่หน้าดุษฎีบัณฑิต”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version