ตอนที่ 192 รุ่นที่ทึ่มทื่องุ่มง่ามที่สุด
พวกเขาพลันตาลุกวาบโดยพลันและอวิ๋นฉื้อก็กล่าวกลั้วหัวเราะ “แน่นอนว่าพวกเราต้องบุกนํ้าลุยไฟฝ่าเข้าไปในแดนใต้ เพื่อดูนํ้าหน้าเหล่ายอดฝีมือในกองกําลังกบฏ! พวกเราไม่อาจปล่อยให้พวกกบฏดูแคลนมหาวิทยาลัยจักรวรรดิเราได้ หลวงจีนผู้นี้จะเปิดดวงตาเห็นธรรมพวกเขาด้วยคําสอนพุทธองค์ กลับตัว พวกเขาให้กลายเป็นชาวพุทธและให้กระทําแต่กรรมดี!”
ฉินมู่ลอบส่ายหน้าในใจ พวกนี้ดูเบาอันตรายในการเดินทางครั้งนี้มากไปแล้ว
นี่เป็นหนทางอันเต็มไปด้วยขวากหนาม และพวกเขาอาจจะเดินไปไม่สุดทางด้วยซํ้า ต่อให้เสี่ยงชีวิตอย่างที่สุดก็เถอะ
“ความเป็นและความตายของพวกเราขอฝากไว้กับโชคชะตา ให้พวกเราได้เห็นว่าราชครูสันตินิรันดร์ผู้ได้รับฉายาอันดับหนึ่งใต้เทวะ จะเกรียงไกรสมชื่อมากแค่ไหน!”
ราชครูสันตินิรันดร์แต่งกายอย่างเรียบง่ายและมุ่งหน้าไปทิศใต้ ฉินมู่นําคณะเดินทางติดตามเขาไประหว่างที่ซักถามซีอวิ๋นเซี่ยงถึงสิ่งที่พวกเขาประสบในสงครามสนามรบเมื่อครู่และอดไม่ได้ที่จะถอนใจอย่างสะทกสะท้อน
โชคชะตาของซีอวิ๋นเซี่ยง เฉินหว่านอวิ๋นและคนอื่นๆ นั้นดีกว่าฉินมู่มาก พวกเขาก็ถูกพลังของราชามารตู้เถียนเป่ากระเด็นและไม่ได้พบพานยอดยุทธ์ฝีมือแกร่งอย่างหลงเจี่ยวหนัน
กิเลนมังกรก็ร่วงลงไปไม่ไกลจากพวกเขา และในเมื่อกิเลนมังกรมีร่างกายใหญ่โต พวกเขาจึงมองเห็นกิเลนมังกรแต่ไกลๆ และวิ่งไปรวมตัวกันที่นั่น เมื่อฝูงมารฟ้าลอยร่วงลงมาจากท้องฟ้า
พวกเขาก็ห้อมล้อมรอบกิเลนมังกร และร่วมมือต่อสู้ป้องกันบริเวณรอบๆ นั้น
ในขณะเดียวกัน กิเลนมังกรก็ช่วยจัดการมารฟ้าที่เล็ดรอดเข้ามา และเขามีพละกําลังอันน่าอัศจรรย์ ซีอวิ๋นเซี่ยงและพวกพ้องอาศัยกําลังฝีมือของกิเลนมังกรจึงรอดชีวิตจากภัยพิบัตินี้มาได้
ฉินมู่ฟังแล้วก็ตะลึงใจและมองไปยังกิเลนมังกร ฮู่หลิงเอ๋อกระซิบที่ข้างหูเขา “คุณชาย เจ้าตัวใหญ่นี้กินดื่มอาหารของพวกเรา แต่ระหว่างการเดินทางกลับไม่ทําอะไรเลยสักนิด ตอนนี้เขาก็อิ่มหมีอ้วนพีกว่าเดิม แต่กลับคอยปกป้องผู้อื่นแต่ไม่ปกป้องพวกเรา นอกจากรีดเร้นนํ้าลายมังกรจากเจ้าตัวใหญ่ ข้าว่าพวกเราน่าจะรีดไถอย่างอื่นจากเขาออกมาอีก”
“ข้าก็คิดเหมือนกัน” ฉินมู่พยักหน้า เขาหันหน้ากลับไปมองเมืองคลื่นสวรรค์ซึ่งอยู่ไกลออกไปทุกที
“ตอนนี้เมื่อกองทัพสันตินิรันดร์ได้เข้ายึดเมือง หลงเจี่ยวหนันก็คงตกตายในเงื้อมมือกองทัพแล้วกระมัง? และยังมีราชามังกรแห่งสํานักขี่มังกร ที่น่าจะสิ้นชีวิตไปแล้วเช่นกัน น่าเสียดายที่สุดยอดวิชาเฉพาะของสํานักขี่มังกรจะหายสาบสูญ สํานักมหาบรรพตเองก็คงถูกกวาดล้างจนสิ้นซากในคราวนี้ น่าเสียดายที่ข้ายังไม่ทันได้เรียนเวทมนตร์อื่นๆ ของพวกเขา อย่างเช่นบัญชามารถอนทัพ…”
เมื่อเขาอัญเชิญราชามารตู้เถียน บรรดานักพรตแห่งสํานักมหาบรรพตได้บุกเข้ามาและพยายามใช้บัญชามารถอนทัพเพื่อขับไล่ราชามารตู้เถียนกลับไปที่แดนตู้เถียนแต่ทว่าราชามารตู้เถียงมีฤทธิ์เดชร้ายกาจ และกวาดล้างพวกเขาจนสิ้นในวาดมือเดียว
แต่ถึงอย่างไร บัญชามารถอนทัพก็เป็นเวทมนตร์อันเพริศแพร้วอัศจรรย์ ซึ่งใช้สําหรับจัดการกับมารปีศาจที่ถูกอัญเชิญโดยเฉพาะ หากว่ามันถูกช่วงใช้โดยผู้ที่มีกําลังฝีมือสูงกว่านี้ พวกเขาก็คงสามารถขับไล่ราชามารตู้เถียนกลับไปได้สําเร็จ
น่าเสียดายที่เวทมนตร์นี้หายสาบสูญไปพร้อมกับความตายจนสิ้นทายาทสืบทอดของสํานักมหาบรรพต
….
เมืองคลื่นสวรรค์ยังคงเละเทะหักพัง และเหล่าทหารก็กําลังซ่อมแซมกําแพงเมือง พวกเขาเก็บกวาดซากสิ่งปลูกสร้างที่พังทลายแล้วส่งพวกมันออกไปนอกเมือง
บนผิวแม่นํ้า เรือใหญ่น้อยหลายพันลําแล่นออกจากท่าและพากองพันต่างๆ ข้ามแม่นํ้าหย่ง กองทัพเหล่านี้มิได้หยุดยั้งที่เมืองคลื่นสวรรค์แต่จะมุ่งหน้าต่อไปทางทิศใต้
ยังมีทหารเหลืออยู่บ้างในเมืองคลื่นสวรรค์ซึ่งทําหน้าที่ไล่จับซากทัพของพวกกบฏและฝูงมารฟ้าที่ยังหลงเหลือจากโลกตู้เถียนและบางทีก็พบสามัญชนในเมืองที่เหลือรอดมาได้โดยโชคช่วย
และยังมีทหารที่ถือภาพวาดประกาศจับโจรผู้ร้ายปึกหนึ่งเดิน ตรวจดูสามัญชนเหล่านั้นว่ามีใครหน้าตาตรงกับประกาศจับหรือไม่
“เด็กสาวคนนี้สวยน่ารักจริง” ทหารนายหนึ่งเดินมาถึงเด็กสาวที่ยืนเคว้งอยู่ เขาอุทานในใจ
เด็กสาวผู้นี้สวมใส่เสื้อยาวสีเขียวซึ่งยาวกรอมเท้า ส่วนเส้นผมนางถูกม้วนมัดเป็นมวย นางมีเครื่องหน้างดงาม ประทินผิวด้วยแป้งแต่เบาบาง ปากจิ้มลิ้มของนางเหมือนมุกม่วงแดง 2 เม็ด และคิ้วยาวคมของนางนั้นละเอียดเป็นอย่างยิ่ง ด้วยการมองเพียงปราดเดียวก็รู้ได้ทันทีว่านางเป็นสุภาพสตรีน้อยที่ได้รับการถนอมกล่อมเลี้ยงจากตระกูลใหญ่ใดหนึ่งในเมืองคลื่นสวรรค์
ทหารผู้นี้มองนางอีก 2 ทีก่อนจะเดินไปทางอื่น สายตาของเด็กสาวผู้นี้กระจ่างใสราวนํ้าพุ ที่หูนางข้างหนึ่งประดับไว้ด้วยต่างหูหยกแดงสะท้อนแสงวาววาม และทันใดนั้นต่างหูของนางก็ขยับและยืดตัวออก
ต่างหูก็คืองูแดงตัวน้อยนิดที่ห้อยอยู่ในรูเจาะติ่งหูของนาง มันดูเหมือนจะถูกสลักเสลาขึ้นมาจากหยกแดง แต่กลับเป็นสิ่งมีชีวิต
หากว่าฉินมู่อยู่ที่นี่ เขาต้องชี้ให้ทหารจับกุมหญิงนางนี้อย่างแน่นอน
เขาได้เห็นรูปโฉมที่แท้จริงของหลงเจี่ยวหนันมาก่อน ไม่เพียงแค่ใบหน้าแต่เขายังได้เห็นทั้งร่างอันเปลือยเปล่าเมื่อนางลอกคราบ ตอนที่นางเพิ่งมุดออกมาจากผิวหนังที่นางลอกทิ้ง ก็ไม่มีเครื่องสําอางแต่งแต้มบนใบหน้า และเมื่อบัดนี้นางแต่งหน้าเยี่ยงสตรี นางก็ดูแตกต่างโดยสิ้นเชิงจากคุณชายหน้าขาวแห่งสํานักขี่มังกร!
กลุ่มทหารกําลังขนย้ายซากศพออกไปจากเมืองและโยนพวกมันลงไปในรถเข็นศพเพื่อหมายจะกลบฝังเสียที่ป่าช้าข้างนอก หลงเจี่ยวหนันตามพวกเขาไปพลางรํ่าไห้ “พวกท่าน เห็นศพพ่อข้าไหม”
ทหารเหล่านั้นยั้งเท้าและกล่าว “แม่นางน้อย ในเมืองมีซากศพมากมายก่ายกอง พวกเราไม่รู้ว่าศพไหนเป็นของพ่อเจ้า เจ้าลองดูซิว่าเขาอยู่รถเข็นนี้หรือเปล่า”
หลงเจี่ยวหนันเข้าไปมองดูและส่ายหน้า “ไม่มี”
ทหารผู้หนึ่งจึงกล่าว “ถ้าอย่างนั้นเขาคงอยู่ในเนินฝังศพที่ข้างนอกเมือง แม่ทัพอวี้สั่งให้พวกเราขุดหลุมใหญ่เพื่อกลบฝังซากศพ ซากสังขารของผู้คนทั้งหมดถูกขนไปเทไว้ที่นั่นและยังไม่ได้ทําการกลบฝัง แม่นางน้อยต้องการตามพวกเราไปดูหรือไม่”
หลงเจี่ยวหนันกล่าวขอบคุณแล้วตามทหารเหล่านั้นไปที่เนินฝังศพนอกเมืองคลื่นสวรรค์ ที่นั่นมีหลุมกว้างใหญ่ขุดเอาไว้ลึก 15 วาและมีซากร่างนับพันก่ายกองอยู่ในนั้น
หลงเจี่ยวหนันเงยหน้าและมองเห็นหลุมใหญ่คล้ายๆ กันนี้ขุดไว้บนเนินกว่า 10 หลุม ข้างๆ หลุมก็มีเหล่าทหารที่เข็นรถเข็นมาเทศพลงไปในหลุม
หลงเจี่ยวหนันมองไปรอบๆ และพลันตะโกนเรียก “ท่านพ่อ ท่านพ่อ! ธิดามาที่นี่เพื่อตามหาท่าน หากว่าท่านได้ยินเสียงข้า โปรดตอบกลับมาด้วย!”
นางตะโกนสามสี่ทีซํ้าๆ และทหารเหล่านั้นก็ไม่รู้จะหัวเราะหรือรํ่าไห้ “หญิงผู้นี้คงจะเสียสติไปแล้ว”
ในตอนนั้นเอง ก็มีเสียงอันอ่อนแรงดังมาจากหลุมใหญ่ “ข้าอยู่นี่ ตอนนี้กําลังลอกคราบอยู่ แต่อาการบาดเจ็บข้าหนักหนาเกินไป…”
ทหารข้างๆ หลุมใหญ่พลันตัวแข็งทื่อ และเจ้าหน้าที่ผู้หนึ่งตะโกนขึ้นมาทันที “มีสิ่งผิดปกติ! ทุกคนเตรียมระวัง!”
เมื่อหลงเจี่ยวหนันได้ยินเสียงนี้ นางก็ยิ้มที่มุมปาก “แดงน้อย”
งูแดงตัวจิ๋วที่แขวนอยู่บนติ่งหูนางก็ยืดเหยียดกายและร่วงลงมาจากหู เมื่อมันหล่นลงถึงพื้น ร่างของมันก็ขยายใหญ่โดยพลันและกลายเป็นงูยักษ์ตัวมหึมาในชั่วพริบตา หมอกพิษพวยพุ่งออกจากปากแดงฉานและทหารรอบๆ เนินฝังศพก็ล้มลงเป็นใบไม้ร่วง
งูยักษ์เลื้อยไปดุจสายลมและขยอกกลืนกินทหารเหล่านั้นไปทีละคน ในระหว่างนั้นหลงเจี่ยวหนันก็เดินลงไปในหลุม และเหวี่ยงศพอื่นๆ ออก ในที่สุดนางก็ขุดราชามังกรที่ถูกกลบฝังท่ามกลางซากร่างอื่นๆ ออกมาจนได้
“ธิดาคิดว่าท่านพ่อตายเสียแล้ว?” หลงเจี่ยวหนันหัวเราะคิก
“ธิดา?” ราชามังกรสํานักขี่มังกรแค่นเสียงเย็นชา
หลงเจี่ยวหนันสีหน้าแปรเปลี่ยนและก้มศีรษะลง “บุตรคิดว่าท่านพ่อสิ้นชีวิตเสียแล้ว…”
ราชามังกรลุกขึ้นนั่ง “ข้าแสร้งตายเข้าสู่สภาวะจําศีลเพื่อตบตามารเทวะตนนั้น ดังนั้นข้าจึงถูกโยนเข้ามาไว้ในเนินฝังศพ แต่ไม่รู้ว่ามังกรแดงเป็นอย่างไรบ้าง”
เขาห่อริมฝีปากผิวปากเรียกด้วยเสียงตํ่า ไม่นานนักสัตว์ประหลาดน้อยที่ดูเหมือนงูแต่ก็ไม่ใช่งู ดูคล้ายมังกรแต่ก็ไม่ใช่มังกร ก็คลานออกมาจากป่า
ราชามังกรระบายลมหายใจโล่งอกและตรวจตราอาการบาดเจ็บของมังกรแดง “มังกรแดงและข้าเพิ่งลอกคราบและต้องพักฟื้นสักระยะ ลูกชายคนดีของข้า ตอนนี้คงต้องหวังพึ่งเจ้าล่ะ พวกเราไป!”
หลงเจี่ยวหนันเรียกงูยักษ์กลับมา เมฆปีศาจพลันพวยพุ่งออกจากงูยักษ์และหอบร่างของมันเหาะเหินขึ้นไปบนท้องฟ้า แบกเอา 2 คนและหนึ่งมังกรพุ่งทะยานไปไกลลิบตา ถึงตอนนั้นทหารในเมืองคลื่นสวรรค์จึงเพิ่งรู้ตัว แต่พวกเขาก็ไม่มีโอกาสไล่ตามเสียแล้ว
“ใครกันที่มันเป็นผู้ก่อเหตุร้ายอันสร้างความพ่ายแพ้ยับเยินแก่พวกเรา” ราชามังกรถามต่อ “และเหลือพวกเราจากสํานักขี่มังกรรอดมาอีกกี่คน”
“เหลือเราแค่ 2 คนเท่านั้น”
หลงเจี่ยวหนันแค่นเสียงเย็นเยียบ “ข้าได้ยินบัณฑิตแห่งมหาวิทยาลัยจักรวรรดิเรียกคนผู้นั้นว่าดุษฎีบัณฑิตฉิน เขาคือผู้ที่อัญเชิญมารเทวะออกมาล้างผลาญสํานักขี่มังกรเราจนสิ้นซาก บุตรละอายใจนักที่ไร้ความสามารถและปล่อยให้เขารอดมือไปได้”
“เรา 2 พ่อลูกยังคงอยู่ดี ดังนั้นสํานักขี่มังกรก็ย่อมไม่นับว่าถูกล้างผลาญจนสิ้นซาก”
ราชามังกรแค่นเสียงเย็นเยียบ “ตราบเท่าที่พวกเรารู้ว่ามันเป็นใคร เรื่องก็จะง่ายดาย ความแค้นสาหัสถึงเพียงนี้ พวกเราต้องล้างแค้น ต้องฉีกทึ้งร่างเขาออกเป็นพันชิ้น!”
…
ฉินมู่และคนอื่นๆ ติดตามราชครูไปยังทิศใต้และไม่นานนักก็เห็นกองทัพรีบเร่งเดินทัพผ่านพวกเขาไปจากข้างหลังบุกตะลุยไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง
แต่พวกเขาก้าวต่อไปด้วยจังหวะอันไม่เร่งร้อน ฉินมู่ใช้โอกาสนี้ถามคําชี้แนะจากราชครู “ราชครูเป็นผู้เปี่ยมปัญญาญาณ และนักเรียนผู้นี้มีปัญหาหนึ่งที่มิอาจไข จึงใคร่เรียนถามราชครูให้อนุเคราะห์ชี้แนะ”
ราชครูสันตินิรันดร์ถามกลับด้วยความตะลึง “เจ้าเรียนวิธีพูดประจบนี้มาจากใคร ดูจะคล่องปากเชียว”
ฉินมู่ทําหน้าฉงน “นี่คือวิธีพูดประจบงั้นหรือ”
เยว่ชิงหง อวิ๋นฉื้อ เฉินหว่านอวิ๋นและคนอื่นๆ ล้วนแต่พยักหน้าหงึกๆ แม้แต่ซีอวิ๋นเซี่ยงก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วย
ฉินมู่พึมพํา “ผู้เฒ่าที่บ้านข้าสอนมาเช่นนี้ ผู้เฒ่าคนนี้เป็นชายขาเดียวที่แย้มยิ้มอยู่ตลอดเวลา คําพูดของเขารื่นหูแต่การลงมือล้วนอํามหิต…เราอย่าพูดถึงเรื่องนี้เลย ราชครู ข้าอยากถามท่านว่าในขั้นทารกวิญญาณ ตัวทารกวิญญาณนั้นมีประโยชน์อย่างยิ่งในการควบคุมปราณชีวิตอย่างรอบด้านแต่ในขั้นห้าธาตุมันดู ค่อนข้าง…”
เขาครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วกล่าวต่อ “…ค่อนข้างอ่อนแอ มันดูเหมือนว่าจะมีขุมพลังอันยิ่งใหญ่ซ่อนอยู่ในขั้นห้าธาตุ แต่ยากที่จะปลดปล่อยมันออกมา อย่างเช่นมีเทพห้าองค์อยู่ในขั้นห้าธาตุและแต่ละเทพก็มีจุดแข็งของตนเอง แต่ทว่าเราจะทําให้สมบัติเทวะห้าธาตุปลดปล่อยพลังของมันออกมาได้อย่างไร”
คําถามนี้ก็จับความสนใจของเฉินหว่านอวิ๋นและคนอื่นๆ พวกเขาเองก็มีความสงสัยทํานองเดียวกันกับฉินมู่เช่นกันแต่ยังมิไม่สามารถจับจุดและสรุปออกมาเป็นคําถามได้
ขั้นห้าธาตุนั้นดูเหมือนจะค่อนข้างอ่อนแอเมื่อเทียบกับขั้นทารกวิญญาณ พลังวัตรของพวกเขาแก่กล้าขึ้นแต่ก็เท่านั้น มันไม่มีการเปลี่ยนแปลงของพลังฝีมืออย่างก้าวกระโดดไปอีกระดับขั้น
ราชครูสันตินิรันดร์ฟังแล้วก็ตกตะลึง “พวกเจ้ายังไม่พบความลับของห้าธาตุอีกหรือ หรือควรกล่าวว่า มหาวิทยาลัยจักรวรรดิยังไม่ได้สอนพวกเจ้าอีกหรือ”
ฉินมู่ส่ายหน้า เฉินหว่านอวิ๋นและพรรคพวกก็ส่ายหน้าเช่นกัน
“ครูผู้สอนรุ่นนี้เนี่ยไม่ได้เรื่องเอาเสียเลย”
ราชครูสันตินิรันดร์ถอนหายใจอย่างสะทกสะท้อน “พวกเขาถึงกับไม่ได้สอนเรื่องนี้ ครูผู้สอนกลุ่มปัจจุบันต้องนับว่าเป็นกลุ่มครูผู้สอนที่ทึ่มทื่องุ่มง่ามที่สุด สมบัติเทวะห้าธาตุก็คือสมบัติเทวะห้าช่วง ด้วยห้าช่วงซุ่มซ่อนอยู่ภายใน พวกมันสนองสะท้อนกับเทพครองแดนดาวธาตุทั้งห้าที่อยู่บนท้องฟ้า เทพยดาทั้งห้าคือเทพยดาระดับจ้าวผู้ครองแดนและมิใช่เทพเจ้าเล็กๆ ธรรมดา เมื่อพวกเจ้าขับเคลื่อนวิชาฝึกปรือ พวกเจ้ารู้สึกถึงความผิดปกติหรือไม่ ว่ามีพลังงานอันลึกลับไม่อาจระบุได้ไหลเข้าสู่ร่างของพวกเจ้าจาก ฟากฟ้า อันสอดพ้องกับเทพครองแดนดาวธาตุทั้งห้า”
ทุกคนผงกหัวซํ้าๆ ราวไก่จิกข้าวเปลือก
ราชครูสันตินิรันดร์กล่าว “นี่คือพลังของธาตุทั้งห้า ธาตุทองสอดพ้องกับทอง ธาตุไฟสอดพ้องกับไฟ ธาตุนํ้าสอดพ้องกับนํ้า ธาตุไม้สอดพ้องกับไม้ ธาตุดินสอดพ้องกับดิน ต่อเมื่อปลุกกระตุ้น พลังงานห้าชนิดเจ้าถึงจะสามารถควบคุมพลังของธาตุทั้งห้า แล้วเทพครองแดนดาวธาตุทั้งห้าของพวกเจ้าได้กลับไปยังวังดาวของแต่ละธาตุหรือไม่”
ทุกคนผงกหัวอีกครั้ง
ราชครูสันตินิรันดร์ท์อดถอนใจ “ที่มหาวิทยาลัยจักรวรรดิสอนนั้นตื้นเขินเกินไป ผิวเผินเหลือเกิน พวกครูผู้สอนเดี๋ยวนี้มันสอนกันอย่างไรนะ พวกเขาไม่ได้สอนอะไรที่ลึกซึ้งเลยแม้แต่น้อย การที่เทพครองแดนดาวเข้าไปสู่วังดาวธาตุของตนนั้นแปลว่าพวกเจ้าได้ควบคุมพลังของห้าธาตุเรียบร้อยแล้ว ซึ่งก็คือพลังของห้าช่วงเปลี่ยนผ่าน ตราบเท่าที่พลังของห้าธาตุผสานเข้าไปในปราณชีวิตของพวกเจ้า มันก็จะมีคุณสมบัติธาตุอีกห้าประการเพิ่มเสริมเข้าไปในปราณชีวิต”
เขายกมือขึ้นและพลันปรากฏโล่ทองคําตรงหน้า “ทอง”
“ไม้”
หลังจากโล่ทองหายวับ ต้นไม้พืชพรรณรอบๆ ก็พลันงอกเงยอย่างบ้าคลั่ง ราชครูสันตินิรันดร์ก์ล่าวต่อ “นํ้า”
คลื่นใหญ่พลันซัดเข้ามาและยกพวกเขาขึ้น ให้พวกเขาสามารถลอยอยู่บนอากาศได้ด้วยการเหยียบคลื่นนั้น
“ไฟ”
เมฆอัคคีลอยเลื่อนขึ้นไปบนท้องฟ้าและยกฉินมู่กับผองพวกขึ้นพาพวกเขาทะยานไปข้างหน้าพร้อมกับเมฆอัคคี
“ดิน”
ผืนดินพลันเผยอขึ้นส่งโคลนและหินจํานวนมากลอยขึ้นไปบนท้องฟ้าสร้างเป็นก้อนดินกลมขนาดใหญ่
ราชครูสันตินิรันดร์ลบล้างพลังงานทั้งห้าชนิด และทุกคนก็ลอยกลับมายังพื้นอีกครั้ง ราชครูสันตินิรันดร์ก์ล่าว “พลังของธาตุทั้งห้าที่เจ้าควบคุมได้นั้นแตกต่างจากพลังที่ทารกวิญญาณควบคุม นี่ยังแตกต่างจากปราณชีวิตสี่แบบอันได้แก่มังกรเขียว หงส์แดง พยัคฆ์ขาว และเต่าดํา ปราณชีวิต 4 ประเภทนี้มิได้แบ่งแยกเอาง่ายๆ ว่าเป็นธาตุไม้ ไฟ นํ้า ทอง แต่กลับแฝงเอาไว้ด้วยช่วงเปลี่ยนผ่านทั้งห้าที่ซุ่มซ่อนอยู่ข้างใน…ทําไมพวกเจ้าถึงทําหน้างงเหมือนกําลังฟังคัมภีร์ส์วรรค์อย่างนั้นล่ะ พวกเจ้าไม่เข้าใจหรืออย่างไร”
ราชครูสันตินิรันดร์ฉงนฉงายและส่ายหน้า “บัณฑิตรุ่นพวกเจ้านี้เซ่อเสียเหลือเกิน เป็นรุ่นที่ทึ่มทื่องุ่มง่ามที่สุดที่ข้าเคยสอน”