ตอนที่ 196 เดียวดายเพราะไร้เทียมทาน
ทั้งวิหารตกอยู่ในความเงียบ
“ราชครูสันตินิรันดร์บุกมาอย่างก้าวร้าว เขาส่ง 4 ใน 8 เสาหลักอาณาจักรมา และยังมีแม่ทัพใหญ่มงกุฎทัพ แม่ทัพใหญ่ถนอมเปลี่ยนแปร เจ้านครเว่ย และกระทั่งขุนนางขั้นสูงชั้นหนึ่งอีกสองสามคน หากว่าพวกเราประจัญบานกับพวกเขาซึ่งๆ หน้า คงไม่มีทางชนะเป็นแน่”
ขุนนางชั้นสูงหม่าเหลียนซานกล่าว “ขออภัยที่ข้าอาจจะโผงผางไปหน่อย เหล่าสํานักจะชนะแน่นอนในการต่อสู้แบบยุทธจักร แต่จักรวรรดิสันตินิรันดร์นั้นมีแสนยานุภาพบนสนามรบเหนือกว่าเราหนึ่งขั้น ถ้าอย่างนั้นแล้ว ทําไมเราถึงต้องเอาข้อด้อยของพวกเราไปปะทะจุดเด่นพวกเขา ทําไมไม่นําข้อเด่นพวกเราไปต่อสู้กับข้อด้อยของพวกเขา”
ทุกคนพยักหน้า
เจ้าวังพรากกิเลสโพล่งขึ้นมา “นี่ทําให้ข้าหวนนึกถึงการต่อสู้เมื่อ 200 ปีก่อน สมัยเมื่อยังมียอดฝีมือสํานักวิชาบู๊อยู่มากมายและหลายหลาก พวกเขาสามารถเทียบชั้นกับสํานักวิชาเวทมนตร์ และสํานักวิชาคุมกระบี่บินและในยุคนั้นสํานักวิชาบู๊ก็ต่อสู้เอาตายกับสํานักวิชาคุมกระบี่และสํานักวิชาเวทมนตร์ทุกวี่วัน นับว่าเป็นพวกบ้าไร้สมองขนาดไหน! แต่ตอนนี้ดูที่สํานักวิชาบู๊ของพวกเราอีกทีสิ ไหนล่ะยอดฝีมือ พวกเขาหายไปไหน”
ทุกคนนิ่งอึ้ง ยอดฝีมือของสํานักวิชาบู๊ส่วนใหญ่ตกตายในการถกฝีมือยุทธ์
การถกฝีมือยุทธ์กับราชครูสันตินิรันดร์
จากนั้นเป็นต้นมา สํานักวิชาบู๊ก็ถูกทําลายจนตกตํ่า และในปัจจุบันสมัย สํานักวิชาบู๊ทั้งหลายก็เริ่มผสานหลอมรวมเข้ากับสํานักวิชาอื่นๆ และแทบจะหาได้ยากมากที่จะมีผู้ฝึกวิชาบู๊ล้วนๆ เพียงอย่างเดียว
ในการถกยุทธ์ครั้งนั้น สํานักวิชาบู๊ทั้งโลกหล้าถูกทําให้ง่อยเปลี้ยด้วยนํ้ามือของราชครูสันตินิรันดร์เพียงผู้เดียว
เจ้าวังพรากกิเลสกล่าวด้วยเสียงเรียบเฉย “สถานการณ์คราวนี้มีอะไรต่างจากครั้งนั้น ในตอนนั้นเหล่าสํานักวิชาบู๊คิดว่าพวกเขาเก่งกาจเป็นที่หนึ่งในโลกหล้า และจะสามารถบดขยี้เหล่าสํานักวิชาคุมกระบี่ได้ในการถกยุทธ์ครั้งนี้ ดังนั้นยอดฝีมือสํานักวิชาบู๊จํานวนมากจึงหลั่งไหลไปที่เมืองหลวงเพื่อท้าสู้ราชครูสันตินิรันดร์ แล้วทีนี้เป็นอย่างไรล่ะ”
นางมองไปรอบๆ “หากว่าเรากระทําการต่อสู้ตามกฎของยุทธจักรกับราชครูสันตินิรันดร์ มิใช่ว่าจุดจบของพวกเราก็จะ เหมือนกับพวกเขาหรอกหรือ”
ชายในหน้ากากทองแดงนิ่งไปครู่ ก่อนที่จะเอ่ยถาม “แล้วเจ้าวังชุ่ยมีความคิดอันสูงส่งใด”
เจ้าวังพรากกิเลสยกมือขึ้นแล้วกล่าว “ราชครูสันตินิรันดร์คิดว่าพวกเราจะต่อสู้กับเขาตามกฎของยุทธภพ แต่พวกเราจะไม่ทําตามกฎยุทธภพ พวกเราจะนัดหมายสถานที่ท้าประลองกับเขา และเมื่อเขามาถึง พวกเราก็จะลุยออกไปกลุ้มรุมสังหารทันที!”
มือของนางเฉือนลงแล้วกล่าวด้วยเสียงเย็นเยียบ “จักรวรรดิสันตินิรันดร์เคยเป็นประเทศเล็กๆ แต่ที่พวกเขาเป็นอย่างทุกวันนี้ได้ หลักๆ แล้วเป็นการลงแรงของราชครูสันตินิรันดร์ เขานั้นเป็นตํานานอันถูกเคารพบูชาโดยเหล่าขุนนางบุ๋นและบู๊ในสภาราชสํานัก หากว่าเขาหมายจะก่อกบฏ ก็ลําบากแค่ยกมือขึ้นมา จักรพรรดิก็จะลงจากบัลลังก์ทันที! หากว่าจักรพรรดิไม่ยอมลงจากบัลลังก์ จักรพรรดิก็จะถูกสังหาร และราชวงศ์ทั้งหมดก็จะถูกกวาดล้าง! แต่ถ้าราชครูสันตินิรันดร์ตายไปจักรวรรดิสันตินิรันดร์ก็จะไม่ใช่กระดูกเคี้ยวยากอีกต่อไป พวกเขาจะเหมือนงูไร้หัวปราศจากผู้นํา ดังนั้นพวกเราจึงต้องใช้วิธีการอันตํ่าช้าไม่สนคุณธรรม ไม่อาจยึดตามกฎเกณฑ์ของยุทธจักร”
“นี่…เจ้าวังชุ่ยกล่าวได้ถูกต้อง”
เจ้าสํานักทั้งหมดในวัดเล่ากวงเห็นด้วยกับนาง มีแต่บางคนเท่านั้นที่รู้สึกไม่ค่อยสบายที่จะละเมิดกฎยุทธภพ แต่พวกเขาก็ไม่ได้ออกเสียงคัดค้าน
การกลุ้มรุมโจมตีราชครูสันตินิรันดร์พร้อมๆ กันและการส่ง 3 ผู้เฒ่าไปซุ่มโจมตีราชครูสันตินิรันดร์เมื่อคราวก่อนนั้นเป็นพฤติการณ์ที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง เมื่อผู้เฒ่าทั้ง 3 ไปซุ่มโจมตีราชครูในครั้งนั้น ราชครูอยู่ท่ามกลางกองทหารนับหมื่นและมียอดยุทธฝีมือแกร่งจํานวนมากอยู่เคียงข้างเขา ดังนั้นการกลุ้มรุมโจมตี ของ 3 ผู้เฒ่านั้นมิได้ละเมิดกฎยุทธจักร
แต่ในคราวนี้ พวกเขาฉีกทึ้งกฎยุทธจักร และเหยียบยํ่าเกียรติภูมิของมัน
“การกระทําในครั้งนี้ กฎก็จะถูกทําลาย และทิ้งเภทภัยไว้แก่ชนรุ่นหลัง อันจะถูกจดจําจารึกไว้ในประวัติศาสตร์”
อาจารย์วิญญาณเต๋าฉวนลอบส่ายหน้า “พวกเขาเล่นสกปรกก่อน นําอิทธิพลอํานาจของราชสํานักเข้ามาในยุทธจักร ข้าเกรงว่าพวกเราคงไม่อาจหวนคืนไปสู่ยุครุ่งเรืองของยุทธจักรในอดีตได้อีกต่อไป”
เมืองแสงอาทิตย์ ฉินมู่ยังคง ‘เยียวยา’ ราชครูสันตินิรันดร์ตามแบบแผนเดิมที่เขาทําในเมืองหลี่ และเมื่อพวกเขามาถึงเมืองภูเขา ฉินมู่ก็ ‘เยียวยา’ ราชครูอีกครั้ง กําลังทหารทั้งหมดเคลื่อนพลมาอย่างพร้อมพรัก และได้มาถึงหน้าเมืองต้าเซี่ยง รุกรานหัวเมืองและยึดครองอาณาเขต กวาดล้างทุกสิ่งที่ขวางทาง
ในแดนใต้มีแหล่งนํ้ามากมาย แต่ไม่มีที่ไหนที่เป็นป้อมปราการธรรมชาติอันยากจะฝ่าฟันได้เหมือนกับแม่นํ้าหย่ง ดังนั้นพวกเขาจึงยากจะป้องกันกองทัพจักรวรรดิสันตินิรันดร์
ฉินมู่ได้ช่วยจักรวรรดินิรันดร์เป็นอย่างมากโดยการอัญเชิญราชามารตู้เถียนเพื่อทําลายเมืองคลื่นสวรรค์ จุดยุทธศาสตร์สำคัญ อันก่อสร้างเหนือป้อมปราการธรรมชาติเช่นนั้นแต่ทว่าเขาไม่อาจอ้างความชอบจากเรื่องนี้ได้
ในวันที่ 5 ฉินมู่และคนอื่นๆ มาถึงเมืองเต็มพิกัด และเมืองเต็มพิกัดก็ถูกยึดครองเช่นกัน
ขณะที่พวกเขาเข้าเมืองนั่นเอง ก็เห็นขอทานสวมใส่เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งและเต็มไปด้วยรอยปะเย็บผ้า ในมือเขาถือขันใบหนึ่งและเดินยักแย่ยักยันบนไม้เท้า เมื่อเขาเข้ามาใกล้คณะเดินทาง หลวงจีนอวิ๋นฉื้อก็ตบหาตามกระเป๋าของเขาดูว่าพอจะมีเศษเงินอยู่หรือไม่ ฮู่หลิงเอ๋อล้วงเหรียญสมบูรณ์พูนสุขออกมาหนึ่งเหรียญและยื่นให้อวิ๋นฉื้อ อวิ๋นฉื้อกล่าวขอบคุณแล้ววางเหรียญนั้นลงไปในขันของขอทาน
ขอทานเฒ่าเขย่าขันและเหรียญในนั้นก็กลิ้งไปมาดังกรุ๋งกริ๋ง เขาฉีกยิ้มกว้าง “พวกเจ้าเป็นคนใจดีมีเมตตา จะต้องมีลูกหลานมากมายและรํ่ารวยรุ่งเรืองเป็นแน่ ราชครู ข้าจะรบกวนให้ท่านไปยังต้าเซี่ยงได้หรือไม่ ในเมืองต้าเซี่ยง ทางเลือกที่ 2 วีรชนทั้งโลกหล้าจะพบปะกับราชครูที่นั่น พวกเราจะรอการมาเยือนของเจ้า!”
ราชครูสันตินิรันดร์ปรายตามองเขาและกล่าวอย่างไม่สะทกสะท้าน “ทําไมพวกเจ้าไม่รออีกสามสี่วันล่ะ หากว่าพวกเจ้ารออีกหน่อย กองทัพของข้าก็จะยาตราไปถึงต้าหลี่ และพบปะกับเหล่าวีรชนที่ว่าในต้าหลี่ จากนั้นจะได้โยนร่างของพวกเขาลงทะเลใต้ให้เป็นเหยื่อปลา ช่วยประหยัดแรงและเวลาพวกเราในการกลบฝังพวกเขา นี่ไม่ดีกว่าหรือ”
ขอทานเฒ่าหัวเราะด้วยเสียงอันดัง และมีเสียงประตู 7 บานเปิดกึกก้องมาจากในร่างของเขา รัศมีของเขาก็พวยพุ่งสูงส่งขึ้นมา พลังวัตรของเขาหนาแน่นอย่างยิ่ง จิตวิญญาณเขาไม่ต่างอะไรจากเทพยดาที่มองสรรพสัตว์ด้วยสายตาอันหมิ่นแคลน มันไม่เหมือนจิตวิญญาณของคนที่หาเลี้ยงชีพด้วยการขอทานแต่กลับเหมือนเทพเจ้าผู้ได้รับการกราบไหว้บูชาจากสรรพชีวิต!
“ราชครูยังคงห้าวหาญเหมือนเคย เมืองต้าเซี่ยง ข้าจะรอเจ้าที่นั่น!”
ขณะที่เขากําลังจะจากไป เขาก็พลันได้ยินเสียง
“ช้าก่อน”
ขอทานเฒ่านั่งยองๆ ลงแล้วหันหน้าไปมองฉินมู่ด้วยสีหน้าพิศวง
โดยไม่เปลี่ยนสีหน้า ฉินมู่กล่าวด้วยเสียงเบา “หลิงเอ๋อ เอาเงินกลับมา เขารวยกว่าพวกเราเยอะ”
ฮู่หลิงเอ๋อรีบก้าวเข้าไปและหยิบเหรียญสมบูรณ์พูนสุขออกจากขันแตกๆ ขอทานเฒ่าโลดเต้นด้วยความเดือดดาลทันที “เจ้า ยังมีหน้าเอาเงินที่ให้ขอทานคืนกลับไปอีกเรอะ เจ้ามันไร้สมรรถภาพ! ไร้สมรรถภาพ!”
“ขอทานตัวเหม็น ด่าทอพวกเราหรือ”
ฮู่หลิงเอ๋อหันกลับไปถามฉินมู่ “คุณชาย ไร้สมรรถภาพคืออะไรหรือ”
ฉินมู่กล่าว “ไร้สมรรถภาพหมายถึง เจ้าไม่อาจให้กําเนิดทายาท”
“เขาด่าทอพวกเราจริงๆ ด้วย!”
ฮู่หลิงเอ๋อโกรธจนเนื้อเต้นและถุยนํ้าลายใส่หน้าขอทานเฒ่า ขอทานเฒ่าผู้นั้นไม่หลบหลีก และเพียงแต่หัวเราะในคอ “จิ้งจอกน้อย เจ้าตอแยข้า เตรียมตัวเป็นเนื้อย่างได้!”
หลังจากที่เขากล่าวจบ เขาก็ทะยานแหวกอากาศไปในพริบตา
ฮู่หลิงเอ๋อถ่มถุย “เขากล้าดีมากจากไหนถึงด่าทอและแช่งชักข้า ทั้งๆ ที่เขาเพิ่งหลอกเอาเงินข้าไปเมื่อกี้ ไอ้ขอทานไร้สมรรถภาพ!”
ราชครูสันตินิรันดร์ก์ล่าว “เจ้าควรระมัดระวังมากกว่านี้ นั่นคือเจ้าสํานักฉีต้าโหย่วแห่งสํานักกระยาจก สํานักกระยาจกนั้นจิตใจคับแคบและเชี่ยวชาญวิชาชั่วร้าย หากว่าเจ้าไม่ให้ทานพวกเขา พวกเขาก็จะอาละวาดก่อกวนหน้าร้าน หรือมิเช่นนั้นก็ใช้วิชาชั่วร้ายทําร้ายผู้คน หลังจากที่ทําลายธุรกิจของเจ้า พวกเขาก็ยังด่าทอเจ้าลับหลังอีก และถึงกับขโมยบุตรธิดาผู้อื่นไปขาย ในลัทธิมารฟ้าก็มีโถงกระยาจก อันเป็นคู่แข่งขับเคี่ยวกับพวกเขา โถงกระยาจกนั้นเพียงแต่ขออาหาร และไม่ค่อยทําเรื่องชั่ว แต่กระนั้นพวกเขาก็พลอยเสียชื่อไปด้วยจากพฤติการณ์ของสํานักกระยาจก”
ฉินมู่กะพริบตาปริบๆ แล้วยิ้มแย้ม “ราชครู พวกเราอยู่ไม่ไกลจากต้าเซี่ยงแล้ว และมาส่งท่านแค่นี้ก็น่าจะเพียงพอ พวกเราควรกลับไปที่มหาวิยาลัยจักรวรรดิ”
ราชครูสันตินิรันดร์ตอบด้วยหน้านิ่ง “ไม่ เจ้าต้องตามข้าไปที่ต้าเซี่ยง”
ฉินมู่ปวดหัวตึ้บ เมื่อทุกคนเข้าที่พักเขาก็ออกไปข้างนอกแต่ลําพังและไปยังบ่อนพนันในเมืองเต็มพิกัด เขาตามตัวเจ้าของบ่อนมาและออกคําสั่ง “ถ่ายทอดคําสั่งข้า ให้โถงทั้ง 360 ของลัทธิศักดิ์สิทธิ์เรามาที่นี่ด้วยธงเคลื่อนย้ายระยะไกล…”
“ช้าก่อน!”
เสียงของซีอวิ๋นเซี่ยงดังมาจากข้างหลังฉินมู่ ฉินมู่หันกลับไปดู และเห็นซีอวิ๋นเซี่ยงเดินเข้ามา กิริยาเอียงอายของนางเมื่อครั้งก่อนหลายวับไปราวเล่นกล และนางก็กล่าวอย่างเย็นชา “จ้าวลัทธิศักดิ์สิทธิ์ หากเจ้าทําเช่นนั้น เจ้าก็จะลากลัทธิศักดิ์สิทธิ์เราเข้าไปในอันตรายด้วย หากว่าลัทธิศักดิ์สิทธิ์เราเกิดความเสียหายขึ้นมาใครจะรับผิดชอบ”
ฉินมู่หันกลับไปเต็มกายและกล่าวอย่างไร้อารมณ์ “ธิดาเทพ ข้าเป็นจ้าวลัทธินะ”
ซีอวิ๋นเซี่ยงยิ้มอย่างหวานหยดย้อย “ธิดาเทพซีอวิ๋นเซี่ยงน้อมพบท่านจ้าวลัทธิ”
สีหน้านางแปรเปลี่ยนเป็นเย็นเยียบ “หากจ้าวลัทธิให้ลัทธิศักดิ์สิทธิ์เราช่วยเหลือราชครูสันตินิรันดร์ ไม่ว่าราชครูสันตินิรันดร์จะชนะหรือพ่ายแพ้ ลัทธิศักดิ์สิทธิ์เราก็จะสูญเสียงชื่อเสียงทั้งหมดในยุทธจักร พวกเราจะถูกเย้ยหยันและมองว่าเป็นศัตรูกับทุกสํานัก และจะไม่มีที่หยั่งเท้าในโลกหล้าอีกต่อไป!”
ฉินมู่ส่ายศีรษะ “ลัทธิศักดิ์สิทธิ์เราตอนนี้ก็กลายเป็นลัทธิมารฟ้าไปแล้วจะเอาชื่อเสียงที่ไหนมาเสื่อมเสียอีก ผู้คนไม่ให้ที่หยั่งเท้ากับเจ้าหรอก พวกเราต้องต่อสู้ฝ่าฟันมาด้วยตนเอง นี่คือโอกาสหายากและหากลัทธิศักดิ์สิทธิ์เราไม่เข้าร่วมในเรื่องนี้ พวกเราก็คงจะไม่เหลือที่หยัดยืนจริงๆ”
ซีอวิ๋นเซี่ยงโต้แย้ง “แล้วหากว่าราชครูสันตินิรันดร์ยื่นมือเข้ามาจัดการกับลัทธินักบุญสวรรค์เราหลังจากที่เขากวาดล้างทุกสํานักในโลกหล้าแล้วล่ะ? เจ้าจะรับผิดชอบเรื่องนี้ไหวไหม”
ฉินมู่เหลือบแลนาง “ข้าจะรับผิดชอบ”
สีหน้าของซีอวิ๋นเซี่ยงแปรเปลี่ยนอีกครา และพลันเผยยิ้มบางเบา “เจ้าเป็นจ้าวลัทธิ ก็สมควรแล้วที่จะเป็นผู้ตัดสินใจ ซีอวิ๋นเซี่ยงคงไม่กล่าวอะไรอีก แต่หากว่าท่านจ้าวลัทธิเดินหมากพลาดและทําให้ลัทธิศักดิ์สิทธิ์เราตกในอันตราย บางทีท่านจ้าวลัทธิอาจจะเป็นจ้าวลัทธิศักดิ์สิทธิ์คนที่ 2 ที่ถูกธิดาเทพสังหาร”
ฉินมู่ขมวดคิ้ว ตําแหน่งจ้าวลัทธิศักดิ์สิทธิ์แห่งลัทธิมารฟ้าเป็นตําแหน่งที่อันตรายเสียจริง จะถูกฆ่าตอนไหนก็ได้เมื่อทําอะไรผิดพลาด
ซีอวิ๋นเซี่ยงยิ้มเอียงอาย “จ้าวลัทธิคนก่อนตายเพราะหื่นกามเกินไป และจ้าวลัทธิคนปัจจุบันก็จะถูกทุบตีให้ตายด้วยมือธิดาเทพ ชื่อเสียงของพวกเขา 2 คนก็ไม่ค่อยดีเลยนะ”
ฉินมู่ส่ายหน้าและโบกมือ “ธิดาเทพ เจ้าออกไปได้ ถ่ายทอดคําสั่งข้า ให้หัวหน้าโถงทั้ง 360 มาที่นี่ด้วยธงเคลื่อนย้ายระยะไกล! เชิญผู้พิทักษ์ทั้ง 2 ด้วย!”
เจ้าของบ่อนพนันโค้งคารวะ “รับบัญชาท่านจ้าวลัทธิ!”
ฉินมู่เดินออกมาจากบ่อนพนันและเห็นซีอวิ๋นเซี่ยงยืนอยู่ข้างนอกเมื่อนางเห็นเขาเดินออกมา นางก็หัวเราะคิก “โดนทุบจนตาย…”
ฉินมู่ถลึงตาใส่นางแล้วเดินไปข้างหน้า “เจ้าจะตามมาไหม”
ซีอวิ๋นเซี่ยงเดินตามเขาพลางเหลือกตาใส่ “จ้าวลัทธิจะเอาคัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิตไปเก็บไว้ในลัทธิก่อนไหม เผื่อว่ามันจะหายไปตอนที่จ้าวลัทธิตกตาย”
ฉินมู่ชะงักเท้าแล้วหันกลับไป กล่าวด้วยนํ้าเสียงเคร่งเครียด “น้องสาว เจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า หากข้าคาดคํานวณไม่ผิด เจ้ามาสังหารข้าก็มีผลลัพธ์เดียวคือถูกข้าสังหารเท่านั้น เจ้า…”
เขาใช้ปราณชีวิตวาดสามเหลี่ยมบนท้องฟ้า จากนั้นวาดเส้นตรงผ่าครึ่งสามเหลี่ยม “นี่คือเจ้า”
จากนั้นเขาวาดเส้นตรงอีกเส้น “นี่คือข้า! ไม่ว่ามุมของเจ้าจะกว้างสักเท่าไร เส้นของเจ้าก็ไม่มีทางยาวเท่ากับข้า!”
กล่องกระบี่ที่ซีอวิ๋นเซี่ยงแบกอยู่สั่นระริกและมีเสียงติงตังดังมาจากข้างใน นางแย้มยิ้มอย่างหวานหยด “ถ้าไม่ลอง พวกเราจะรู้ได้อย่างไร”
ฉินมือยืนไพล่หลังแล้วก้าวไปข้างหน้าอย่างผยอง “ไม่มีความจําเป็นต้องทดลอง ในวรยุทธ์ขั้นเดียวกัน ไม่มีใครที่เป็นคู่ต่อสู้ข้าได้ เจ้าก็ไม่ได้ ไม่แม้แต่ราชครู”
เขาหยุดเดินแล้วเงยหน้ามองท้องฟ้าด้วยสีหน้าอันแฝงความเดียวดาย “ข้าคือกายาจ้าวแดนดิน”
ฉินมู่ก้มหัวลงแล้วถอนหายใจ “กายาจ้าวแดนดินเพียงหนึ่งเดียวในโลกหล้า…”
ซีอวิ๋นเซี่ยงตกตะลึงและหมายจะลงมือต่อสู้ แต่นางถูกท่วงทีอันโอ่อ่าน่าเกรงขามของเขาทําให้หวั่นไหว
นั่นเป็นรัศมีของความเดียวดายเพราะไร้เทียมทาน
กายาจ้าวแดนดิน? กายาอะไรกัน มันแข็งแกร่งกว่าสี่มหากายาศักดิ์สิทธิ์ห์รืออย่างไร
นางครุ่นคิดในใจ หรือที่ปรมาจารย์เลือกเขาไม่ใช่ข้าให้เป็นจ้าวลัทธิ ก็เพราะกายาจ้าวแดนดินของเขา?