Skip to content

Tales of Herding Gods 198

ตอนที่ 198 แสนยานุภาพของลัทธิมารฟ้า

ฉินมู่หน้าแดงนิดๆ “ก็ไม่มาก มีแค่ 9 คน”

“มีผู้เฒ่าแบบนี้ถึง 9 คน?”

ราชครูสันตินิรันดร์ฟังแล้วก็ตะลึงลาน มีผู้คนแบบเฒ่าใบ้อยู่ถึง 9 คน? ถ้าเป็นเช่นนั้น ปูมหลังที่มาของจ้าวลัทธิมารฟ้าผู้นี้จะไม่น่ากลัวเกินไปหน่อยหรือ!

“ยังมีอีก 9 คนที่วรยุทธ์ทัดเทียมข้า หนทางของข้าไม่เดียวดายอีกต่อไป”

ราชครูสันตินิรันดร์เผยยิ้มปลื้ม “ข้าคิดว่านอกจากข้าแล้วไม่มีใครอื่นที่ก้าวเดินจนถึงจุดนี้ ตอนนี้จิตใจข้าก็พลันรู้สึกสงบขึ้นมา…”

ฉินมู่มองไปที่เขาอย่างสงสัยใคร่รู้ และครุ่นคิดว่าเขาจะถูกทุบตีจนน่วมไหมหากว่าเขาใช้เนตรสวรรค์เขียวมองดูราชครูสันตินิรันดร์ในตอนนี้

เขาอยากเห็นจริงๆ เผื่อว่าราชครูสันตินิรันดร์จะเป็นตัวตนระดับเดียวกับผู้ใหญ่บ้าน

แต่ทว่าเขาไม่อาจมองทะลุราชครูสันตินิรันดร์ได้ ไม่อาจมองทะลุวรยุทธ์ของคนผู้นี้ ไม่อาจมองทะลุนิสัยใจคอ บุคคลนี้มีจุดขัดแย้งในตัวมากเกินไป

หากว่าเขาใช้เนตรสวรรค์เขาหยั่งพลังของอีกฝ่าย ราชครูอาจจะฉีกหน้ายักษ์เข้าใส่

“ราชครู เจ้าวังสนทนากับเจ้า ไฉนเจ้าไม่ตอบ”

ฉินมู่มองไปยังที่มาของเสียง และเห็นว่าผู้พูดนั้นกําลังเดินลงมาจากแท่นลาน เขาสวมใส่หน้ากากทองแดงอันเป็นเอกลักษณ์อย่างยิ่ง รูปลักษณ์ของหน้ากากมีเครื่องหน้าอันขยายเน้นเป็นพิเศษ และมีหูอันยาวและกว้างใหญ่ จมูกงุ้มเหมือนจะงอยเหยี่ยว ปากกว้างอ้า และดวงตาอันคล้ายแท่งเสา คิ้วหนาเทอะทะ และมีรูบนหน้าผากราวกับว่าตระเตรียมเพื่อดวงตาอื่น

เมื่อฉินมู่เห็นหน้าผากใต้หน้ากากเขาก็เห็นดวงตาที่ 3 งอกเงยอยู่ข้างใต้นั้นจริงๆ

บุคคลผู้นี้มีดวงตางอกอยู่ใจกลางระหว่างคิ้ว!

“นี่เป็นวิชาอะไรกัน” เขาอึ้งไปเล็กน้อย

ราชครูสันตินิรันดร์มองไปยังชายในหน้ากากทองแดง และสายตาของเขาเลยผ่านไปจับจ้องเจ้าวังพรากกิเลสชุ่ยตี้อี้ “เจ้าวัง ชุ่ยแห่งวังพรากกิเลส วิชาลับกระบี่สวรรค์พรากความชังของเจ้าก็เทียบเท่ากับวิชากระบี่อันประทานลงมาจากมือเทพยดา”

สายตาของเขาทอดลงไปจับกับอีกคน

“นายปราสาทรถศึกเฉอเจิ้งหลี่ นายปราสาทหยกอวี้ชิงเฉิง นายปราสาทดําหลี่เฟย”  เขาทักทายจากนั้นกล่าวต่อ “วิชาของนายปราสาทหลี่คือกฎสวรรค์ผนึกมารปริศนา วิชาในการปิดผนึกฝ่ายมารของสํานักเต๋า วิชาของนายปราสาทอวี้คือวิชา 5 แมลงแปลงมังกร ซึ่งเพาะเลี้ยงแมลงพิษจนกระทั่งมันกลายเป็นมังกร นายปราสาทหลี่เจ้าฝึกปรือยาพิษ และใช้เพื่อวิชาอะไรข้าก็ไม่ทราบชัด”

นายปราสาทหลี่หัวเราะในคอ “ในโลกนี้ยังมีวิชาที่ราชครูไม่รู้จักอีกรึ วิชาของข้าเรียกว่า 3 เซียนปริศนาเปลี่ยนพิษ อันโดดเด่นในด้านการเปลี่ยนแปลงยาพิษให้เป็นพละกําลัง”

สายตาของราชครูสันตินิรันดร์เปลี่ยนไปจับจ้องอีกคนหนึ่ง “อาจารย์วิญญาณเต๋าฉวนมักจะคอยเยียวยาคนไข้และช่วยชีวิตคนเจ็บ ไฉนท่านถึงมาร่วมก่อกบฏกับเขาด้วย เมื่อ 10 ปีก่อนแม่นํ้าหย่งเกิดอุทกภัยทําให้มีโรคาพยาธิระบาดหนัก โรคระบาดแพร่กระจายไปทั่วแดนใต้อาจารย์วิญญาณรักษาผู้คนและ แจกจ่ายยาโดยไม่คิดเงินทอง สั่งสมชื่อเสียงเกียรติคุณในโลกหล้าข้าหมายจะเชื้อเชิญท่านมาขึ้นตําแหน่งที่มหาวิทยาลัยจักรวรรดิ แต่ท่านกลับปฏิเสธ ดังนั้นท่านจึงได้รับการแต่งตั้งสมัญญานาม อาจารย์วิญญาณเท่านั้น”

อาจารย์วิญญาณเต๋าฉวนกล่าวอย่างเคร่งขรึม “เมื่อหนทางเราแตกต่าง จึงมิอาจร่วมงานกัน ราชครู ข้านั้นได้ปฏิเสธข้อเสนอของท่านในครั้งนั้นเพราะข้าเล็งเห็นว่าท่านและข้าเดินทางเต๋าคนละทิศ ท่านนั้นโหดเหี้ยมเกินไป หมายจะขจัดทุกสํานักในโลกหล้าให้สิ้นเชื้อ ดังนั้นข้าจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากออกมาหยุดยั้งท่าน”

ราชครูสันตินิรันดร์นิ่งไปครู่ “ข้าทําลายล้างทุกสํานักในโลกหล้าเพื่อเยียวยาผู้คนทั่วแดนดิน ท่านไม่เห็นสิ่งที่ข้าทําหรือ”

อาจารย์วิญญาณเต๋าฉวนกล่าว “ท่านทําได้ดี แต่เดิมทีในโลกนี้มีผู้ที่เป็นนักปรุงยาอยู่น้อยนิด แต่ในปัจจุบัน พวกเขามีมากมายเหมือนกับขนวัว แม้แต่บนเรือเหาะก็ต้องมีนักปรุงยาและทารกยาประจําการในทุกๆ ลํา ทําให้เดี๋ยวนี้โรคระบาดไม่ร้ายแรงขยายวงเหมือนแต่ก่อน แต่ทว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมา หมอทั้งหลายที่มหาวิทยาลัยจักรวรรดิสอนสั่งและผลิตออกมาก็มีแต่นักต้มตุ๋น ไม่มีเลยสักคนที่จะนับได้ว่าเป็นหมอเทวะ เจ้าไม่อาจปฏิเสธข้อนี้ได้”

“ดูเหมือนว่าหนทางเต๋าของท่านจะแตกต่างจากข้า” ราชครูสันตินิรันดร์มองไปยังผู้คนอีกแถวหนึ่งแล้วกล่าว “ขุนนางชั้นสูงหม่าเหลียนซาน ใต้เท้าหม่า”

“มิกล้าๆ” หม่าเหลียนซานกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ราชครู ตําแหน่งขุนนางของข้าท่านเป็นผู้แนะนําอุ้มชู แต่ข้าก็มีสํานักของข้า ข้ามาจากภูเขาจงหนาน ฝึกวิชากระบี่หนานหมิงห้าลี่”

ราชครูสันตินิรันดร์ก์ล่าว “ข้าได้ร้องขอให้ฝ่าบาทแต่งตั้งท่านเป็นขุนนาง ก็เพราะว่าท่านเป็นผู้ทรงธรรมและปราศจากความลําเอียง ยิ่งไปกว่านั้นฝีมือในการนําทัพของท่านนั้นก็ดีเยี่ยม เดิมทีข้าคิดว่าท่านจะสามารถละทิ้งอคติของสํานัก แต่ท่านกลับกลายเป็นกบฏ ทําให้ข้าปวดหัวใจนัก ในฐานะขุนนางท่านกระทําหน้าที่ด้วยดีมาตลอด และผู้คนต่างก็สรรเสริญท่าน”

หม่าเหลียนซานส่ายหน้า “ข้าจะเป็นขุนนางนํ้าดีที่มาก่อกบฏเพียงคนเดียวได้อย่างไร ราชครู ท่านควรตรึกตรองความผิดพลาดของตน”

ราชครูสันตินิรันดร์กล่าวด้วยสีหน้าแข็งทื่อ “กิ่งไม้เน่าก็ต้องตัดทิ้ง หากว่าจิตใจของผู้คนมัวเมาอยู่แต่กับของเก่าและเน่าเปื่อยไป พวกเราจะปฏิรูปกันได้อย่างไร ถ้าพวกเราเพียงแค่ริเริ่มการปฏิรูป และมิได้พลิกชีวิตของผู้คนที่กําลังเน่าเปื่อย โลกนี้ก็คงยากจะสุขสงบ แม้ว่าเจ้าจะเป็นคนดี แต่บัดนี้เจ้ากีดขวางทางข้า”

เขามองไปยังคนอื่นๆ แล้วกล่าว “สํานักกระยาจกฉีต้าโหย่ว เจ้าสํานักฉี วิชาปริศนาร้อยยาจก สํานักคว้าดาราสวรรค์ เจ้าสํานักลั่วซิ่งเหอ วิชาปริศนาคว้าดาราสวรรค์ วัดมหาพลานุภาพ ไต้ซือจื่อกง มุทราสี่คาถาพยุหะทลายอนัตตา วัดมหาโปตลา ไต้ซือหงฝ่า วิชาพุทธองค์โพธิ์ชีวา วัดวรตทะเลใต้ ไต้ซือฮุยอิ๋น วิชาวัชราไร้พ่าย และยังมีศากยมุนีเสวียนคงผู้ซึ่งเดิมทีเป็นเจ้าผู้ครอง ประเทศเสวียนคง เจ้าผู้ครองประเทศนานจิง ต้วนอิ๋น เจ้าผู้ครองประเทศไซฝาน นูนูฮู่เอ๋อ เช่นเดียวกับ 3 ผู้อาวุโสจากรุ่นเก่าก่อน”

สายตาของเขาหยุดยั้งที่ 2 ชายชราและ 1 หญิงเฒ่า “ทั้ง 3 ท่านมาจากรุ่นเก่าก่อนและนับว่าโบราณเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ก็คงนับว่าอายุเจ็ดร้อยแปดร้อยปีใช่หรือไม่ หลังจากใช้ชีวิตมาตั้ง 800 ปี พวกท่านก็มาถึงจุดสิ้นสุดอายุขัย ข้าเรียนถามได้หรือไม่ว่าพวกท่านยังเหลือเวลาในชีวิตอีกกี่ปี”

ผู้เฒ่าผิวดําเตี้ย และผอมแย้มยิ้ม “ข้าคือคนพเนจรซานเอี้ย ผู้คนเรียกข้าว่าคนพเนจรหลี่ ข้ายังคงเหลืออายุขัยอีก 16 ปี อันที่จริงแล้วจะเรียกว่าว่าคนพเนจรก็ไม่ถูกนัก ประเทศฉู่อวิ๋น ประเทศเล็กๆ ที่ราชครูทําลายล้าง ก็เป็นประเทศที่ข้าเป็นผู้ก่อตั้ง”

“ข้าคือผู้เที่ยงแท้เถียน” หญิงเฒ่าฉีกยิ้ม “ข้าชมชอบการเพาะเลี้ยงแมลง อันราชครูก็น่าจะเคยเห็นมาก่อนแล้ว นายปราสาทอวี้แห่งปราสาท 3 มหัศจรรย์คือบุตรชายของข้า”

ผู้เฒ่าร่างอ้วนกลมกล่าว “ข้าไม่มีความเป็นมาอันยิ่งใหญ่เหมือนพวกเขา ข้าคืออาจารย์ยากจน อย่าดูแคลนว่าข้าอ้วน เทอะทะและล้มละลายเพราะตามใจปาก พวกเราฝึกปรือวิชาหลักเหตุผลยากจน ดังนั้นยิ่งพวกเรายากจนมากเท่าไร พวกเราก็ยิ่งมีหลักเหตุผลสูงเท่านั้น”

“อาจารย์ยากจนล้อเล่นแล้ว” ราชครูสันตินิรันดร์กล่าวด้วยนํ้าเสียงขรึม “เมื่อท่านเห็นสิ่งต่างๆ ผ่านสายตาของยาจก ท่านก็น่าจะลงแรงเสาะแสวงความรู้อันได้มาจากการไตร่ตรองพิจารณาสรรพสิ่ง ข้ารู้หลักเหตุผลนี้ แต่ว่าท่านเป็นอาจารย์สั่งสอนผู้คน ทําไมท่านจึงก่อกบฏ”

อาจารย์ยากจนส่ายหน้า “เมื่อเจ้าตกยากจงบ่มเพาะนิสัยที่ดี เมื่อเจ้าขึ้นสู่อํานาจโลกก็จะมีนิสัยเดียวกับเจ้า ราชครู เมื่ออํานาจของเจ้ายิ่งใหญ่เกินไป โลกนี้ก็มีแต่จะสูญเสียประโยชน์ ข้าก่อกบฏนั้นมิใช่เพื่อผลประโยชน์ส่วนตนแต่เหมือนกับพวกเขา ข้าทํามันเพื่อจักรวรรดิสันตินิรันดร์ แม้ว่าบัดนี้เจ้าจะมีอิทธิพลอํานาจอันเหลือล้นแต่พวกเราก็ยังพอกําจัดเจ้าได้ หากว่าปล่อยไปอีกสองสามปี เจ้าก็คงจะกลายเป็นจักรพรรดิ”

ราชครูสันตินิรันดร์เหยียดยืนตรงที่ยอดเขา และเสียงอันเรียบนิ่งไร้อารมณ์ของเขาก็ก้องกระจายไปทั่วทิศ “มีใครอีกไหมที่ต่อต้านข้า”

เสียงพลันเซ็งแซ่จากจุดต่างๆ ในเมืองต้าเซี่ยง “ข้า”

“เหลียวหยินฉื่อแห่งสํานักเซียนสวรรค์กล้าต่อต้านราชครู!”

“ยอดอาจารย์ชุ่ยฉื่อหมิงกล้าต่อต้านราชครู!”

“ขุนนางแห่งอู๋หลิงนามซานหมู่กล้าต่อต้านราชครู!”

“ตึกตู้หู นายรองชิงหมิงเยว่กล้าต่อต้านราชครู!”

“ผู้ว่าการชนบทอู๋หยิงนามเฉินเหยากล้าต่อต้านราชครู!”

เสียงเหล่านั้นดังมาจากเมืองต้าเซี่ยง และพวกเขาล้วนแต่เป็นยอดฝีมือขั้นเป็นตายและขั้นชาวสวรรค์ เมื่อผู้หนึ่งกล่าวประโยคของตนจบ อีกเสียงหนึ่งก็จะกล่าวต่ออย่างไม่รอช้า แสดงการต่อต้านต่อๆ กันอย่างไม่สิ้นสุด การประกาศนี้ยิ่งมาก็ยิ่งทวีพลังอํานาจ บีบคั้นหัวใจผู้คนและทําให้พวกเขายิ่งฮึกเหิม

ชายในหน้ากากทองแดงก็รู้สึกโลหิตพลุ่งพล่านและกล่าวด้วยเสียงอันกึกก้อง “ราชครู เจ้าเห็นหรือไม่ว่าเจ้านั้นเป็นที่ชิงชังมากเพียงไหน ทุกผู้คนในโลกหล้าล้วนแต่คิดฆ่าเจ้า เจ้ายังเสนอหน้ามีชีวิตอยู่ต่ออีกหรือ”

ราชครูสันตินิรันดร์มีสีหน้าไร้อารมณ์และกล่าวอย่างไม่ยี่หระ “ทุกผู้คนในโลกหล้า? ผู้คนในเมืองนี้แค่ไม่กี่แสนคนคู่ควรที่จะเรียกว่าทุกผู้คนในโลกหล้างั้นหรือ พวกเขาเป็นเพียงกลุ่มคนอันไร้ราคาที่ควรแก่การส่งไปสู่สุคติ ต่อเมื่อพวกเจ้าตายกันหมด โลกนี้จึงจะสงบสุข”

“ถ้าเช่นนั้น จุดจบเรื่องนี้ก็มีเพียงแต่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งถูกกําจัดจนสิ้นซาก” ชายในหน้ากากทองแดงกล่าว “บนภูเขานี้ได้จัดวางผนึกคุกสวรรค์เอาไว้แล้ว เป็นอาณาเขต 300 ไร่ ไม่ต้องกังวลว่าการต่อสู้ของพวกเราจะทําให้เหล่าทหารข้างนอกบาดเจ็บ คราวนี้…พวกเราจะไม่พูดถึงคุณธรรมความดีและความยุติธรรมของยุทธจักร และไม่พูดถึงกฎยุทธจักร”

ฉินมู่ระบายลมหายใจโล่งอก แล้วส่งยิ้มให้ซีอวิ๋นเซี่ยง “ถ้าเป็นแบบนี้ ข้าก็ค่อยโล่งใจหน่อย”

หลวงจีนอวิ๋นฉื้อมีสีหน้าซีดเผือดและพูดตะกุกตะกัก “จะ..เจ้า หมายความว่าอย่างไรที่ว่าโล่งใจ พวกเราถูกขังไว้ในเขตผนึก และจะเป็นพวกแรกที่ตายจากแรงหางเลขการสัประยุทธ์ เจ้ายังจําเมืองคลื่นสวรรค์ได้ไหม การสัประยุทธ์นี้จะต้องร้ายกาจน่าหวาดสยองหลายเท่ากว่าสถานการณ์ที่เมืองคลื่นสวรรค์!”

เยว่ชิงหงและคนอื่นๆ ก็มีสีหน้าซีด เพียงแค่พลานุภาพบางส่วนของราชามารตู้เถียนอันจุติลงมายังเมืองคลื่นสวรรค์ และต่อสู้กับเจ้าสํานักขี่มังกรและยอดฝีมือระดับจ้าวลัทธิอีกคน กระนั้นพลังทําลายล้างที่กระเซ็นกระสายออกมารอบข้างก็ร้ายแรงเกินจินตนาการแล้ว แม้แต่กิเลนมังกรซึ่งแข็งแกร่งทรงพลังเป็นอย่างยิ่ง ก็ยังไม่อาจทนทานได้

หากว่าการต่อสู้ครั้งใหญ่ปะทุขึ้นที่นี่ พลังทําลายล้างย่อมร้ายแรงกว่าหลายเท่าตัว!

ทว่าพื้นที่ 300 ไร่นี้ถูกผนึกเอาไว้ อันแปลว่าแรงสะเทือนจากการปะทะต่อยตีของยอดฝีมือก็จะสะท้อนไปๆ มาๆ ในพื้นที่อันจํากัดดังกล่าว และทําลายทุกสิ่งจนแหลกเหลว!

เมื่อเวลานั้นมาถึง แม้แต่กิเลนมังกรก็คงกลายเป็นเนื้อบด!

ในจังหวะนั้นเอง ธงใหญ่พลันปลิวไสวข้างนอกเมือง และขยายคลุมพื้นที่กว้างใหญ่ไร้ขอบเขต ยาวเป็นร้อยลี้

ชายหน้ากากทองแดงและคนอื่นๆ ที่ยืนอยู่สูงขึ้นไปบนรูปเงามารและเทพต่างมีสีหน้าแปรเปลี่ยนอย่างรุนแรงเมื่อพวกเขาเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น ธงมหึมาที่ยาวกว่าร้อยลี้นั้นปลิวสะบัดและคลี่คลุมค่ายทหารของศัตรู ที่ซ่อนอยู่ใต้ธงนั้นคือม้าศึก และทหารนับไม่ถ้วน

ชายหน้ากากทองแดงกําลังจะตะโกนบอกให้ทุกคนระวังตัว แต่ทันใดนั้นธงมหึมาก็ม้วนเก็บ และปรากฏธงใหญ่ 360 ธง ขึ้นมาในตัวเมือง ผู้คนประหลาดซึ่งสวมใส่หมวกไม้ไผ่สานและแบกถุงผ้าก็พลันโบกธง และกองทัพจักรวรรดิสันตินิรันดร์นับหมื่นก็พลันปรากฏขึ้นมาภายในเมือง

ในตอนนั้นเองที่ชายในหน้ากากทองแดงเพิ่งกล่าว “ระวัง..”

แต่ทว่ามันสายไปเสียแล้ว

เมื่อคนประหลาด 360 คนม้วนธงใหญ่ของตนเก็บ สิ่งมีชีวิตอันมีหน้าตาดุร้ายถมึงทึงก็ปรากฏตัว พวกมันถืออาวุธต่างๆ นานา และจิตสังหารของพวกมันก็แผ่ทะมึนคลุมฟากฟ้า

ภายใต้ทิวธง ยักษ์เกราะทองก็ปรากฏพร้อมกับรถศึกทะลวงเมือง ที่ท้ายเรือเหาะทั้งหลาย รูปปั้นทองแดงสัตว์วายุก็เริ่มพ่นเปลวไฟขับเคลื่อน กองกําลังนกยักษ์ก็โบกปีกกระพือ สร้างกระแสลมเป่าแรงไปทั่วพื้น

เมื่อธงใหญ่ม้วนกลับและหดเล็กลง เสียงการต่อสู้ฆ่าฟันก็เริ่มต้นไปแล้ว กระบี่คมกริบแล่นออกจากฝักเสียงติงตังอาวุธปะทะนั้นดังมาพร้อมกับเสียงกู่คํารามสะท้านโลก

ชั่ววินาทีนี้ดูราวจะผ่านไปอย่างเชื่องช้าเป็นอย่างยิ่ง เชื่องช้าขนาดที่ว่าสีหน้าอันแปรเปลี่ยนไปของแต่ละผู้คนสามารถเห็นได้ชัดถนัดตา จากดุร้าย เป็นกินเลือดกินเนื้อ จากเหม่อทื่อ เป็นหวาดผวา

กระบี่บินมากมายพวยพุ่งด้วยแสงโลหิต เมื่อมันทะลวงเฉือนร่างมนุษย์ กระชากเลือดให้กระเซ็นไปในอากาศ ศีรษะคนที่กระเด็นปลิวจากบ่า ดูๆ ไปก็สวยงามราวจิตรกรรมอันวิปริต

“คชสารเปลี่ยนแปลง!”

เสียงกู่ร้องดังมา และทําลายเสี้ยววินาทีที่ดูเหมือนเวลาจะหยุดนิ่ง นายกองในแต่ละกองพันตะโกนก้องให้ทหารนับพันกู่ร้องตาม ร่างของพวกเขาขยายใหญ่และแปลงร่างเป็นยักษ์ศีรษะช้าง และวิ่งตะลุยเข้าใส่กองทัพกบฏเพื่อฉีกทึ้งกระบวนทัพ

กองพันอากาศเคลื่อนที่เร็วที่กําลังบินอยู่บนท้องฟ้า ก็ดิ่งปักลงมา ยิงกระบี่บินจํานวนไร้ประมาณยังเบื้องล่างราวกับห่าฝน

“ขวดนํ้าเต้าเพลิง!”

คําสั่งถูกถ่ายทอดบนเรือเหาะ และทหารบนเรือก็นําขวดนํ้าเต้าแดงอันมีขนาดเท่าตัวมนุษย์ออกมา พวกเขาดึงจุกปิดขวดออก ไฟแท้สมาธิอันโหมไหม้ก็พวยพุ่งลงมาจากเรือเหาะ แผดเผาทหารคุ้มกันกําแพงเมือง เปลี่ยนให้ผู้คนจํานวนมากกลายเป็นคบเพลิงที่กรีดร้องโหยหวน!

ตูม!

กองกําลังคนแกร่งเกราะทองก็ผลักรถทะลวงเมืองไปข้างหน้า เหยียบยํ่าทหารจํานวนนับไม่ถ้วนที่กีดขวางทาง และทุ่มกระแทกเข้าใส่กําแพงเมืองอย่างไร้ปรานี ทลายมันแหลกพินาศให้มนุษย์ติดไฟซึ่งดิ้นพล่านบนกําแพงร่วงลงมา

ที่นอกกําแพง แม่ทัพใหญ่มงกุฎทัพและแม่ทัพใหญ่ถนอมเปลี่ยนแปรก็ยกหอกและทวนของพวกเขาขึ้นสูง ชี้มันไปทางเมืองต้าเซี่ยง ข้างหลังพวกเขา กองกําลังสันตินิรันดร์จำนวนมืดฟ้ามัวดินก็โห่ร้องและพุ่งโถมไปข้างหน้าทั้งทางบกและทางอากาศ ราวกับมหาอุทกภัยที่ถล่มใส่เมืองต้าเซี่ยง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version