Skip to content

Tales of Herding Gods 199

ตอนที่ 199 เคลื่อนย้ายภูเขา

ภาพที่เห็นในเมืองขณะนี้ดูน่าหนาวเยือกจนถึงกระดูก ไม่ทันที่กองทัพแมลงของปราสาท 3 มหัศจรรย์จะได้แผลงฤทธิ์ พวกเขาก็ถูกถล่มด้วยทะเลเพลิงและห่ากระบี่ แหลกสลายเป็นเถ้าถ่าน

กองทัพแมลงของปราสาท 3 มหัศจรรย์นั้นมากฤทธิ์เดช แต่มันถูกโจมตีโดยไม่ได้ตั้งตัว ทั้งคนทั้งแมลงจึงถูกแผดเผาจนดับดิ้น

กองทัพสตรีแห่งวังพรากกิเลสก็ร้ายกาจสุดๆ แต่พวกนางถูกโจมตีจนย่อยยับ กระบี่คมกล้าไร้ประมาณทิ่มแทงลงจากท้องฟ้า ทะลวงร่างของพวกนางให้พรุนเป็นพันรู พวกนางตายไปทั้งยืน

เมื่อร่างของพวกนางล้มลงกับพื้น กระบี่บินเหล่านั้นก็บินกลับเข้าไปในกล่องกระบี่ของกองพันเคลื่อนที่เร็วเรียบร้อยแล้ว

ทั่วทั้งกองทัพกบฏและศิษย์ทั้งหมดจากทุกๆ สํานักไม่มีเวลาได้ตั้งตัว และถูกทหารราบทะลวงเข้ามาให้กระเจิดกระเจิงไม่เป็นขบวน ทําให้พวกเขาต้องแยกกันสู้อย่างไร้ระบบระเบียบ

แต่แม้ว่าวรยุทธ์ของพวกเขาจะสูงเยี่ยมปานใด ศีรษะของพวกเขาก็หลุดร่วงทันทีที่ถูกพยุหะค่ายกลของทหารสันตินิรันดร์ล้อมกรอบ

กําลังฝีมือของศิษย์สํานักเหล่านั้นเหนือลํ้ากว่าทหารนายหนึ่งมาก แต่การร่วมมือต่อสู้ของพวกเขานั้นงุ่มง่ามไม่ชํานาญ จึงถูกทําลายกระบวนภายในการบุกครั้งเดียว แน่ล่ะว่ามีผู้คนบางกลุ่มในกองทัพกบฏที่ถูกฝึกมาให้ร่วมมือกันต่อสู้ทําศึกโดยเฉพาะ แต่การโจมตีของสันตินิรันดร์นั้นรวดเร็วเกินไป และพวกเขารับมือไม่ทัน เมื่อกองทัพกระจัดกระจาย ทุกสิ่งก็สายเกินไปแล้ว!

นี่คือการล้อมสังหารล้างเมือง และมันเกิดขึ้นได้จากการโจมตีฉับพลันด้วยธงเคลื่อนย้ายระยะไกลของลัทธิมารฟ้า กองทัพหรือเมืองใดที่ถูกการโจมตีเช่นนี้ มีชะตากรรมเพียงอย่างเดียว…สิ้นซาก

บนภูเขา ชายหน้ากากทองแดงตัวสั่นเทิ้ม “2 ทางเลือก… 2 ทางเลือก…”

ราชครูสันตินิรันดร์เสนอพวกเขา 2 ทางเลือก หนึ่งคือถูกกวาดล้างด้วยกองทัพจักรวรรดิสันตินิรันดร์ ขับไล่พวกเขาไปจนสุดทะเลใต้ และสังหารเข่นฆ่าไม่ให้เหลือแม้แต่คนเดียว โยนศพทิ้งเป็นเหยื่อปลา นี่คือกฎของจักรวรรดิ

อีกทางเลือกหนึ่งคือทําตามกฎยุทธจักร ท้าสู้ประลองกับราชครูสันตินิรันดร์ตัวต่อตัว จนกว่าจะตายดับไปข้างหนึ่ง!

พวกเขาคิดมาตลอดว่า พวกเขาสามารถเลือกได้ทางใดทางหนึ่ง และไม่คาดคิดว่าจะต้องประสบกับ 2 ทางนี้ในเวลาเดียวกัน ราชครูสันตินิรันดร์หมายจะเข่นฆ่าพวกเขาในการต่อสู้ประลอง และในขณะเดียวกันก็หมายจะกวาดล้างกองกําลังกบฏให้เหี้ยนเตียน

“ลัทธิมารฟ้าเข้าสวามิภักดิสภาราชสํานักตั้งแต่เมื่อไหร่” เจ้าวังพรากกิเลสร้องตะโกน “ตั้งแต่เมื่อใดที่แดนศักดิ์สิทธิ์อันดับหนึ่งแห่งฝ่ายมารกลายเป็นสุนัขรับใช้ของทางการ”

เคล็ดลับกระบี่สวรรค์พรากความชังของวังพรากกิเลสนั้นจะต้องใช้จิตใจภายในของผู้ฝึกอันปราศจากรัก ชัง หลง และแค้น เพื่อจะได้มีจิตใจอันสูงส่งพิสุทธิ์ในเพลงกระบี่ ต่อเมื่อจิตใจปราศจากสิ่งวอกแวก มันจึงจะสามารถส่องผู้อื่นได้อย่างกระจ่างดุจคันฉ่องอันไร้ราคี

แต่ทว่า เมื่อเจ้าวังพรากกิเลสชุ่ยตี้อี้เห็นสานุศิษย์ของนางถูกเข่นฆ่าล้างผลาญ จิตใจของนางก็พลันขุ่นมัว

นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย ราชครูสันตินิรันดร์สังเกตเห็นเรื่องนี้ และปราณชีวิตที่ปลายนิ้วของเขาแปรเปลี่ยนเป็นแสงกระบี่ มันพุ่งขยายไปข้างหน้าอย่างไม่สิ้นสุด และทะลวงถึงคอหอยนางในพริบตา!

ไม่เพียงแต่จิตใจของเจ้าวังพรากกิเลสที่ตกอยู่ในความสับสน จิตใจของคนอื่นๆ ทุกคนก็เช่นเดียวกัน เมื่อราชครูสันตินิรันดร์ลงมือต่อเจ้าวังพรากกิเลส ก็ไม่มีผู้ใดขัดขวางเขาทัน

“พวกเราตายแน่…” ความคิดนี้ผุดขึ้นมาในใจของเฉินหว่านอวิ๋นและพวกพ้อง

ภูเขานี้ถูกผนึกเอาไว้ในอาณาเขต 300 ไร่ของผนึกคุกสวรรค์ ดังนั้นคลื่นพลังการต่อสู้ก็จะสะท้อนเด้งไปมาในนี้ ในเสี้ยวจังหวะที่ราชครูสันตินิรันดร์ปะทะกับพวกเจ้าสํานักเหล่านั้น บัณฑิตทั้งหลายก็คงจะถูกบดขยี้ให้เป็นผุยผง

แต่ก่อนที่ราชครูสันตินิรันดร์จะลงมือโจมตี ธงใหญ่ก็ปรากฏขึ้นข้างหน้าฉินมู่และพรรคพวก คลี่คลุมร่างของพวกเขา และวูบเดียว ธงนั้นก็หายวับพร้อมกับกลุ่มบัณฑิตและกิเลนมังกร

ในวินาทีต่อมา ฉินมู่และคนอื่นๆ ก็ปรากฏที่ตีนเขา เฉินหว่านอวิ๋น อวิ๋นฉื้อ และเยว่ชิงหงมองไปยังคนประหลาดสวมหมวกไผ่สานข้างๆ พวกเขา และคนผู้นั้นก็กําลังคลี่ธงอีกครั้ง

คนประหลาดสองสามร้อยคนยืนล้อมรอบภูเขาเป็นวงกลม และโบกธงสะบัดคลุมทั่วทั้งภูเขา เสียงอันแก่เฒ่าโบราณดังมา “ไป!”

วืด!

ธงสองสามร้อยปลิวสะบัดพร้อมกันและเมื่อมันลอยไป ภูเขาใต้ธงนั้นก็พลันหายวับไปพร้อมๆ กับบรรดายอดฝีมือระดับจ้าวลัทธิ และราชครูสันตินิรันดร์!

เหลือแต่พื้นที่โล่งว่างทิ้งไว้ และจวนเจ้าเมืองที่พังราบจากการวางภูเขาลงไปทับ!

เฉินหว่านอวิ๋น อวิ๋นฉื้อ และคนอื่นๆ ต่าง งงงัน ผู้คนประหลาดเหล่านั้นคลี่ธงอีกครั้งคลี่คลุมกลุ่มพวกเขา

ไม่ทันที่เฉินหว่านอวิ๋นและคนอื่นๆ จะได้สติกลับมา ธงยักษ์ก็ห่มคลุมอีกครั้ง พวกเขารู้สึกว่าโลกพลันหมุนเกลียวเหวี่ยงหวือไปพักหนึ่ง ก่อนที่เท้าของพวกเขาจะได้กลับมาหยั่งเหยียบบนพื้นแข็งอีกครา ในตอนนั้นพวกเขาจึงพบว่าได้ออกมาจากสมรภูมิในต้าเซี่ยงเรียบร้อยแล้ว และมาปรากฏบนยอดเขาใกล้ๆ

ยอดเขาแห่งนี้สูงเหลือลํ้า และมีสายลมแรงกระโชกผ่าน เป่าเสื้อผ้าพวกเขาให้ปลิวกระพือ นอกจากพวกเขาแล้ว ก็มีผู้คนท่าทางประหลาดสวมหมวกไผ่สานสองสามร้อยคนอยู่บนนั้นด้วย

เฉินหว่านอวิ๋นและพรรคพวกข่มระงับความแตกตื่นในใจและหันไปมองหน้ากันและกัน “พวกเขาเป็นยอดฝีมือจากลัทธิมารฟ้า พวกเขาลักพาตัวพวกเรามาทําไมกัน…”

ลัทธิมารฟ้าอันสุดแสนลี้ลับเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์อันดับหนึ่งของฝ่ายมาร แดนศักดิ์สิทธิ์นี้มักจะกระทําการต่างๆ อย่างลึกลับ สภาราชสํานักจักรวรรดิสันตินิรันดร์พยายามสืบเกี่ยวกับพวกเขาอยู่บ่อยครั้ง แต่ก็ไม่อาจขุดคุ้ยข้อมูลที่มีประโยชน์อะไร

การที่ลัทธิมารฟ้ามาช่วยเหลือราชครูสันตินิรันดร์ในคราวนี้ แถมยังพาบัณฑิตกลุ่มเล็กๆ อย่างพวกเขาออกมาจากวังวนการต่อสู้ของราชครูสันตินิรันดร์ ย่อมต้องมีแผนการณ์อะไรอยู่เป็นแน่

ทันใดนั้น ผู้คนท่าทางประหลาดทั้งหลายก็ถอดหมวกไผ่สานออก แล้วคารวะด้วยกิริยาของศิษย์คารวะอาจารย์ โค้งตัวให้แก่พวกเขาและกล่าวเป็นเสียงเดียวกัน “บ่าวทั้งหลายน้อมพบจ้าวลัทธิศักดิ์สิทธิ์และธิดาเทพ!”

เฉินหว่านอวิ๋นและพรรคพวกงงเป็นไก่ตาแตก และรู้สึกไม่สบายใจตงิดๆ จากการที่ยอดฝีมือแห่งลัทธิมารฟ้านั้นคารวะแบบศิษย์พบอาจารย์แก่พวกเขา หลวงจีนอวิ๋นฉื้อรีบหลับตาลงทันทีและรํ่าร้อง “ข้าไม่เห็นอะไรทั้งนั้น! ข้าไม่เห็นหน้าพวกเจ้าสักนิด อย่าฆ่าปิดปากข้า!”

ในตอนนั้นเอง เสียงที่พวกเขาคุ้นหูก็ดังขึ้นมาข้างๆ “ลุกขึ้น ไม่ต้องมากพิธี”

“ขอบพระคุณจ้าวลัทธิศักดิ์สิทธิ์” ผู้คนประหลาดทั้งหลายเหยียดตัวยืนตรง เฉินหว่านอวิ๋นและ

คนอื่นๆ หันไปมองผู้พูดด้วยสีหน้าเหมือนเห็นผี

ผู้คนที่ถูกละทิ้งคนแรกที่สามารถเข้ามหาวิทยาลัยจักรวรรดิได้ ดุษฎีบัณฑิตคนแรกแห่งมหาวิทยาลัยจักรวรรดิ…ฉินมู่…คือจ้าวลัทธิมารแห่งลัทธิมารฟ้า?

ฉินมู่ยิ้มอ่อนให้แก่พวกเขา

“หากว่าดุษฎีบัณฑิตเป็นจ้าวลัทธิมาร แล้วใครคือธิดาเทพลัทธิมาร” เยว่ชิงหงถามด้วยเสียงสั่นระริก

ซีอวิ๋นเซี่ยงส่งยิ้มเอียงอายให้นาง ทําเอาเยว่ชิงหงขนหัวลุกไปหมด

“ครูผู้สอนแห่งโถงซ่อนแสงของมหาวิทยาลัยจักรวรรดิเรา ครูเจี้ยนซานเฉิง! แม้แต่ครูเฉินอวิ๋นติ่งแห่งโถงเรียงธาตุ!”

เฉินหว่านอวิ๋นเห็นหัวหน้าโถงกระบี่และหัวหน้าโถงพยุหะ อันทําให้ใจเขาตกวูบจนถึงข้อเท้า เขาพึมพํา “พวกเราต้องตายแน่ๆ พวกเราตาย…”

หลวงจีนอวิ๋นฉื้อตะโกนอย่างเดือดดาล “เจ้าเห็นหน้าพวกเขา เจ้าก็ตายแน่ๆ อยู่แล้ว แต่ทําไมเจ้าต้องพูดชื่อพวกเขาด้วย ข้าปิดตาอยู่ แต่เมื่อได้ยินชื่อของพวกเขา ข้าก็จะต้องตายเหมือนกัน!”

หัวหน้าโถงกระบี่มองไปที่บัณฑิตสามและทาสหมาป่าหนึ่งแล้วถาม “จ้าวลัทธิศักดิ์สิทธิ์ บัดนี้เมื่อพวกเขาเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของพวกเรา ควรปิดปากพวกเขาไว้เพื่อความปลอดภัยจะดีไหม”

หลวงจีนอวิ๋นฉื้อรีบลืมตาขึ้นมองไปทางฉินมู่แล้วแย้มยิ้ม “ดุษฎี…เอ่อ…จ้าวลัทธิศักดิ์สิทธิ์ พวกเราเป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนและเจ้ายังเคยต่อยข้าจนน่วมมาก่อน เจ้าจําไม่ได้หรือ พี่สาวจิ้งจอก ท่านจําได้ไหมว่าข้าจ่ายเงินให้ท่านตั้งมากมายเท่าไร ท่านช่วยข้าพูดหน่อยสิ?”

ฮู่หลิงเอ๋อเอียงคอ พลางกวัดแกว่งหางไปมา แสดงว่านางก็จนปัญญา

ฉินมู่ปลอบใจ “อย่ากังวลไปสิบัณฑิตอวิ๋น ทุกคนก็เหมือนกัน ใจเย็นๆ ก่อน มีข้าอยู่ทั้งคน”

เขาหันหน้าไปบอกหัวหน้าโถงกระบี่ “โถงกระบี่ พวกเขาล้วนแต่เป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนที่มหาวิทยาลัยจักรวรรดิของข้า เจ้าลองถามเขาดูว่าเขาเต็มใจจะเข้าร่วมลัทธิศักดิ์สิทธิ์ของเราหรือไม่ หากว่าพวกเขาไม่ เจ้าก็กลบฝังพวกเขาไว้ที่เนินเขาเขียวและธารใสแห่งนี้ได้”

จากนั้นฉินมู่ก็หันหน้ากลับไปทางเพื่อนๆ และปลอบใจพวกเขาต่อ “ไม่ต้องห่วง ไม่ต้องกังวล ข้าช่วยจัดการให้เอง”

ฉินมู่หันไปอีกทาง “โถงกระบี่ เมื่อเจ้าจะสังหารพวกเขา รอให้ข้าพ้นสายตาไปก่อน หว่านอวิ๋น ชิงหง ไม่ต้องกังวลน่า พวกเราไม่ใช่ผู้ร้ายใจเหี้ยมเหมือนกับสํานักมารอื่นๆ ดึงใจเจ้ากลับมาจากตาตุ่มได้แล้ว พวกเจ้าไม่เป็นไรหรอก…ชักกระบี่ไวๆ และทําให้พวกเขาเจ็บน้อยๆ หน่อย…”

“ข้าได้ยินเจ้านะ!”

หลวงจีนอวิ๋นฉื้อตะโกน “โถงกระบี่ อย่าเข้ามา ข้าเป็นสาวกลัทธิมารแล้ว บ๊ะ…ข้าหมายถึงลัทธิศักดิ์สิทธิ์!”

เยว่ชิงหงและเฉินหว่านอวิ๋นหันมามองตากัน เยว่ชิงหงถาม ด้วยเสียงแผ่ว “พี่ใหญ่ พวกเราทําอย่างไรดี”

เฉินหว่านอวิ๋นลังเลครู่หนึ่งก่อนจะกล่าว “ในเมื่อคราวนี้ลัทธิมารฟ้าได้ลงมือช่วยเหลือราชครู นั่นแปลว่าลัทธิมารฟ้าได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของสภาราชสํานัก พวกเราจะเข้าร่วมลัทธิก็ไม่เสียหายอะไร และหากว่าพวกเราไม่เข้าร่วม…”

หางตาของเขากระตุก แต่เขาไม่กล่าวอะไรต่อ

เยว่ชิงหงระบายลมหายใจโล่ง “เข้าร่วมลัทธิมารฟ้าก็ไม่เสียหายอะไร ถ้าเช่นนั้นพวกเราขอเข้าร่วม”

เมื่อนางกล่าวเช่นนั้น ทาสหมาป่าก็ย่อมไม่กล่าวเป็นอย่างอื่น เยว่ชิงหงกะพริบตาปริบปรอยไปทางซีอวิ๋นเซี่ยง “ธิดาเทพหากพวกเราไม่เข้าร่วมลัทธิมารฟ้า พวกเจ้าคงไม่ลงมือกับพวกเราจริงๆ หรอกใช่ไหม”

ซีอวิ๋นเซี่ยงหัวเราะเบาๆ “จ้าวลัทธิมีจิตใจเมตตา เขาเพียงแต่ล้อพวกเจ้าเล่นเท่านั้น”

หลวงจีนอวิ๋นฉื้อถอนหายใจโล่งอกและพึมพํา “หลวงจีนน้อยผู้นี้รู้หรอกน่าว่าล้อเล่น! ดุษฎีบัณฑิต เมื่อกี้เจ้าแค่ล้อเล่นใช่ไหม ดุษฎีบัณฑิต?”

ฉินมู่หัวเราะในคอแต่ไม่กล่าวอะไร อวิ๋นฉื้อหน้าซีดเผือด ฉินมู่เดินไปยังหน้าผา และมองไปยังภูเขาอีกลูกซึ่งอยู่ห่างจากที่นี่ไปหลาย 10 ลี้ สถานที่นั้นคือที่ที่ราชครูสันตินิรันดร์และตัวตนระดับจ้าวลัทธิ 10 กว่าคนสู้รบปรบมือกันอยู่

ผนึกคุกสวรรค์ที่ชายหน้ากากทองแดงและคนอื่นๆ จัดวางไว้ นั้นบัดนี้ถูกแทงทะลุ รูโหว่ปรากฏตามติดๆ กัน พายุอันร้ายกาจพลุ่งพล่านออกมาจากรูเหล่านั้น สร้างลมแรงร้ายที่เป่าผืนป่ากระจุยเป็นแถบๆ กวาดม้วนต้นไม้จํานวนนับไม่ถ้วนขึ้นไปบนท้องฟ้าและฉีกทึ้งพวกมันจนแหลกละเอียด

การต่อสู้บนยอดเขานั้นน่าประหวั่นพรั่นพรึงนัก มันคือการฆ่าฟันอย่างเอาชีวิตเข้าแลกระหว่างเหล่าตัวตนระดับจ้าวลัทธิ แม้ว่าพวกเขาจะอยู่ห่างไกลและมีผนึกคุกสวรรค์กั้นกางเอาไว้ แต่ก็สามารถสัมผัสความรู้สึกอันสะท้านฟ้าสะเทือนดินนั้นได้

วูบ!

ลมอีกกระโชกพัดมา เฉินหว่านอวิ๋นและคนอื่นๆ ถึงตระหนักว่าทําไมลมที่นี่จึงแรงนักลมกระโชกเหล่านี้เกิดจากการสัประยุทธ์อันห่างไกลกว่า 10 ลี้

พลังลมยิ่งมาก็ยิ่งรุนแรง พัดจนต้นไม้ในภูเขารอบข้างเลียงลู่ กระแสลมมาแล้วมาอีก และลมหอบหนึ่งพุ่งผ่านไปอีกหอบก็ตามมาติดๆ จากทิศทางอื่น ต้นไม้ที่เด้งกลับมาตรงก็เอนล้มไปอีกครา บางต้นก็หักโค่นที่ครึ่งลํา

ภูเขานั้นน่าจะพังทลายไปเรียบร้อยแล้ว ฉินมู่เห็นพื้นดินที่ตัวตนอันร้ายกาจเหล่านั้นต่อสู้ปะทะกันทรุดตัวตํ่าลงทุกทีๆ จนกระทั่งภูเขาสูงถูกกดจมดินจนกลายเป็นพื้นราบ

มองจากที่ไกลปานนี้ แม้ว่าฉินมู่จะใช้เนตรสวรรค์เขียว แต่ก็มองไม่เห็นอะไรชัด นี่ก็เพราะว่าความเร็วในการเคลื่อนที่ของผู้คนเหล่านั้นว่องไวเกินไป ทําให้แม้เนตรสวรรค์เขียวก็ยากจะจับร่องรอยการเคลื่อนไหว อย่าว่าแต่จะเห็นกระบวนท่าของพวกเขาเลย

ฉินมู่สามารถใช้รอยเงาที่พวกเขาเหลือทิ้งไว้ เพื่อนับดูว่าเหลือผู้คนอีกกี่คนบนภูเขา

“ตัวตนระดับจ้าวลัทธิอีกคนหนึ่งสิ้นชีวิตแล้ว” ฉินมู่สะท้านใจ เยว่ชิงหงมองไปรอบๆ และเห็นยอดยุทธ์ทั้งหลายแห่งลัทธิมารฟ้ายืนนิ่งขึงอยู่บนยอดเขาอย่างไม่ไหวติง สังเกตการณ์การต่อสู้จากระยะไกล เขาไม่มีท่าทีจะยื่นมือเข้าไปช่วย ซึ่งทําให้เยว่ชิงหงคิดสงสัย “พวกเจ้าไม่ไปช่วยหรือ”

“ไม่”

ฉินมู่อธิบาย “ราชครูสันตินิรันดร์สามารถจัดการเองได้ การลอบจู่โจมของ 3 ปีศาจเฒ่าสามารถทําให้ราชครูอันอยู่ท่ามกลางไพร่พลนับหมื่นบาดเจ็บได้ แต่หากว่าเป็นราชครูสันตินิรันดร์ที่ลอบโจมตีผู้อื่นแล้ว ไม่น่าจะมีใครเป็นคู่มือเขาได้ สิ่งที่ลัทธิมารฟ้าช่วยเหลือราชครูก็คือการสร้างจังหวะให้ราชครูมีโอกาสได้ลงมือ ทันทีที่เจ้าสํานักเหล่านั้นสูญเสียกําลังขวัญ มันก็คือจังหวะที่ดีที่สุดที่ราชครูจะลอบจู่โจม”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version