ตอนที่ 200 ที่ซุ่มซ่อนของตู้เถียน
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ลัทธิอันดับหนึ่งแห่งฝ่ายมารช่วยเหลือ สนับสนุนราชครู หรือเป็นเรื่องที่ลัทธิมารฟ้าใช้ธงเคลื่อนย้ายระยะไกลเพื่อเคลื่อนย้ายกองทัพสันตินิรันดร์เข้ามาในเมือง ก็ล้วนแต่เป็นเรื่องอันสะท้านสะเทือนใจเหล่าเจ้าสํานัก ฆ่าล้างเลือดสานุศิษย์ของสํานักเหล่านั้นและทําให้พวกเขาไม่อยากสงบใจตั้ง สติได้
แม้ว่าพวกเขาจะหวั่นใจไม่นานนัก แต่นี่เท่ากับเอาคอพาดกับเขียงเมื่ออยู่ต่อหน้าตัวตนระดับราชครูสันตินิรันดร์
แม้ว่าผู้คนซึ่งมีกําลังฝีมือระดับจ้าวลัทธิเหล่านี้จะเป็นสุดยอดฝีมือในขั้นสะพานเทวะ แต่ในขั้นสะพานเทวะเองก็มีแข็งแกร่งและอ่อนด้อย เหมือนกับที่ราชครูสันตินิรันดร์กล่าว เขาคือผู้ที่ปราศจากจุดอ่อนในทุกๆ ขั้นวรยุทธ์ ไม่ว่าผู้อื่นจะมีมุมใหญ่กว้างแค่ไหน เส้นของพวกเขาก็ไม่มีวันยาวเท่ากับเส้นตรงของราชครู
พลังวัตรของเขาเหนือลํ้ากว่าคนอื่นๆ และกําลังฝีมือของเขาก็ก้าวไกลกว่าผู้อื่นทั้งหลายเช่นกัน
ภายใต้สถานการณ์การลอบจู่โจม ย่อมไม่มีใครที่อาจสามารถต่อกรเขาได้ ต่อให้รับมือสักกระบวนท่าก็ยังยาก
ฉินมู่คะเนว่าราชครูสันตินิรันดร์สามารถฉวยโอกาสตอนที่ยอดฝีมือเหล่านี้ถูกทําลายขวัญกําลังใจ และฉวยโอกาสจู่โจมพวกเขา 4 คน แต่ทว่าจะสร้างความบาดเจ็บให้กับเจ้าสํานัก 4 คนนั้นได้มากแค่ไหน ก็ขึ้นกับฝีมือความสามารถของราชครูล่ะ
แต่แม้ว่าการสัประยุทธ์ครั้งนี้จะเผยแสดงฤทธานุภาพอัศจรรย์ของสุดยอดของสุดยอดฝีมือในโลกหล้านี้ แต่มีไม่กี่คนที่สามารถตามทันการสัประยุทธ์นี้ได้ ท่ามกลางคนสองสามร้อยคนบนยอดเขา คงมีแต่ผู้พิทักษ์ซ้ายขวาที่สามารถติดตามกระบวนท่าและทักษะเทวะของผู้คนในสนามรบได้ทุกหยดทุกเม็ด
แม้ว่าจะเป็นหัวหน้าโถงจากโถงทั้ง 360 แต่มีไม่กี่คนเท่านั้นที่เห็นกระบวนท่าชัดถนัดตา
ฉินมู่หันกลับไปจับจ้องมองสนามรบอีกครั้ง แต่กระนั้นก็ยังมิอาจเห็นสถานการณ์ที่นั่นได้ เขาเห็นเพียงแต่รอยเงาอันหลงเหลือจากการเคลื่อนไหวท่าร่างอย่างรวดเร็วและแสงสว่างอันระเบิดปะทุ
ออกมาจากทักษะเทวะและเพลงกระบี่ทุกๆ ช่วงระยะเวลาหนึ่ง ริ้วรอยแสงหนึ่งก็จะหายวับไป แสดงถึง การสิ้นชีวิตของจอมยุทธ์ และบัดนี้ก็เหลือร่องรอยเพียงแค่ 8 คน
“นอกจากราชครูสันตินิรันดร์ ก็ยังมีอีก 7 คน”
ฉินมู่ประกายตาวูบไหว คน 7 คนนี้น่าจะเป็นจอมยุทธที่มีกําลังฝีมือสูงสุดในกลุ่ม แต่ว่าพวกเขาทั้ง 7 คนนี้ที่ยังรอดชีวิตอยู่คือใครกันบ้างนะ
เขาเห็นแสงเจิดจ้าประดุจเทพยดาจากเงาร่างที่เคลื่อนไหววูบวาบ แต่ไม่อาจเห็นเค้าหน้าของรูปร่างเหล่านั้นได้
“หากว่าข้าไม่อาจเห็นรายละเอียดการต่อสู้ มิใช่จะพลาดโอกาสดีอย่างนี้หรอกหรือ เอ..ข้าจะปลุกเนตรสวรรค์นํ้าเงินเขียวได้ไหมนะ”
ฉินมู่เร่งเร้าปราณชีวิตของตนให้ไหลเข้าไปในดวงตามากขึ้นและลองสร้างรอยพยุหะเนตรสวรรค์นํ้าเงินเขียว ตอนนี้มีวงแหวนม่านตา 3 ชั้นในดวงตาของเขา วงแรกคือม่านตาดั้งเดิม วงที่ 2 คือเนตรสวรรค์ วงที่ 3 คือเนตรสวรรค์เขียว และหากว่าเขาสามารถปลุกเนตรสวรรค์นํ้าเงินเขียวได้ มันก็จะกลายเป็นวงแหวนที่ 4 และจะทําให้เขาสามารถเห็นสิ่งต่างๆ ได้มากขึ้น
ขณะที่เขาเหนี่ยวนําปราณชีวิตของตนเข้าไปในดวงตานั่นเอง เขาก็พลันพบร่องรอยของบางสิ่งบางอย่างที่เข้าไปในดวงตาของเขาพร้อมๆ กับปราณชีวิต
ฉินมู่ตกตะลึงและพลันรู้สึกว่าทุกสิ่งทุกอย่างในสมรภูมิรบของยอดฝีมือพลันกระจ่างชัดอย่างมหัศจรรย์!
เขาสลัดหัวแล้วมองไปที่สนามรบอีกครั้ง แต่มันก็ยังชัดเจนแจ่มจ้า!
และนี่เขายังมิได้สร้างรอยพยุหะเนตรสวรรค์นํ้าเงินเขียวเลยด้วยซํ้า!
มีใครบางคนซ่อนอยู่ในดวงตาของเขา!
นี่ไม่ใช่ภาพที่ดวงตาเขาสามารถเห็นได้ แต่เป็นภาพที่ดวงตาของผู้อื่นที่มองเห็น หรืออาจจะกล่าวได้ว่ามีคนผู้อื่นหยิบยืมดวงตาเขาใช้สังเกตการณ์การต่อสู้!
ใครกันที่เป็นผู้ยืมดวงตาเขาใช้จ้องมองการสัประยุทธ์ เขาพลันนึกขึ้นมาได้ว่าในตอนที่เขาอัญเชิญราชามารตู้เถียนในเมืองคลื่นสวรรค์ สํานึกรู้และพลังเวทมนตร์ของราชามารตู้เถียนได้ใช้ร่างกายเขาเป็นสื่อกลางในการย้ายเข้าไปในรูปสลักมารเทวะ ทะลวงใจกลางหว่างคิ้วของเขา ส่งกระแสไฟฟ้ายิงจากตรงนั้นไปยังเทวรูประหว่างที่ฉินมู่ขับเคลื่อนวิชากายาจ้าวแดนดินสามอมตะ
ขณะที่เขาโคจรวิชาฝึกปรือของตน เขาก็รู้สึกเหมือนกับว่ามีบางสิ่งบางอย่างปะปนเข้าไปในร่างกายพร้อมกับปราณชีวิตที่ไหลเวียน
เมื่อศิษย์ทั้งหลายแห่งสํานักมหาบรรพตมาถึงและใช้บัญชามารถอนทัพ ถึงแม้บัญชามารถอนทัพของพวกเขาจะมิอาจขับไล่ราชามารตู้เถียนกลับไปยังโลกมิติเดิมได้ ฉินมู่ก็รู้สึกว่าการอัญเชิญถูกตัดขาดเมื่อแสงบัญชามารถอนทัพฉายโชนลงบนร่างของราชามารตู้เถียน สํานึกรู้และพลังเวทมนตร์ที่หลั่งไหลออกมาจากร่างกายเขาก็ถูกตัดขาดเช่นกัน
นี่หมายความว่ายังมีสํานึกรู้และพลังเวทมนตร์ของราชามารตู้เถียนบางส่วนหลงเหลืออยู่ในร่างกายของฉินมู่!
“ถ้าอย่างนั้น ผู้ที่ลอบเร้นอยู่ในร่างของข้าและหยิบยืมดวงตาข้าในการสังเกตการณ์การต่อสู้ ก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากราชามารตู้เถียน!”
ฉินมู่หวั่นผวาเล็กน้อย สํานึกรู้ของราชามารตู้เถียนซุ่มซ่อนอยู่ ณ จุดใดในร่างกายเขากันแน่ ทําไมตลอดเวลาก่อนหน้านี้เมื่อเขาโคจรวิชากายาจ้าวแดนดินสามอมตะ กลับไม่รู้สึกถึงความผิดปกติใดๆ
ราชามารตู้เถียนกําลังวางแผนอะไรอยู่ ท่านยายซีมีจ้าวลัทธิมารหลี่เทียนซิ่งสิงสู่ในกาย และหากว่า
เขาก็โดนราชามารตู้เถียนสิงร่างเช่นกัน นั่นก็จะน่าขายหน้าอย่างสุดๆ
ฉินมู่ไม่กระโตกกระตากราชามารตู้เถียนยืมดวงตาเขาเฝ้ามองการต่อสู้นั้นก็ดีแล้ว นี่ช่วยให้เขาสามารถสังเกตสภาพการณ์ในสมรภูมิ เช่นเดียวกับทักษะเทวะทั้งหลายที่ยอดยุทธ์เหล่านั้นปลดปล่อยออกมา นี่จะช่วยเปิดหูเปิดตาเขาได้อย่างดีเยี่ยม
“ที่ซุ่มซ่อนในร่างข้านั้นเป็นแค่เสี้ยวเล็กๆ ของสํานึกรู้และพลังเวทมนตร์ของราชามารตู้เถียน ไม่ว่าเขาจะแข็งแกร่งอย่างไร ก็ไม่มีทางแข็งแกร่งเกินกําจัด หากว่าข้าหาที่ซ่อนเขาจนพบ ข้าก็จะสามารถขจัดเขาไปได้อย่างแน่นอน! ตอนนี้ข้ายังไม่ควรแหวกหญ้าให้งูตื่นและแสร้งทําเป็นไม่รู้ไปก่อน”
ในที่สุดเขาก็สามารถมองเห็นการต่อสู้ได้อย่างชัดเจน
กระบี่ของราชครูสันตินิรันดร์มิใช่กระบี่ที่ทําจากวัตถุสสาร แต่เป็นกระบี่ที่ก่อรูปขึ้นมาจากปราณชีวิต อันแปรเปลี่ยนรูปลักษณ์ไปมาไม่หยุดนิ่ง ทั้งแตกกระจายออกไปและกลับมารวมกันใหม่ได้ดั่งใจคิด
แสงเพลิงเจิดจ้าพวยพุ่งออกมารอบๆ ร่างของเขาราวกับเป็นเทพยดา และฉินมู่ก็จําได้ว่าเคยเห็นแสงรัศมีแบบนี้จากผู้ใหญ่บ้านเช่นกัน
เมื่อราชครูสันตินิรันดร์ร่ายรําเพลงกระบี่ แม้แต่ท่วงท่ากระบี่พื้นฐานสามัญที่สุดก็ดูซับซ้อนพิสดาร
และในเพลงกระบี่ของเขาไม่ได้มีเพียงแต่ท่วงท่ากระบี่พื้นฐานแต่ยังมีการคํานวณและการผันแปรอยู่ในนั้นอันซับซ้อนเพริศแพร้วมากยิ่งขึ้น
“กระบี่เต๋าแห่งสํานักเต๋า?”
ฉินมู่ตะลึงแล เขาเห็นรอยเงาของกระบี่เต๋าแห่งสํานักเต๋าในเพลงกระบี่ของราชครูสันตินิรันดร์ อันเป็นวิชาคํานวณซึ่งซับซ้อนอย่างมหันต์ ลองยกตัวอย่างสัญลักษณ์หยินหยาง ทุกคนสามารถวาดรูปวงกลม แต่มิใช่ทุกคนที่จะสามารถคํานวณพื้นที่สัดส่วนที่เส้นโค้งแบ่งหยินหยางลากผ่านได้
นี่ข้องเกี่ยวกับกระบวนท่าแรกของสํานักเต๋า หยินหยางผันแปรสองลักษณ์ การที่จะสําเร็จหยินหยางผันแปรได้นั้นจะต้องใช้ตําราคํานวณบรมปริศนาเป็นหลักใหญ่สําคัญ
หยินหยางผันแปรสองลักษณ์ปลดปล่อยพลานุภาพถึงขีดสุดเมื่อผู้ใช้สามารถคํานวณหลักตัวเลขสูงลํ้าไม่สิ้นสุด หากว่าต้องการบรรลุขั้นสูงไปกว่านี้ในกระบวนท่าดังกล่าวจะต้องคํานวนไปถึงหลักเลขสวีกงและชิงจิ่งได้
ราชครูสันตินิรันดร์มีความชํานาญลึกลํ้าในคณิตศาสตร์! ฉินมู่คิดในใจ หากรู้อย่างนี้ตอนที่เดินทางลงใต้ ด้วยกันก่อนหน้าข้าคงจะขอคำปรึกษาจากเขาในเรื่องตำราคำนวณบรมปริศนา!
ผู้คนที่ปะทะประมือกับราชครูสันตินิรันดร์อยู่นั้นคือ 3 ผู้อาวุโส คืออาจารย์ยากจน ผู้พเนจรหลี่ และผู้เที่ยงแท้เถียน พวกเขาสมแก่การเรียกหาว่าเป็นสุดยอดฝีมือจากรุ่นเก่าก่อน แสงรัศมีที่เปล่งจากร่างของพวกเขาทําให้ดูเหมือนกับเทพโบราณ 3 องค์ และแต่ละองค์ก็มีวิชาฝีมือเป็นเอกลักษณ์
พู่กันใหญ่ในมืออาจารย์ยากจนนั้นดูเหมือนกับพู่กันธรรมดา แต่ขนพู่กันนั้นยาวเหยียดเป็นพิเศษ ทําให้มันดูคล้ายกับแส้ปัดหางม้า แต่ทว่ามันมิได้วูบไหวเปลี่ยนแปรมากมายเหมือนกับแส้ปัด
ผู้พเนจรหลี่เป็นจอมยุทธมือกระบี่ และฝึกปรือวิชากระบี่ เพลงกระบี่ของเขาเพริศแพร้วพิสดารเป็นอย่างยิ่ง แต่ก็ยังด้อยกว่าเพลงกระบี่ของราชครูสันตินิรันดร์ เพลงกระบี่ของเขาประกอบขึ้นมาจากท่วงท่ากระบี่พื้นฐาน 14 ท่วงท่า ดังนั้นถึงแม้ว่ามันจะเจิดจรัสสักเพียงใด ก็คงเป็นเพลงกระบี่อันถูกทิ้งให้ครํ่าครึตามกาลเวลา
อายุของเขาเพิ่มพูนแต่วิชาฝีมือเขายังยํ่าอยู่กับที่
ที่ผู้เที่ยงแท้เถียนบ่มเพาะนั้นคือแมลงพิษอันแปรเปลี่ยนเป็นมังกรประหลาดพิสดารทุกรูปแบบ อย่างเช่น มังกรตะขาบสวรรค์ซึ่งยาวกว่า 150 วา หนอนไหมสวรรค์อันบ่มเพาะจนกลายเป็นมังกรหนอนไหม งูเขียวที่บ่มเพาะจนเป็นมังกรเขียวไร้เขา และแมลงพิษอื่นๆ ที่มีรูปลักษณ์พิลึกกึกกือ
แม้ว่าแมลงพิษเหล่านั้นจะร้ายกาจอย่างยิ่ง แต่มันก็ร่วงลงมาจากท้องฟ้าด้วยเพลงกระบี่ของราชครูสันตินิรันดร์ ตายกันไปทีละตัวสองตัว
ฉินมู่ดูแล้วก็คะเนว่า ผู้เที่ยงแท้เถียนคงกัดฟันรับมือต่อไปได้อีกไม่นาน
นอกจาก 3 เฒ่าประหลาด ก็ยังมีอีก 4 คนอื่นๆ หนึ่งในนั้นคือฉีต้าโหย่วแห่งพรรคกระยาจก ผู้ที่มีวิชาเฉพาะตนคือวิชาปริศนาร้อยกระยาจก ร่างของเขาสามารถแปรเปลี่ยนสลับไปมาระหว่างสสารและอสสารได้ตลอดเวลา ทําให้เขาสามารถปรากฏและหายวับไปมาโดยมิอาจคาดเดาได้ วิชาปริศนาร้อยกระยาจกนั้นหมายความว่าทั้งตัวเขาสิ้นไร้สมบัติทุกสิ่งทุกอย่าง และเป็นวิชาอันโดดเด่นไม่เหมือนใคร
อีกคนหนึ่งผู้ซึ่งยังรอดชีวิตอยู่จนบัดนี้ก็คืออาจารย์วิญญาณเต๋าฉวน กําลังฝีมือของเขาอ่อนด้อยที่สุดในบรรดาคนทุกคน ดังนั้นจึงยากที่จะกล่าวว่าเขารอดชีวิตอยู่ได้ด้วยฝีมือตนหรือว่าราชครูสันตินิรันดร์ปล่อยปละเขา อาจจะไม่เห็นว่าเขามีความสามารถคุกคามตนได้
บุคคลที่ 3 คือไต้ซือจื่อกงแห่งวัดมหาพลานุภาพ พลังของมุทราสี่คาถาพยุหะทลายอนัตตานั้นเหนือลํ้าเกินธรรมดา แต่ภายใต้คมกระบี่ของราชครูสันตินิรันดร์ หลวงจีนอาวุโสซึ่งสําเร็จธรรมผู้นี้ก็ถูกกําราบจนเต็มไปด้วยบาดแผลและหลงเหลือพละกําลังเพียงน้อยนิด
บุคคลที่ 4 คือชายหน้ากากทองแดง การโจมตีของเขาเกรี้ยวกราดดุดันที่สุด และยังเป็นผู้ที่ทําให้ฉินมู่ฉงนมากที่สุด
ชายผู้นี้ใช้ทักษะเทวะเป็นหลัก และเมื่อทักษะเทวะของเขาพุ่งไป ก็จะมีรูปเงาเก้ามังกรปรากฏ เงาเก้ามังกรนี้ดูราวกับมังกรมีเลือดเนื้อเก้าตัวที่กระโจนทยานไปข้างหน้าด้วยฤทธานุภาพอันร้ายกาจ!
ในมังกรทั้งเก้ามีการผันแปรละเอียดยิบอย่างมหาศาล การผันแปรเปล่านั้นมีทั้งทักษะเทวะจู่โจมและทักษะเทวะป้องกัน มีทั้งที่ควบคุมไฟ ที่ควบคุมนํ้า และที่วิวัฒน์หยินและหยาง พลังโจมตีเขาเขื่องโขอลังการ แต่ก็เต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปรภายใน ไม่ว่าจะเป็นการโจมตี การป้องกัน การเคี่ยวกรํา ชายหน้ากากทองแดงนี้ก็สามารถพลิกสลับไปมาได้ดั่งใจคิด
ยิ่งไปกว่านั้น เขายังได้ฝึกปรือถึงขั้นที่เก้ามังกรของเขาแทบจะมีร่างเลือดเนื้อ
วิชาเก้ามังกรราชันย์
นี่คือวิชาฝึกปรือของราชวงศ์จักรพรรดิตระกูลหลิง มีแต่ผู้ที่มีสายเลือดจักรพรรดิเท่านั้นที่จะฝึกปรือได้ องค์ชายและองค์หญิงทั่วไปไม่อาจแตะต้องฝึกปรือมัน
จึงเป็นหลักฐานชี้ชัดว่าชายหน้ากากทองแดงคือสมาชิกราชวงศ์จักรพรรดิ และจากวรยุทธ์ของเขา เขาจะต้องเป็นหนึ่งในราชวงศ์ชั้นสูงและสูงมากๆ ในตระกูลจักรพรรดิ
แม้ว่าการโจมตีของเขาจะเขื่องโขเกรี้ยวกราด แต่ราชครูสันตินิรันดร์ก็มิได้โจมตีเข่นฆ่าเขาอย่างอํามหิต ยากที่จะกล่าวว่าราชครูมีข้อตะขิดตะขวงใดอยู่
“คนผู้นั้นคือใครกัน” ฉินมู่ตื่นตะลึง
ในจังหวะนั้นเอง เขาก็พลันรู้สึกสังหรณ์ใจและมองตรงไปทางทิศตะวันตกและเห็นรูปเงาของมหาบรรพตใหญ่เยี่ยมเทียมฟ้ากําลังเร่งลอยมาทางนี้
ฉินมู่ตะลึงเล็กน้อย ภูเขาดังกล่าวใหญ่โตยากจะหาใดเปรียบ ทว่ามันเป็นเพียงรูปเงา มิใช่ภูเขากายภาพจริงๆ มันถูกก่อรูปขึ้นมาจากรัศมีของหลวงจีนท่าทางเคร่งขรึมจํานวนนับไม่ถ้วน
เขาพระสุเมรุ
รูปเงาขุนเขานี้มียอดเขานับไม่ถ้วนลดหลั่นกัน แต่ละยอดเขาก็มีหลวงจีนนั่งอยู่ในท่าขัดสมาธิดอกบัว บางคนก็ถือแจกันหยกยืนอยู่บนยอดเขา และบางคนก็นั่งกุมท้องยิ้มแย้มราวพระสังกัจจายน์
บนยอดเขาทองคําอันสูงเยี่ยมที่สุด มีพุทธองค์ร่างมหึมาปล่งแสงเจิดจ้ากําจายราวกับว่าเขาถูกสร้างขึ้นมาจากทองคําบริสุทธิ์ รัศมีแสงกว่าหมื่นเส้นข้างหลังศีรษะของเขานั้นสูงส่งสะดุดตา!
“วัดใหญ่ฟ้าคําราม ยูไลเฒ่า!”
ฉินมู่สะท้านใจอย่างรุนแรง วัดใหญ่ฟ้าคํารามมาที่นี่แล้ว ยูไลถึงกับมาเยือนด้วยตนเอง พร้อมทั้งอัครสาวกซ้ายขวา เอตทัคคะทั้งหลาย โพธิสัตว์ทั้งหลาย และอรหันต์ทั้งหลายจากวัดใหญ่ฟ้าคํารามเร่งรุดมาที่นี่!
เขาคิดจะทําอะไร
ในตอนนั้นเองราชครูสันตินิรันดร์ก็ดูเหมือนจะสัมผัสสังหรณ์เช่นกัน เขาจึงเร่งมือและสังหารไต้ซือจื่อจื่อกงในกระบวนท่าเดียว!
ในตอนนั้นเอง ยอดฝีมือทั้งหลายแห่งลัทธิมารฟ้าก็หันหลังกลับไปมองรูปเงาเขาพระสุเมรุที่ลอยลิ่วมา
“โจรหัวล้าน!” ผู้พิทักษ์ซ้ายยิ้มหยัน
“โจรหัวล้าน!” ทุกคนตะโกนตามเป็นเสียงเดียว หลวงจีนอวิ๋นฉื้อเห็นว่าทุกคนกําลังด่าทอผู้ที่เข้ามาใหม่ว่าเป็นโจรหัวล้าน ก็รีบปลุกปลอบใจตนเองและตะโกนด่าโจรหัวล้านด้วยเช่นกัน เพราะในตอนนี้เขาเป็นส่วนหนึ่งของลัทธิมารฟ้า แม้ว่าจะเป็นหลวงจีนด้วยก็เถอะ
เงารูปเขาพระสุเมรุลอยมายังท้องฟ้าเหนือพวกเขา และอัครสาวกเอตทัคคะ โพธิสัตว์ และอรหันต์ทั้งหลายก็มองลงมาพร้อมๆ กันและกล่าวพร้อมกันเป็นเสียงเดียว “มารร้ายบาปหนา!”
ฉินมู่เผยสีหน้าประหลาด “ความสัมพันธ์ระหว่างลัทธินักบุญสวรรค์เรากับวัดใหญ่ฟ้าคํารามดูตึงเครียดนิดหน่อยแฮะ…”