Skip to content

Tales of Herding Gods 202

ตอนที่ 202 จับราชครูใส่หม้อนึ่ง

บนรูปเงาเขาพระสุเมรุ โพธิสัตว์ผู้หนึ่งประนมมือข้าด้วยกัน “อามิตาภพุทธ ราชครูสันตินิรันดร์ก์ล่าวว่าเขาได้รับบาดเจ็บ ไฉนพวกเราไม่ฉวยโอกาสนี้…”

“ที่เขาบอกน่ะจริงหรือเท็จ” ยูไลเฒ่าถามด้วยสีหน้าอิ่มเอิบเมตตา

โพธิสัตว์ผู้นั้นอึ้งไปทันที “ศิษย์…ศิษย์ไม่ทราบ”

ยูไลเฒ่าแย้มยิ้ม “พวกที่เชื่อคําพูดของเขาก็พ่ายแพ้ไปเรียบร้อยแล้ว และหลายคนที่สูญเสียชีวิต อาจารย์ยากจน เป็นเพราะพวกท่านเชื่อว่าเขาได้รับบาดเจ็บ จึงประสบความพ่ายแพ้ในวันนี้ หรือมิใช่”

สีหน้าของอาจารย์ยากจนและคนอื่นๆ ซีดเผือด อาจารย์วิญญาณเต๋าฉวนก็กล่าวโทษตนเองอยู่ในใจ เพราะจากกากยาของฉินมู่ เขาได้อนุมานว่าราชครูสันตินิรันดร์ได้รับบาดเจ็บสาหัส และทําให้ทุกคนเชื่อการอนุมานของเขา นี่จึงเป็นเหตุที่พวกเขาเลือกทางเลือกที่ 2 การตัดสินชะตาแบบยุทธจักร

แต่ว่าอันที่จริงแล้ว จะโทษเขาเสียทั้งหมดก็ไม่ได้

การลอบโจมตีของ 3 ปีศาจเฒ่าแห่งรุ่นเก่าก่อน อาจารย์ยากจน คนพเนจรหลี่ ผู้เที่ยงแท้เถียน นั่นต้องสร้างการบาดเจ็บสาหัสแก่ราชครูสันตินิรันดร์เป็นแน่ 3 ปีศาจเฒ่าเป็นตัวตนระดับสุดยอดของโลกหล้าในปัจจุบันสมัย ไม่ว่าจะเป็นด้านกําลังฝีมือ หรือชื่อเสียงเกียรติภูมิ พวกเขาก็อยู่บนจุดสูงสุดของยุทธจักร

ไม่มีใครกล้าสงสัยกําลังฝีมือของผู้อาวุโสทั้ง 3 นี้ แม้ว่าราชครูสันตินิรันดร์จะได้รับการยกย่องให้เป็นยอดอัจฉริยะในรอบ 500ปีและมีชื่อเสียงเลื่องลือ แต่เขาคนเดียวก็ไม่อาจเทียบเทียมกับ 3 ปีศาจเฒ่า เพราะอย่างนี้เอง ทุกๆ คนจึงเชื่อว่าเขายังคงตกอยู่ในอาการบาดเจ็บสาหัส รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่เล็ดลอดออกมาภายหลัง เพียงแต่เสริมข้อสรุปดังกล่าว

ยกตัวอย่างเช่น เมื่อเขามาบรรยายถ่ายทอดความรู้ที่มหาวิทยาลัยจักรวรรดิ เขาอดทนบรรยายเพียงแค่ 2 วัน ทั้งยังมีการประทินนํ้าหอมเพื่อกลบกลิ่นเน่าของบาดแผล

และยังมีเหตุการณ์ที่ราชามังกรแห่งสํานักขี่มังกรไปเยี่ยมเยือนเคหาสน์ราชครูกลางดึกและหนีรอดกลับมาโดยไร้รอยขีดข่วน ราชครูสันตินิรันดร์ไม่อาจรั้งเขาเอาไว้ได้

ในการต่อสู้ระหว่างราชครูและเฒ่าพเนจรเสินแห่งนครหยกน้อย อาการบาดเจ็บของราชครูก็กําเริบขึ้นมา ซึ่งทําให้เขาต้องการตัวฉินมู่ หมอเทวดาน้อยผู้นี้มาเยียวยาฟื้นฟูร่างกายตลอดวันตลอดคืน

การอนุมานของอาจารย์วิญญาณเต๋าฉวนและทุกๆ รายละเอียดดังกล่าว ต่างชี้ไปยังข้อสรุปว่าอาการบาดเจ็บของราชครูสันตินิรันดร์กําเริบขึ้นมา แม้กระทั่งวิเคราะห์ได้ว่าต่อให้ฝีมือของหมอเทวดาอย่างฉินมู่ ราชครูก็ยังต้องการเวลาไม่ตํ่ากว่า 1 เดือนเพื่อให้ร่างกายฟื้นฟูมาเป็นปกติ

ทุกสิ่งทุกอย่างเริ่มต้นขึ้นมาจากการซุ่มโจมตีราชครูสันตินิรันดร์ ตั้งแต่แรกเริ่ม พวกเขาก็ก้าวเข้าไปในแผนการร้ายของราชครูแล้ว

ตัวเลือก 2 ทางก็เป็นส่วนหนึ่งของแผนร้าย ตัวเลือก 2 ทางไม่เคยมีอยู่ มีอยู่แค่ทางเดียวเท่านั้น

“รับมือกับอัจฉริยะรอบ 500 ปีนี่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย” ยูไลเฒ่ากล่าวด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง “รอบ 500 ปีที่ว่ามิได้เพียงแต่หมายถึงความลึกลํ้าของปัญญาญาณ พรสวรรค์ และปฏิภาณความเข้าใจของเขาเท่านั้นแต่ยังหมายรวมถึงแผนการและกลอุบายอันเลิศลํ้า และสามารถพบเห็นได้เพียงทุกๆ รอบ 500 ปี หากว่าอัจฉริยะปานนี้มิอาจสําเร็จเป็นนักบุญ เขาก็จะกลายเป็นมารร้ายไร้ขื่อแป และมันคงเป็นเภทภัยเคราะห์ร้ายแก่โลกใบนี้ เชื่อ?”

เขายิ้มแล้วกล่าว “โง่”

ทุกๆ คนงงงัน ไม่รู้ว่าทําไมยูไลเฒ่าถึงกล่าวคําพูดสั้นๆ ไม่เป็นประโยคแบบ 2 คําท้ายนั้น แต่พวกเขารู้สึกว่าคํา 2 คําดังกล่าว แม่นยํา อัดแน่นไปด้วยความหมายมีนัยอันลึกลํ้า

พรรคกระยาจกฉีต้าโหย่วกล่าว “เขาได้ร่วมมือเป็นพันธมิตรกับลัทธิมารฟ้า และชะตาของเขาก็คือมารร้ายไร้ขื่อแปเป็นแน่แท้ น่าเสียดายที่พวกเราไม่รู้ว่าจ้าวลัทธิคนใหม่ของลัทธิมารฟ้าคือใคร”

“เรารู้” ยูไลเฒ่ากล่าว “ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเด็กหนุ่มที่คารวะตอบข้าเมื่อครู่นี้ คิดๆ ดูแล้ว หลวงจีนเฒ่าผู้นี้มีวาสนาข้องเกี่ยวกับเขา และหมายที่จะเปิดดวงตาเห็นธรรมให้เขาเข้าสู่วัดใหญ่ฟ้าคําราม แต่น่าเสียดายที่วาสนานั้นขาดสะบั้นไปและถูกส่งต่อให้กับตัวตนอันมหัศจรรย์อีกผู้หนึ่ง”

“เป็นเขาหรือ”

หลวงจีนเกือบทั้งหมด อาจารย์ยากจนและคนอื่นๆ บนเขาพระสุเมรุตะลึงงันไปชั่วครู่ ยูไลเฒ่าแย้มยิ้ม “เป็นเขานั่นแหละ สหายเต๋าเฒ่าเหล่านั้นไม่ธรรมดาจริงๆ ถึงกับสั่งสอนมารน้อยแบบนี้ออกมาได้ น่าเสียดายที่ไม้เท้าขักขระไม่อาจบิดผันชะตาของเขาได้ ข้ามาช้าเพียงหนึ่งก้าว เพียงหนึ่งก้าวเท่านั้น…”

“ราชครู เจ้าฉลาดกว่าข้า ทําไมเจ้าจะไม่เห็นเล่ห์กลตอนที่รูปเงาเขาพระสุเมรุมาที่นี่” เจ้านครเว่ยมองไปยังร่างไร้ศีรษะที่กําลังถูกยกบรรจุไว้ในหีบศพ และหันหน้าไปคุยกับราชครูที่ยืนอยู่ข้างๆ เขา “พวกนั้นมาฉวยโอกาสหาประโยชน์จากสถานการณ์นี้และช่วยเหลืออาจารย์ยากจนและปีศาจเฒ่าคนอื่นๆ เพื่อเสริมแสนยานุภาพให้วัดใหญ่ฟ้าคํารามชัดๆ! หากว่าไม่ริดรอนปีศาจเฒ่าพวกนี้ให้หมด มันจะเป็นปัญหาในอนาคตนะ!”

“อาจารย์ยากจนและคนอื่นๆ เหลืออายุขัยแค่สิบถึงยี่สิบปี ไม่อาจทําอะไรได้มากมาย ดังนั้นปล่อยให้ยูไลเฒ่าช่วยชีวิตพวกเขาไปเถอะ” ราชครูสันตินิรันดร์กล่าว “ข้าเข้าใจการกระทําของยูไลเฒ่า ก็คาดไว้อยู่แล้วล่ะว่าเขาจะต้องใช้ประโยชน์จากเวลาอันประจวบเหมาะนี้ ข้าได้รับบาดเจ็บอยู่และไม่มีเรี่ยวแรงขัดขวางเขา”

เจ้านครเว่ยมองเขาขึ้นๆ ลงๆ ด้วยสายตาจับพิรุธ สีหน้าเขาประหลาดพิลึก “จริงหรือโม้?”

ราชครูสันตินิรันดร์ก์ล่าวด้วยนํ้าเสียงขรึม “เป็นเรื่องจริง”

“เจ้าแน่ใจนะ?”

ราชครูสันตินิรันดร์ทำหน้าบึ้งใส่ “ก็ต้องจริงสิ มิเช่นนั้นเจ้าลองไปสู้กับพวกยอดฝีมือระดับจ้าวลัทธิเหล่านั้นดูเอาเอง! ยังมี 3 ปีศาจเฒ่าที่ฝีมือใกล้เคียงเทพเจ้าอีก! ข้าจะรอดออกมาโดยไร้ริ้วรอยได้อย่างไรเมื่อต้องต่อสู้ฆ่าฟันกับพวกนั้น”

“ข้าไม่เชื่อ!” เจ้านครเว่ยกล่าวอย่างแค้นเคือง “ข้าเชื่อก็โง่ล่ะ! ข้าไม่เชื่อสักคําที่เจ้าพูด! พวกคนที่เชื่อขี้ปากเจ้าตอนนี้ลงไปนอนโลงกันหมดแล้ว กระดิกกระเดี้ยไม่ได้เลยสักนิด”

ราชครูสันตินิรันดร์ไม่รู้จะหัวเราะหรือรํ่าไห้ “อันที่จริงแล้ว บางเวลาข้าก็พูดอย่างสัตย์จริงอยู่บ้าง”

“นั่นถึงทําให้เจ้าหลอกตุ๋นผู้คนได้อย่างแนบเนียนอย่างไรล่ะ ข้าแยกไม่ออกหรอกว่าเจ้าพูดจริงหรือเท็จ” เจ้านครเว่ยเสสายตาไปมองโลงศพ หลังจากนิ่งไปชั่วครู่ เขาก็เอ่ยถาม “เจ้าน่าจะรู้สินะว่าใครอยู่ในโลงศพนี้”

ราชครูสันตินิรันดร์ส่ายหน้า “ข้าบอกออกไปไม่ได้”

“ต่อให้เจ้าไม่บอกเดี๋ยวข้าก็รู้ เมื่อพวกเรากลับไปที่เมืองหลวง เราจะรู้ทันทีที่มีการสิ้นชีพิตักษัยอย่างกะทันหันของอ๋องเฒ่าคนใดคนหนึ่ง”

เจ้านครเว่ยเหลียวซ้ายแลขวาก่อนมากระซิบกระซาบ “มีความขัดแย้งกันในตระกูลหลิง และนี่ไม่อาจเป็นเรื่องที่แยกขาดออกไปได้ จะเป็นอย่างไรถ้าพระพันปีหลวงก็ทําแบบนี้เหมือนกัน ข้ารู้สึกว่าเจ้าควรจะขยับขึ้นไปอีกสักก้าว และขึ้นเป็นจักรพรรดิไปเสีย…”

ราชครูสันตินิรันดร์ปรายตามองเขาด้วยจิตสังหารในสายตา เจ้านครเว่ยกระโดดโหยงด้วยความตกใจแล้วรีบกล่าว “เจ้ากับข้าเป็นสหายกันมาตั้ง 200 ร้อยปี อย่าทําให้ข้ากลัวสิ! นี่ไม่ใช่ความคิดข้า แต่เป็นความคิดของพี่น้องเก่าแก่ที่ติดตามเจ้ามาช้านาน ตําแหน่งของเจ้าขึ้นสูงสุดจนติดเพดานแล้ว ดังนั้นต่อให้เจ้าทําคุณงามความดีใหญ่หลวง จักรพรรดิก็ไม่อาจเลื่อนตําแหน่งขุนนางให้เจ้าขึ้นไปอีกได้ และบัดนี้เมื่อเจ้าทําความชอบใหญ่อย่างปราบปรามกองกําลังกบฏจนสิ้นซากเจ้าจะให้จักรพรรดิปูนบําเหน็จเจ้าอย่างไรล่ะ ให้ยื่นบัลลังก์ให้เจ้านั่งงั้นหรือ”

ราชครูสันตินิรันดร์ส่ายหน้า “จักรพรรดิและข้าเป็นเพื่อนซี้เพื่อนยากกัน จักรพรรดิรู้จักข้าดี และรู้ว่าข้าไม่เคยหวังลาภยศ สิ่งเดียวที่ข้าหวังคือสําเร็จอุดมการณ์เจตนารมณ์ของชีวิตนี้”

“นั่นแหละที่จะทําให้จักรพรรดิยุ่งยากใจ หากว่าเขาไม่ปูนบําเหน็จเจ้า ทุกคนในโลกหล้าก็จะรู้สึกผิดหวังไม่ชอบธรรม หากว่าเขาอยากจะปูนบําเหน็จเจ้า ก็ไม่มีอะไรที่เขาจะมอบให้เจ้าได้ หรือเจ้าอยากให้เขามอบสาวงามให้ล่ะ หรือเจ้าจะเอาเงินและทองคํา”

เจ้านครเว่ยกล่าวด้วยเสียงตํ่า “จักรพรรดิรู้จักเจ้าดี แต่องค์ชายรัชทายาทล่ะ? เมื่อองค์ชายรัชทายาทสืบสันตติวงศ์ในอนาคต เขาจะรู้จักเจ้าดีเท่าบิดาเขาไหม แล้วรัชทายาทจะหาอะไรมาปูนบําเหน็จให้เจ้า ยิ่งไปกว่านั้น พี่น้องเก่าแก่ทั้งหลายที่ติดสอยห้อยตามเจ้ามาตลอดทั้งชีวิต ก็จะสามารถก้าวหน้าขึ้นไปอีกได้หากว่าเจ้าก้าวเท้าขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง บางคนก็ทนรอไม่ไหวที่จะก้าวหน้าในตําแหน่ง และหากว่าพวกเขาอยากสําเร็จการนั้น พวกเขาก็จะต้องสนับสนุนให้เจ้าขึ้นไปนั่งบนบัลลังก์ เจ้าคิดว่าพระพันปีหลวงกังวล อะไร กังวลในตัวเจ้า? ไม่ใช่เลย นางกังวลในตัวผู้คนที่ติดตามเจ้าต่างหากล่ะ!”

“ข้าเสาะหามรรคาเต๋าของข้า เจ้าไม่ต้องพูดอะไรแล้ว” ราชครูสันตินิรันดร์เดินไปข้างหน้าพลางกล่าวด้วยสีหน้านิ่งสงบ “คุยกับเจ้านี่เหนื่อยจริงๆ เจ้าจงปราบปรามกองกําลังกบฏให้เรียบร้อยแล้วกวาดล้างซากทัพของพวกเขาให้สิ้นซาก ส่วนข้าจะไปตามหาหมอเทวดาน้อยให้ช่วยรักษาอาการบาดเจ็บ”

“รักษาเจ้าอีกแล้วหรือ” เจ้านครเว่ยฉงน “เจ้าเจ็บจริงๆ น่ะหรือ เจ้าไม่ได้โกหกข้าอีกแล้วหรือ”

ราชครูสันตินิรันดร์ทำหน้าบูดและโบกมือ ก่อนจะเดินจากไป

ฉินมู่นํากิเลนมังกร เฉินหว่านอวิ๋น เยว่ชิงหงและคนอื่นๆ ลงจากภูเขา ในเวลาเดียวกันนั้น หัวหน้าโถงทั้งหมดรวมทั้งผู้พิทักษ์ซ้ายขวาก็ใช้งานธงเคลื่อนย้ายระยะไกลประจําตนเพื่อออกไปจากที่นี่

ที่ตีนเขา ฉินมู่และคนอื่นๆ พบราชครู

“ข้าได้รับบาดเจ็บ” ราชครูสันตินิรันดร์ก์ล่าว

“พรืด…” กิเลนมังกรพยายามกลั้นหัวเราะ

ราชครูสันตินิรันดร์ปรายตามองสิ่งมีชีวิตมหึมาตัวนี้ ทําให้กิเลนมังกรรีบหุบปากอย่างเจี๋ยมเจี้ยม สีหน้าของราชครูค่อนข้างซีดและเขาบอกแก่ฉินมู่ “ข้าได้รับบาดเจ็บ”

ฉินมู่ถามอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง “จริงหรือหลอก?”

“เป็นเรื่องจริง” สีหน้าราชครูสันตินิรันดร์ซีดขาวเข้าไปใหญ่

“ไม่ได้ล้อเล่นแน่นะ?”

“เรื่องจริง!” เส้นเลือดโผล่ขึ้นมาเต้นตุบๆ บนหน้าผากราชครูสันตินิรันดร์

“ก็ได้ ก็ได้”

ในเมืองต้าเซี่ยงที่ถูกถล่มราบคาบเหลือแต่เมืองอันโล่งว่าง และไม่มีร้ายขายยาที่นี่ พวกเขาจึงได้แต่กลับไปที่เมืองซ่อนหมอก ที่นั่นมีทะเลสาบอยู่รอบๆ และอากาศก็มักขมุกขมัวไปด้วยหมอก ทําให้เมืองเดี๋ยวก็ปรากฏเดี๋ยวก็กลืนหายไปกับสายหมอก จึงเป็นที่มาของชื่อเมือง

ในจวนว่าการเมือง ฉินมู่ตรวจดูอาการบาดเจ็บของราชครูสันตินิรันดร์และพบว่าบาดแผลของเขามีมากกว่าร้อยแห่ง ส่วนใหญ่แล้วเป็นอาการบาดเจ็บภายใน มีแม้กระทั่งแมลงพิษที่อยู่ในร่าง และสมบัติเทวะเขาก็ได้รับความเสียหาย แต่โชคยังดีที่วรยุทธ์ของราชครูแก่กล้า จึงสามารถสยบอาการบาดเจ็บเหล่านั้นไว้ได้

บาดแผลต่างๆ ล้วนแต่แตกต่างกันไป และอันที่เข้าไปสร้างความเสียหายภายในสมบัติเทวะเป็นบรรดาบาดแผลที่รักษายากที่สุด เป็นการวัดฝีมือวิชาแพทย์ของฉินมู่ บาดแผลในสมบัติเทวะ ทารกวิญญาณ สมบัติเทวะห้าธาตุ สมบัติเทวะหกทิศ สมบัติเทวะเจ็ดดาว สมบัติเทวะชาวสวรรค์ สมบัติเทวะเป็นตาย และสมบัติเทวะสะพานเทวะล้วนแต่ยากที่จะจัดการรักษา บาดแผลบนดวงวิญญาณเองก็เป็นความท้าทายด้วย นี่เป็นโอกาสอันหายากที่ฉินมู่จะได้ศึกษาเรียนรู้ความลับของสมบัติเทวะอย่างลึกซึ้งถึงที่สุด

ในทางกลับกัน บาดแผลภายนอกไม่รุนแรงเลยสักนิด การเยียวยาราชครูสันตินิรันดร์กลายเป็นโครงการมหึมา ฉินมู่คิดคํานวณอยู่นานก่อนที่จะเลือกเฟ้นวิธีการรักษาเยียวยา จากนั้นก็ใช้ให้คนออกไปหาสมุนไพรที่ต้องการ

สมุนไพรส่วนใหญ่ในร้านขายยาเป็นสมุนไพรธรรมดาสามัญ และที่ลํ้าค่าหายากนั้นก็ยิ่งจะไม่มีขาย แม้ว่าเมืองซ่อนหมอกจะใหญ่โตกว้างขวาง แต่ก็หาสมุนไพรหลายชนิดที่นี่ไม่ได้ ต้องรอไปเสาะหาเอาที่เมืองหลวง

ฉินมู่รักษาบาดแผลที่สามารถรักษาได้ด้วยสมุนไพรเท่าที่มีไปก่อน บาดแผลอื่นๆ จําต้องรอกลับไปที่มหานคร

ในจวนเจ้าเมือง ฉินมู่สั่งให้คนหาหม้อใบใหญ่ยักษ์มา หม้อนี้บรรจุไว้ด้วยนํ้าและสมุนไพร ข้างในหม้อมีเข่งนึ่งขนาดใหญ่ให้ราชครูสันตินิรันดร์เอนกายในนั้นด้วยร่างอันเปลือยเปล่า เข็มกว่าร้อยเล่มทิ่มแทงเข้าไปในตัวเขา ปลายเข็มแทงไปถึงสมบัติเทวะ เข็มเงินเหล่านั้นถูกใช้เป็นสะพานชักนําฤทธิ์พลังยาเข้าไปในสมบัติเทวะ

ราชครูสันตินิรันดร์เอนร่างอยู่ในเข่งนึ่งเงียบๆ และทันใดนั้นเขาก็เอ่ยปาก “หากว่าจักรพรรดิปูนบําเหน็จแก่ข้าเป็นสาวงามและทองคํา ข้าควรอยากได้หรือเปล่า”

ฉินมู่บิดเข็มที่ปักตรงหว่างคิ้วของราชครู เข็มเงินเล่มนี้ข้างในกลวงเปล่าซึ่งสามารถใช้ส่งฤทธิ์พลังยาผ่านรูในแกนกลางเข็มไปได้ “แล้วมีอย่างอื่นไหมที่จักรพรรดิจะปูนบําเหน็จให้ท่านได้”

ราชครูสันตินิรันดร์นิ่งไปครู่หนึ่ง “ไม่มีเลย”

“ถ้าเช่นนั้นท่านควรรับมันไว้” ฉินมู่นําเข็มอีกเล่มมาแล้วปักใส่ตําแหน่งปอด “ในบ้านของราชครู มีคนอื่นอาศัยอยู่ไหม”

“นอกจากข้า ก็มีบ่าวเก่าแก่สองสามคนและองครักษ์อีกจํานวนหนึ่ง”

“ท่านมีเงินเท่าไร”

“เงินเดือนข้าที่ได้รับมาทุกเดือนก็พออยู่พอกิน”

“มีภริยาและบุตรหรือไม่”

“กฎสวรรค์สถิตในหัวใจ ใยต้องปรารถนาสิ่งอื่น?”

“ราชครูควรสร้างครอบครัว…และท่านควรหยุดพูดได้แล้ว หลังจากข้าปักเข็มนี้ ข้าจะต้องปิดฝาหม้อนึ่งและเร่งไฟแรง”

ผ่านไปครึ่งเดือน สีหน้าราชครูก็ค่อยดีขึ้นระหว่างที่เยียวยาเขา พวกเขาก็เดินทางผ่าน 15 เมือง แต่กระนั้นฉินมู่ก็ยังไม่พบสมุนไพรวิญญาณที่เขาต้องการจนครบถ้วน ทว่าบาดแผลทั้งหลายของเขาก็ได้รับการถนอมฟื้นฟูไม่มากก็น้อย

เมื่อพวกเขาไปถึงเมืองหลวง ก็เห็นโคมกระดาษขาวและธงขาวแขวนห้อยอยู่ทุกมุมถนน หลังจากไต่ถามผู้คน พวกเขาก็ได้รู้ว่าอ๋องพิทักษ์อุดรหลิงอิ๋นเฝิงได้ถึงแก่ชีพิตักษัย จักรพรรดิจึงได้จัดการไว้ทุกข์ และทั้งเมืองหลวงก็ตกอยู่ในความโศกสลด

อ๋องพิทักษ์อุดรหลิงอิ๋นเฝิงเป็นน้องชายของจักรพรรดิองค์ก่อนและเป็นพี่น้องลําดับที่ 8 ดังนั้นเขาจึงถูกเรียกหาว่าพระเจ้าอาแปด เขาเป็นที่รักใคร่นับถือของประชาชนมาตั้งแต่สมัยที่จักรพรรดิองค์ก่อนบุกเบิกแดนดิน พระเจ้าอาแปดมีคุณงามความดีทางการทหาร ชนะศึกและสยบประเทศต่างๆ มากมาย แต่ละศึกทําให้เขาได้รับบาดเจ็บสาหัส และเฉียดตายก็บ่อยครั้ง แถมยังเคยช่วยชีวิตจักรพรรดิองค์ก่อนสามสี่หน

การสืบสันตติวงศ์ของจักรพรรดิเอี้ยนเฝิงเป็นไปได้ด้วยดีก็ด้วยการสนับสนุนของเขา เขามีบทบาทสําคัญในการกรุยทางขจัดขวากหนามให้แก่ตระกูลหลิง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version