Skip to content

Tales of Herding Gods 204

ตอนที่ 204 อดีตอันน่าอายของฉินมู่

ฉินมู่และเฒ่าเป๋จ้องกันไม่หลบตา เฒ่าหม่าผู้ดูเหมือนจะเย็นชาแต่มีหัวใจอบอุ่นก็ตัดบท “พวกเราล้วนโตๆ กันแล้ว ดังนั้นเลิกทะเลาะกันได้ละ พวกเรามาที่นี่เพื่อดูว่าเจ้ากินอยู่อย่างไร และดูว่าแขนขาของพวกเรายังใช้ได้อยู่ไหม”

เฒ่าเป๋ยิ้มละไม “เฒ่าหม่าเพิ่งเร่งรุดมาจากวัดใหญ่ฟ้าคําราม ดังนั้นเจ้าคงรู้ว่าเขามาที่นี่เพื่อเจอหน้าเจ้าโดยเฉพาะ วัดใหญ่ฟ้าคํารามนั้นอยู่ห่างจากที่นี่หลายหมื่นลี้ แต่ห่างจากหมู่บ้านพิการชราเพียงแค่สองสามพันลี้ ส่วนข้านั้นไม่ได้จงใจมาหาเจ้า ขาของข้าอยู่ในเคหาสน์ของราชครู และก็บังเอิญว่าเจ้าอยู่ใกล้ๆ พอดี”

ฉินมู่รู้สึกอบอุ่นใจเมื่อได้ยินเฒ่าหม่ากล่าว “อย่าคิดมากกับคําพูดขัดหูของเฒ่าเป๋ จริงๆ แล้วเขาเป็นคนดี เมื่อเจ้ายังเป็นทารกและฉี่รดที่นอนบ่อยๆ ยายเฒ่าก็รําคาญเจ้าเพราะว่านางไม่เคยเลี้ยงเด็กมาก่อน ดังนั้นนางจึงส่งเจ้าไปให้คนอื่นรับเลี้ยงที่หมู่บ้านใกล้ๆ แต่วันไหนที่เจ้าถูกส่งตัวไป วันถัดมาเจ้าก็ปรากฏตัวอีกครั้งที่เตียงยายเฒ่า ยายเฒ่าเพียรส่งเจ้าไปอีกตั้งหลายรอบ แต่เจ้าก็กลับมาได้อย่างน่าลึกลับ อันที่จริงก็คือเฒ่าเป๋นั่นแหละที่ขโมยตัวเจ้ากลับมา”

เฒ่าเป๋ส่ายหน้า “ข้าเปล่านะ ข้าเกลียดเด็กเป็นที่สุด หากว่าข้าไม่ได้มีแค่ขาเดียว ข้าจะเตะไข่เขาทุกวันเลย”

ฉินมู่พลันรู้สึกปวดใจจี๊ด และกล่าวอย่างไม่เชื่อหู “ท่านยายส่งข้าไปให้คนอื่นเลี้ยงเพียงเพราะข้าฉี่รดที่นอนตอนยังเป็นทารก? แต่ท่านยายออกจะเอ็นดูข้า…”

“ก็หลายครั้งอยู่” เฒ่าหม่าบอก “ยายเฒ่าไม่เคยเลี้ยงเด็กหรือให้กําเนิดบุตรมาก่อน เจ้าฉี่เนืองนองยังกับนํ้าตกและแผดเสียงร้องตอนกลางคืน ร้องเมื่อเจ้าหิว ร้องเมื่อเจ้าอิ่ม และร้องเมื่อเจ้านอนไม่หลับ แม้แต่วัวที่เลี้ยงไว้ในคอกก็แทบบ้าก็เพราะเจ้า ถ้ายายเฒ่าไม่รําคาญเจ้าก็คงจะแปลกไปหน่อยละ พวกเราผู้เฒ่าเหลาเหย่รําคาญสุดๆ ขนาดว่าผู้ใหญ่บ้านและนักปรุงยาก็ตกลงว่าส่งเจ้าไปให้คนอื่นเลี้ยงเสียก็เป็นเรื่องดี ทั้งหมู่บ้านจะได้สุขสงบขึ้นมาใหม่”

ฉินมู่ปวดใจยิ่งกว่าเดิม และกล่าวด้วยสีหน้ามืดคลํ้า “ท่านปู่ ผู้ใหญ่บ้านและท่านปู่นักปรุงยาก็คิดจะส่งข้าไปให้คนอื่น? ทําไมข้าไม่เห็นเคยรู้เลย”

เฒ่าเป๋ยิ้มกล่าว “ตอนนั้นเจ้ายังไม่ขวบดี จะไปจําได้ได้อย่างไร เจ้าฉี่รดที่นอนน่ะยังพอทําเนา แต่นี่เจ้าอึบนนั้นด้วย ขนาดเฒ่าใบ้ก็ยังจะส่งเจ้าไปพร้อมกับแม่วัวที่ให้นม เพื่อให้คนอยากได้เจ้ามากกว่าเดิม แต่พอดีว่าเจ้าเลิกฉี่รดที่นอนเสียก่อน เลยไม่โดนส่งไปให้คนอื่น…”

“ท่านปู่ใบ้ก็คิดส่งข้าไปให้คนอื่น…” ฉินมู่นิ่งงันไปชั่วครู่ “โชคดีที่ท่านปู่บอดและท่านปู่หนวกเอ็นดูข้า”

เฒ่าหม่ากล่าว “เฒ่าบอดนั้นเอ็นดูเจ้าจริง แต่หลังจากที่เขาอุ้มเจ้าสูงสุดแขนแล้วเจ้าก็ดันฉี่ใส่หน้าเขา เขาก็ไม่คัดค้านอะไรเลยสักคําตอนที่ยายเฒ่าจะส่งเจ้าไป”

เฒ่าเป๋เล่าเรื่องต่อ “ตอนที่เจ้ายังเป็นทารกเฒ่าหนวกรําคาญเจ้าที่สุดแล้ว เจ้าชอบปีนขึ้นไปบนโต๊ะของเขาและทําให้ทุกสิ่งทุกอย่างเลอะหมึกไปหมด เจ้าถึงกับฉี่ใส่แท่นฝนหมึกของเขา…”

เฒ่าเป๋ถอนหายใจ “จริงๆ นะ เจ้าก็น่ารักน่าชังอยู่ตอนที่ยังเล็กๆ และฉี่รดที่นอนแต่พอเจ้าโตขึ้นมาและเริ่มฉี่ใส่รูปปั้นหินในหมู่บ้าน ก็หายน่ารักไปเป็นกอง”

โดนเรื่องสะเทือนใจเข้าไปหลายหมัด ฉินมู่ก็กล่าวด้วยเสียงแหบแห้งคล้ายจะสะอื้น “ท่านปู่หม่า ท่านปู่เป๋ ตอนนี้ข้าเป็นจ้าวลัทธิแห่งลัทธิมารฟ้า พวกท่านเลิกพูดเรื่องข้าฉี่รดที่นอนได้ไหม ข้าไปดูแขนขาของพวกท่านละ”

เฒ่าเป๋ยิ้มให้กับเฒ่าหม่า “เรื่องที่เขาโดนส่งไปให้คนอื่นเลี้ยง หลังจากฉี่รดที่นอนทําข้าขําจนปวดท้อง นี่ต่อให้ข้าตายไปนอนในหลุมข้าก็คงหัวเราะจนกระเด็นออกจากโลงศพหากว่าหวนนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมา”

เฒ่าหม่าเผยยิ้มยาก “ข้าก็เหมือนกัน”

ฉินมู่เดินเข้าไปในลานบ้านด้วยสีหน้ามืดคลํ้า และยกหม้อยากับเตาไฟเข้าไปในเรือน เขาตรวจดูแขนและขาของสองผู้เฒ่า และนํากระบี่ผู้พิทักษ์เยาว์ออกมากรีดบนขาของเฒ่าเป๋ จากนั้นป้ายโลหิตสองสามหยดขึ้นมาเพ่งพิศดูอย่างละเอียด

สักพักหนึ่ง เขาก็กรีดแขนเฒ่าหม่าและนําเลือดสองสามหยดขึ้นมาดูด้วย หลังจากศึกษาพวกมันอยู่ครู่หนึ่งก็กล่าว “แม้ว่าพลังชีวิตในแขนของท่านปู่หม่าจะแห้งเหือดไปครึ่งหนึ่ง แต่มันก็ถูกเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี ดูเหมือนว่ามีคนที่ใช้คาถาพุทธกระตุ้นการทํางานของโลหิตในแขนอยู่เรื่อยๆ ทําให้แขนยังสดใหม่อยู่ตลอด และด้วยการหล่อเลี้ยงยาวิญญาณและยาวิเศษ พลังชีวิตก็จะฟื้นฟูกลับมาได้อีกครั้ง ดังนั้นแขนนี้สามารถต่อกลับเข้าไปใหม่ได้ หลังจากที่ฝึกใช้แขนสักหลายปีมันก็จะกลับมาแข็งแรงเหมือนเดิม”

เฒ่าหม่ากล่าว “แขนของข้าถูกจัดวางเอาไว้ในเจดีย์พันพุทธ อันเป็นสถานที่เก็บรักษาสรีระสังขารของยูไลรุ่นก่อนๆ หลวงจีนทั้งหลายจะสวดภาวนาคาถาตลอดทั้งวันทั้งคืน เพื่อรักษาความสดใหม่ของสรีระสังขารเหล่านั้น”

ฉินมู่ฟังแล้วสะดุ้ง เขาร้องออกมา “ในวัดใหญ่ฟ้าคํารามมีพุทธเจ้าอยู่ถึงร้อยองค์เชียวหรือ”

เฒ่าหม่ายักไหล่ “ข้าไม่ได้นับ แต่ดูแล้วก็คงราวๆ นั้น”

ฉินมู่สงบใจแล้วหันไปตรวจดูขาของเฒ่าเป๋ “ท่านปู่เป๋ ขาข้างนี้…โลหิตข้างในเน่าเสียหมด และขาก็ตายไปแล้ว มันไม่สามารถต่อกลับเข้าไปได้ใหม่อีกต่อไป”

เฒ่าเป๋หน้าซีดเผือด รอยยิ้มประดับหน้าของเขาหายวับ และรํ่าร้องออกมา “เป็นไปได้อย่างไร ข้านั้นเป็นที่เลื่องลือเรื่องขาเทวะ เพราะขาทั้งสองถูกฝึกฝนบ่มเพาะจนถึงขั้นเทพเจ้า แล้วทําไมมันถึงจะตายไปได้ ยิ่งไปกว่านั้นมันเพิ่งโดนตัดไปไม่นานมากนี้ เพียงแค่ยี่สิบสามสิบปีก่อน ข้าไม่เชื่อหรอกว่าขาเทวะข้าจะด้อยกว่าหมัดเทวะของเฒ่าหม่า มันต้องยังมีชีวิตอยู่แน่ๆ!”

ฉินมู่เผยยิ้มสัตย์ซื่อ “ขอแสดงความเสียใจด้วยท่านปู่เป๋ ขาของท่านน่ะตายไปแล้ว และไม่สามารถต่อคืนใหม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้นข้าเพิ่งชิมเลือดในขาของท่าน มันมีรสชาติของเครื่องเทศทั้งห้าและกลิ่นหอมควันไม้ข้างในนั้น ข้าคะเนว่ามันคงถูกทําให้เป็นขาหมูรมควันโดยราชครู”

เฒ่าเป๋หัวเราะอย่างแรงด้วยความโกรธเกรี้ยว “เด็กร้ายกาจ หลอกข้าอีกแล้วหรือ ราชครูจะยากจนถึงขนาดเอาขาข้าไปทําขาหมูรมควันได้อย่างไร”

เมื่อเขากล่าวจบ เขาก็พลันกระสับกระส่าย

“แต่ราชครูนั้นก็ยากจนข้นแค้นจริงๆ เขาคงไม่เอาขาข้าไปรมควันไว้เป็นของกินหรอก ใช่หรือเปล่า”

ฉินมู่กระหยิ่มใจ

เฒ่าหม่ากล่าว “อย่าหลอกให้เขากลัวสิ พวกโจรมักจะขี้ตื่น”

ฉินมู่ยิ้มกล่าว “แม้ว่าความสดใหม่ของแขนท่านปู่หม่าและขาท่านปู่เป๋จะไม่เท่ากับครึ่งท่อนล่างของท่านปู่คนแล่เนื้อ แต่ก็ยังมีพลังชีวิตหลงเหลืออยู่ในนั้น ช่วงแรกข้าจะใช้ตัวยาเพื่อกระตุ้นการทํางานของแขนขาพวกท่านก่อน หลังจากนั้นไม่ 10 วันก็ 1 เดือนแขนขาก็จะฟื้นคืนพลังชีวิต และเมื่อเชื่อมต่อมันกลับเข้าไปใหม่ ก็จะง่ายดายไร้ปัญหา ร่างท่อนล่างของท่านปู่คนแล่เนื้อนั้นถูกเชื่อมต่อกับร่างของหมอผีอาวุโส ดังนั้นจึงไม่หลงเหลืออาการบาดเจ็บตกค้างข้างใน แต่ของพวกท่านสภาพไม่ค่อยดีนักเพราะมันไม่ได้รับการหล่อเลี้ยงจากร่างกายที่มีชีวิต”

เฒ่าหม่ากับเฒ่าเป๋ระบายลมหายใจโล่งอก “ให้มันต่อกลับมาได้ก็ดีถมเถแล้ว”

เฒ่าเป๋ยิ้มกล่าว “ข้าหยิบสมุนไพรวิญญาณจากคลังสมบัติของวังหลวงมาบ้างนิดหน่อย เจ้าลองดูสิว่าสมุนไพรวิญญาณอันไหนที่ใช้ได้บ้าง ถ้าขาดอะไร ข้าจะไปและ…อืม หยิบยืมมาอีกหน่อย”

“ไม่ต้องหรอก คลังทรัพย์สินของมหาวิทยาลัยจักรวรรดิน่าจะมีสมุนไพรที่ต้องใช้มากพอ”

ฉินมู่เดินออกมาที่ลานบ้านและขณะที่เขาจะตรวจดูชนิดประเภทของสมุนไพรวิญญาณเหล่านั้นนั่นเอง เสียงของฮู่หลิงเอ๋อก็ร้องเรียกเขาจากข้างนอก “คุณชาย ราชครูมาเยือนแน่ะ”

“ราชครูมาที่นี่หรือ หรือว่าเขาสืบเสาะร่องรอยของท่านปู่เป๋มาจนถึงที่นี่”

ฉินมู่ประหวั่นพรั่นใจ เขารีบหันหลังไปงับประตูห้องหลักปิด จัดแจงเสื้อผ้าของตนแล้วจึงเปิดประตูลานบ้านต้อนรับราชครูสันตินิรันดร์ที่ยืนรออยู่ข้างนอก

ชายกลางคนผู้ซึ่งพลิกมือก็สะท้านไปทั้งแดนดินผู้นี้วางตัวเรียบง่ายธรรมดาอย่างยิ่ง เขายืนรออยู่ที่นั่นได้ พักใหญ่แล้ว และกล่าวอย่างแช่มช้า “เห็นว่าดุษฎีบัณฑิตมีเงินทองอยู่ ข้าจะขอยืมสักหน่อยได้หรือไม่”

ฉินมู่ยิ้มทั้งๆ ที่งงงวยในใจ “ราชครูมาคราวนี้เพื่อยืมเงินทองอย่างนั้นหรือ ราชครูผู้ยิ่งใหญ่เกรียงไกรจริงๆ แล้วขัดสนเงินทองหรือ”

ราชครูสันตินิรันดร์ตอบไปตามจริง “เมื่อข้าออกไปต่อสู้กับพวกกบฏ ก็มีโจรผู้หนึ่งเข้ามาในบ้านข้า และกวาดข้าวของในบ้านไปเสียเรียบวุธ ตอนนี้กระเป๋าของข้าว่างเปล่า แต่ยังคงต้องไปคฤหาสน์อ๋องพิทักษ์อุดรเพื่อแสดงความเสียใจ แต่ข้าไม่มีเงินทองหลงเหลือเลย…”

ฉินมู่ใจวูบไหวเล็กน้อย หรือท่านปู่เป๋จะยกเค้าทั้งเคหาสน์ราชครู และไม่หลงเหลือเงินทองไว้ให้เขาสักเบี้ย ท่านปู่เป๋แม้จะเหลือขาแค่ข้างเดียว แต่ว่องไวกว่าข้าหลายขุม

เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม “ราชครู ท่านต้องการเงินเท่าไร”

ราชครูสันตินิรันดร์คิดคํานวณอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าว “เงินเดือนของข้าคือ 800 เหรียญสมบูรณ์พูนสุข ดังนั้นข้าจะขอยืมเงินประมาณนี้เพื่อให้รอดพ้นเดือน”

ฉินมู่บอกฮู่หลิงเอ๋อ “หลิงเอ๋อ เข้าไปเอาเหรียญสมบูรณ์พูนสุขมาหนึ่งพันเหรียญ และส่งให้ราชครู”

ฮู่หลิงเอ๋อรับคําแล้วเผ่นแผล็วเข้าไปในห้อง ฉินมู่แย้มยิ้ม “ทําไมราชครูจะต้องยากจนขนาดนี้ด้วย”

ชายผู้นี้ส่ายหน้า “ความปรารถนาของนอกกายมากเกินไปจะกระทบการฝึกปรือและสติปัญญา เมื่อความปรารถนาน้อยนิด เงินทองก็ไม่สลักสําคัญ”

ทันใดนั้น ประกายตาเขาก็วูบไหวและเผยยิ้ม “ในห้องของเจ้า มีคนอื่นอยู่ คนผู้นี้เป็นตัวตนที่ประดุจยูไลนั่งนิ่งไม่ไหวติง…เอ๊ะ ไม่ใช่สิ น่าจะมี 2 คน อีกคนหนึ่งกลมกลืนไปกับฟ้าและดิน ไหลไปเรื่อยโดยไม่มีสิ่งใดฉุดรั้ง เหมือนกับว่าเขาจะหนีหายไปได้ทุกเมื่อ ท่าร่างของเขาเยี่ยมยอดอะไรอย่างนี้จนทําให้ตอนแรกข้าไม่ทันสังเกตเห็น! ดุษฎีบัณฑิต ทําไมเจ้าไม่เชิญข้าเข้าไปนั่งข้างในล่ะ”

ฉินมู่ส่ายหน้า “ราชครู ข้าคงไม่เชิญท่านเข้าไป ที่อยู่ข้างใน เป็นผู้เฒ่าที่บ้านของข้าที่แวะมาเยี่ยม พวกเขาได้รับบาดเจ็บ ดังนั้นจึงไม่สะดวกพบปะผู้คน”

“โอ…ที่แท้พวกเขาก็บาดเจ็บ ตัวข้าก็มีอาการบาดเจ็บในร่าง ดังนั้นควรแล้วที่ข้าจะไม่ไปรบกวนพวกเขา”

ฮู่หลิงเอ๋อนําเหรียญเงินถุงใหญ่มา และฉินมู่รับจากมือนางส่งให้ราชครูด้วยรอยยิ้ม “ หากราชครูยังขัดสนเงินทอง ก็ไม่จําเป็นต้องคืนให้ข้า ราชครู ผู้ที่มีจิตใจอันสูงส่งนั้นอาจจะเป็นคนยากจนได้ แต่ผู้มีจิตใจอันสูงส่งไม่จําเป็นต้องยากจนเสมอไป ความยากจนไม่ใช่เงื่อนไขที่จะทําให้คนมีจิตใจสูงส่ง”

ราชครูสันตินิรันดร์กล่าว “แต่ข้าต้องคืนให้ บําเหน็จรางวัลจากจักรพรรดิจะมาถึงข้าในอีกไม่กี่วันข้างหน้า และตอนนั้นข้าคงใช้หนี้ที่ยืมไปได้ ข้าเพียงแต่ต้องการเงินจํานวนนี้ประทังไปอีกหลายวัน”

เขากล่าวขอบคุณแล้วก็ลาจากไป

ฉินมู่รอจนเขาเดินไปไกลแล้วก่อนที่จะบอกให้ฮู่หลิงเอ๋อและกิเลนมังกรเฝ้าข้างนอกต่อ เขาเดินเข้าไปในห้องใหญ่แล้วถาม “ท่านปู่เป๋ ท่านกวาดเคหาสน์ราชครูจนเกลี้ยงเลยหรือ”

“เจ้าหมายความว่าอย่างไรที่ว่ากวาดจนเกลี้ยง” เฒ่าเป๋ส่ายหน้า “ในเคหาสน์นั้นแต่แรกก็ไม่ค่อยมีเงินทองอยู่แล้ว เครื่องเรือนมีค่าก็ไม่มีอีกต่างหาก ของที่มีราคามากที่สุดก็เห็นจะเป็นรูปภาพฝีมือเฒ่าหนวก อันลํ้าค่าจนประเมินราคามิได้”

ฉินมู่พิศวง ราชครูสันตินิรันดร์ย์ากจนขนาดนั้นเชียวหรือ เขาเป็นเสนาบดีคนสําคัญที่มีอิทธิพลอํานาจเหนือทุกชนชั้นสังคม เหตุใดเขาจึงไม่มีทรัพย์สินเสียบ้างเลย

มีขุนนางเจ้าหน้าที่หลายคนในจักรวรรดิสันตินิรันดร์เข้าไปซื้อเป็นเจ้าของเหมือง บางคนก็ตั้งโรงงานถลุงแร่ โรงงานหลอมเหล็ก และรํ่ารวยจนบรรยายไม่ถูก ส่วนราชครูนั้นทําไมถึงจนขนาดนี้

เฒ่าเป๋นําม้วนกระดาษออกมาจากที่ไหนก็ไม่ทราบได้ และคลี่มันออก “ภาพวาดเงาหลังกระบี่เทวะนี้ น่าจะเป็นภาพของผู้ใหญ่บ้าน ใช่ไหม เฒ่าหนวกน่าจะเคยเห็นผู้ใหญ่บ้านตอนเขายังหนุ่มฉกรรจ์ เคะเคะ ภาพนี้ไม่อาจมองดู มิเช่นนั้นตาเจ้าก็จะบอดสนิท…”

เขาม้วนภาพวาดกระบี่เทวะกลับไปและโยนมันให้ฉินมู่ “ข้าจะให้เจ้าละกัน เอาไว้ขับไล่ภูตผีปีศาจ ภาพวาดของผู้ใหญ่บ้านที่เฒ่าหนวกปาดป้ายพู่กันออกมาสามารถขับไล่ภูตผีมิให้กลํ้ากราย อย่าเปิดมันดูเด็ดขาด ด้วยวรยุทธ์ของเจ้าในขณะนี้ เจ้าจะตาบอด และอาจจะถึงแก่ชีวิต! แม้ว่าฝีมือจิตรกรรมของเฒ่าหนวกในครั้งกระนั้นจะยังเหยียบไม่ถึงแดนเทวะ แต่ตัวแบบที่เขาใช้วาดรูปนั้นทรงพลังอย่างยิ่ง ดังนั้นเจ้าจึงไม่อาจมองดู”

ฉินมู่เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่เขาก็รับภาพวาดเอาใส่ไว้ในถุงเต๋าตี้

เฒ่าหม่ากล่าว “เฒ่าหนวกนั้นเคยเห็นผู้ใหญ่บ้านมาก่อนจริงๆ นั่นละ แต่นั่นก็เป็นการเคารพนับถือเท่านั้นมิได้สนิทสนม ในหมู่บ้านเขาสนิทกับเฒ่าใบ้ที่สุด และตอนนี้เฒ่าใบ้ก็ออกจากหมู่บ้านมาโดยไม่พูดอะไรสักคํา ข้าเชื่อว่าเฒ่าหนวกก็คงนั่งไม่ติดและต้องออกมาตามหาเขาแน่ๆ”

ฉินมู่รู้สึกซึ้งใจ ตั้งแต่เขาออกมาจากหมู่บ้าน ผู้คนในหมู่บ้านพิการชราต่างก็ออกมาทีละคนสองคนแม้ว่าผู้เฒ่าเหล่านั้นจะปากแข็งว่าไม่ได้คิดถึงฉินมู่เลยสักนิด แต่พวกเขาก็อุตส่าห์ออกมาจากหมู่บ้านเพื่อเขา

เขาเพ่งสมาธิในการจําแนกแยกแยะสมุนไพรวิญญาณที่เฒ่าเป๋ ‘หยิบยืม’ มาจากวังหลวง และครุ่นคิดในใจ สมุนไพรจากวังหลวงนั้นล้ำค่าเสียจริง แต่ก็ไม่เลิศล้ำเท่ากับสมุนไพรในสวนของท่านปู่นักปรุงยา อันล้วนแต่เป็นสมุนไพรหายากในแดนดิน!

ด้วยสมุนไพรเหล่านี้ เขาก็สามารถจัดชุดตํารับยาสําหรับบํารุงแขนของเฒ่าหม่าและขาเทวะของเฒ่าเป๋ เขาเพียงแต่ต้องไปเอาสมุนไพรเสริมสรรพคุณจํานวนหนึ่งมาจากคลังทรัพย์สินของมหาวิทยาลัยจักรวรรดิเท่านั้น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version