Skip to content

Tales of Herding Gods 245

ตอนที่ 245 ราชาสวรรค์สยบทะเล

ฉินมู่ เฒ่าหม่า และเฒ่าบอดผงกหัวรับ แม้ว่าท่านยายซีจะเลอโฉม แต่นางก็มิได้ใช้ความงามของตนเป็นอาวุธ ในทางตรงข้าม นางรู้ดีว่าความงามของนางร้ายกาจเกินไปและริเริ่มที่จะปิดบังตนเอง แต่งตัวให้อัปลักษณ์เมื่อต้องพบเจอผู้คน

แต่ทว่าจ้าวลัทธิหลี่นั้นแตกต่างออกไป จิตใจของจ้าวลัทธิมารฟ้ารุ่นก่อนผู้นี้บิดเบี้ยวหนักเขาหลงรักท่านยายซีมากเกินไป และอิจฉาริษยาความงามของนาง อันทําให้เขาอยากที่จะกลายเป็นนาง ยิ่งไปกว่านั้น เขายังมีปฏิภาณความเข้าใจต่อคัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิตที่แตกต่างไปจากฉินมู่ แม้ว่าฉินมู่จะได้รับสืบทอดคัมภีร์เล่มเดียวกัน การสั่งสอนบนหินคนตัดไม้ก้อนเดียวกันและตรึกตรองทําความเข้าใจวิชาร้อยรัดเหมือนๆ กันแต่เขาได้รับอิทธิพลจากทุกๆ คนในหมู่บ้านมาตั้งแต่ยังเล็ก แม้ว่าการกระทําหลายอย่างของเขาจะกลอกกลิ้งลื่นไหล แต่โดยเนื้อแท้แล้วเขาเป็นคนที่เที่ยงธรรม

วิชาร้อยรัดของฉินมู่มีวิชากายาจ้าวแดนดินสามอมตะเป็นรากฐาน อันเป็นวิชาที่เที่ยงธรรมเป็นอย่างยิ่ง เวทมนตร์และทักษะเทวะหลายชนิดที่ผู้คนมองเห็นว่าชั่วร้าย เมื่อถูกใช้ผ่านมือเขาก็กลับดูเต็มไปด้วยกลิ่นอายของความถูกต้องเที่ยงตรง

วิชาร้อยรัดของจ้าวลัทธิหลี่กลับค่อนข้างชั่วร้าย และมีกลิ่นอายของมรรคามาร

จ้าวลัทธิหลี่ก็ย่อมไม่ยอมให้ ‘ตัวนาง’ ต้องมานั่งเจียมใจใส่เสื้อผ้าเก่าผืนหนังอัปลักษณ์พบหน้าผู้คน ในทางตรงกันข้าม ‘นาง’ จะโอ้อวดรูปโฉมอันหยาดเยิ้มของตนและสร้างการทําลายล้างแก่สรรพชีวิต

จ้าวลัทธิเฒ่าไม่ใส่ใจอย่างสิ้นเชิง หากว่าจะล่มเมืองด้วยแย้มยิ้มเดียว และล่มประเทศด้วยอีกรอยยิ้ม

ฉินมู่กลับเข้าไปในห้องของท่านยายซีและเก็บผืนหนังสัตว์ทั้งหมดที่นางสะสมเอาไว้ เขาเอาของพวกนั้นยัดใส่ถุงเต๋าตี้ ตระเตรียมไว้สําหรับเหตุฉุกเฉิน

เฒ่าหม่าและเฒ่าบอดเองก็จัดเตรียมสัมภาระ สัมภาระของเฒ่าบอดนั้นเรียบง่าย แค่ไม้เท้าไผ่และธงทํานายชะตาราศี ผังแปดทิศทํานายโชคอันทําจากทองแดงห้อยลงมาจากธง เฒ่าหม่าในทางตรงข้าม เขานําป้ายสักการะดวงวิญญาณของภรรยาและบุตรทั้งหลายไปด้วย หลังจากที่เขาจุมพิตป้ายพวกนั้น เขาก็จัดวางมันลงไปในห่อสัมภาระอย่างระมัดระวัง

เขาสวมชุดพระสีเขียวอันดูเหมือนหลวงจีนธุดงค์ที่กรําแดดผ่านแดนทุรกันดาร

จิตเต๋าของท่านยายซียังคงหวั่นไหวไม่เสถียรและมารจิตก็อาละวาดขึ้นมาเป็นพักๆ เฒ่าหม่าจะคอยช่วยนางสยบจ้าวลัทธิหลี่

และหากว่าการสยบด้วยวิชาพุทธไม่เพียงพอก็จะต้องทําให้ยายเฒ่าบาดเจ็บ และก็จะเป็นคราวที่ฉินมู่จะต้องเยียวยารักษาตามหลัง

พวกเขาเดินทางออกจากหมู่บ้านและยายเฒ่าซีก็หัวเราะเยาะ ตนเอง “ข้ายังต้องให้พวกเจ้ามาคอยคุ้มกันขนาดมู่เอ๋อก็ยังต้องมาคอยช่วย แต่ทว่าในเมื่อข้าเป็นธิดาเทพรุ่นก่อนของลัทธิมาร และยูไลเฒ่าเป็นพุทธองค์ เขาจะช่วยเหลือข้าอย่างนั้นหรือ”

เฒ่าหม่าไม่เผยอารมณ์บนใบหน้า “ยูไลเฒ่าจะช่วยเจ้าแน่ จ้าวลัทธิหลี่เป็นจ้าวลัทธิมารฟ้ารุ่นก่อนและมีความอาวุโสระดับเดียวกับยูไลเฒ่า ยูไลเฒ่าจะได้รับกุศลผลบุญจากการสยบมาร กําราบปีศาจ และการปราบจอมมารตัวเอ้ อย่างจ้าวลัทธิหลี่นี้ก็จะช่วยในการฝึกปรือสั่งสมวรยุทธ์ของเขาเป็นอย่างยิ่ง ยิ่งไปกว่านั้น การที่พุทธองค์สละตนเพื่อปราบมารนั้นเป็นเรื่องราวที่พบได้ทั่วไป”

ฉินมู่กล่าวอย่างวิตกกังวล “ข้าเกรงว่าเมื่อพวกเขาสยบจ้าวลัทธิหลี่ ก็จะสยบท่านยายไว้ด้วยเช่นกัน”

“ยูไลเฒ่าไม่ทําอย่างนั้นหรอก” เฒ่าหม่าส่ายหน้า “เขามีหลักการของตนเอง อันเป็นมรรคาเต๋าและศีลธรรมของเขา เมื่อถึงวรยุทธ์ในระดับนี้ เขาไม่จําเป็นต้องคิดข่มใจตนให้ทําตามศีลธรรมด้วยซํ้า การกระทําของเขาจะไม่ละเมิดศีลธรรมโดยอัตโนมัติ นั่นแหละคือศีลธรรม”

ฉินมู่อดไม่ได้ที่จะสงสัยใคร่รู้ เฒ่าหม่ามีความแค้นลึกลํ้ากับยูไลเฒ่า แต่จากคําพูดของเขา เขายังคงนับถือยูไลเฒ่าเป็นอย่างยิ่ง

นี่ไม่เพียงแค่เพราะยูไลเฒ่าครั้งหนึ่งเคยเป็นอาจารย์ของเขา หลวงจีนเฒ่าผู้นี้ต้องมีอะไรสักอย่างที่ทําให้ผู้คนเคารพนับถือ

“แต่ที่ข้ากังวลคือความสามารถของยูไลเฒ่าน่ะสิ” เฒ่าบอดเงยหน้าขึ้น “ยูไลเฒ่าจะมีความสามารถพอที่จะสะกดจ้าวลัทธิหลี่หรือเปล่า มารเฒ่าผู้นี้ครั้งหนึ่งเคยเป็นตัวตนในระดับเดียวกับเขามาก่อน”

ไม่มีใครกล่าวอะไรอีกต่อจากนี้

ท่ามกลาง 3 แดนศักดิ์สิทธิ์แห่งยุทธจักร มีสํานักเต๋า วิหารใหญ่ฟ้าคําราม และลัทธิมารฟ้า ในฐานะจ้าวลัทธิคนก่อนของลัทธิมารฟ้า จ้าวลัทธิหลี่นั้นเป็นตัวตนระดับสุดยอดในยุทธจักรที่วรยุทธ์ฝีมือเทียบชั้นกับยูไลเฒ่า

หากว่ายูไลเฒ่าหมายจะเคี่ยวกรําเขาให้แหลกสลาย นั่นคงยากเย็นยิ่ง

“วิหารใหญ่ฟ้าคํารามตั้งอยู่ที่ชายแดนของแดนโบราณวินาศกับจักรวรรดิสันตินิรันดร์” เฒ่าหม่ากล่าว “ตํานานกล่าวว่า เทือกเขาเทพทําลายนั้นเป็นเทือกเขาที่ถูกเทพเจ้าเฉือนตัด สร้างกําแพงธรรมชาติระหว่างจักรวรรดิสันตินิรันดร์กับแดนโบราณวินาศ”

“วิหารใหญ่ฟ้าคํารามก็มีตํานานที่คล้ายกันนี้ แต่มีเรื่องราวที่เพิ่มเข้ามา เมื่อเทพเจ้าเฉือนตัดดินแดนและเข้ามาใกล้เขาพระสุเมรุ ก็มีหลวงจีนจํานวนมากนั่งอยู่บนภูเขา พวกเขาอยู่เต็มไปทั่วภูเขาและสาบานว่าจะอยู่และตายพร้อมกับเขาพระสุเมรุ เทพเจ้าเห็นแก่ความตั้งใจมั่นของพวกเขาจึงอ้อมหลีกเขาพระสุเมรุ เทือกเขาอื่นๆ ถูกผ่าเป็น 2 แล่ง มีแต่เขาพระสุเมรุที่ปราศจากริ้วรอย”

เฒ่าบอดยิ้มกล่าว “ข้าคิดว่าเบื้องหลังเขาพระสุเมรุต้องมีผู้มีอิทธิพลสนับสนุนอยู่ ไม่เช่นนั้นเทพเจ้าคงไม่ใส่กับความเป็นความตายของหลวงจีนบนภูเขาพวกนั้นหรอก”

เขาพระสุเมรุตั้งอยู่ที่ชายแดนระหว่างแดนโบราณวินาศกับจักรวรรดิสันตินิรันดร์ ด้านหนึ่งคือจักรวรรดิและอีกด้านคือแดนโบราณวินาศ ภูเขาศักดิ์สิทธิ์นี้ค่อนข้างห่างไกลจากชายแดนนิรันดร์และด่านวารีลับ แต่ทว่ามันไม่ได้ไกลจากด่านชิงเหมินของแดนเหนือเท่าใดนักเดินทางไปเพียงสี่ห้าพันลี้ก็ถึง

ระยะทางจากหมู่บ้านพิการชราไปยังเขาพระสุเมรุนั้นก็เพียงสามหมื่นลี้ ฉินมู่นั้นเดินทางได้ช้ากว่าท่านยายซี เฒ่าหม่า และเฒ่าบอด ดังนั้นพวกเขาทั้งหมดจึงต้องใช้เวลาหกเจ็ดวันกว่าจะมาถึง

คํ่าคืนในแดนโบราณวินาศนั้นอันตรายร้ายกาจ ดังนั้นพวกเขาจึงได้แต่เร่งรุดไปในตอนกลางวัน เพราะอย่างนี้การเดินทางที่นี่จึงกินเวลามากกว่าเดินทางที่อื่น

หากว่าพวกเขาบินไปในอากาศ ก็จะไปยังเขาพระสุเมรุได้ในสองวัน แต่วรยุทธ์ของฉินมู่นั้นไม่สูงเพียงพอ พวกเขาจึงต้องหยุดเพื่อพักผ่อนและให้ฉินมู่ฟื้นฟูปราณชีวิตทุกๆ หนึ่งร้อยลี้ หากว่าเขาวิ่งด้วยความเร็วสุงสุด ดังนั้นการเดินทางบนภาคพื้นดินจึงดีกว่ามากๆ

ฉินมู่นํากิเลนมังกรมาด้วยเพื่อใช้ในการเดินทาง กิเลนมังกรนั้นพอจะตามเฒ่าหม่าและคนอื่นๆ ทันอยู่บ้าง ดังนั้นทุกๆ คนจึงไม่ต้องชักช้ารั้งรอเขา

เมื่อเย็นวันแรกมาถึง พวกเขาก็มาถึงวิหารโบราณแห่งหนึ่งอันรกร้างและไร้ผู้อยู่อาศัย ข้างในนั้นมีสัตว์พิสดารจํานวนหนึ่ง แต่พวกมันเมินเฉยพวกเขา นอนต่ออย่างเกียจคร้านข้างๆ รูปสลักราชาสวรรค์

“มู่เอ๋อ มาสิ มาเคารพบูชา” เฒ่าบอดนําธูปออกมาสองสามดอกและกวักมือเรียกฉินมู่ให้เข้ามาหา

ทั้ง 2 คน หนึ่งหนุ่มหนึ่งแก่ ไปยังเบื้องหน้ารูปสลักราชาสวรรค์โดยพลันและปักธูป 2 ดอกไว้ที่กระถางแตกหักข้างหน้า ก่อนที่จะก้าวถอยหลังไป 3 ก้าว จากนั้นทั้งคู่ก็ภาวนาด้วยเสียงเดียวกัน “ข้าน้อยนี้มาจากหมู่บ้านพิการชราอันตั้งอยู่ริมแม่นํ้า ข้าได้ผ่านทางวิหารของท่านและหมายจะพักขาที่นี่สักพักหนึ่ง หากว่าข้าได้ทําให้เจ้าของดินแดนสะดุ้งรบกวน ก็ขออภัยอย่างสุดซึ้ง ตั้งแต่ยังเล็ก ข้าน้อยมีพลังหยางอ่อนแอและร่างกายไม่แข็งแรง นกเขาของข้าไม่ขัน…”

“โว๊ะ!” ท่านยายซีร้องด้วยความโมโห นางกล่าวอีก “ไอ้บอด เจ้าสอนอะไรให้มู่เอ๋อหา!”

เฒ่าบอดหัวเราะ “ยายเฒ่าซี เจ้าอาจจะไม่กลัวถูกสูบพลังหยาง แต่พวกเรากลัว หากว่าเจ้าไม่เชื่อ เจ้าก็ลองถามมู่เอ๋อดูได้ว่า บทภาวนาที่ข้าสอนเขาได้ผลไหม”

ฉินมู่ผงกหัวหงึกๆ “มันได้ผลนะ เมื่อเสียนชิงเอ๋อได้ยินคําภาวนาของข้า นางก็ไม่สูบพลังหยางข้า”

ท่านยายซีไม่รู้จะหัวเราะหรือรํ่าไห้ นางเรียกฉินมู่เข้ามา “มา ช่วยข้าทําอาหาร”

หลังจากฉินมู่เข้าไปหา นางก็กระซิบบอก “เฒ่าบอดเต็มไปด้วยความคิดร้ายๆ อย่าไปเลียนแบบเขา”

เมื่อคํ่าคืนมาถึง รอบข้างวิหารราชาสวรรค์ก็เงียบเชียบ ไม่มีเสียงใดๆ นอกจากเสียงกรนของกิเลนมังกร

เฒ่าหม่านั่งตัวตรงเหมือนพุทธรูป ขณะที่เฒ่าบอดเอนกายกอดไม้เท้าไผ่นั่งพิงกําแพง หัวเขาก้มตกหลับใหล ส่วนฉินมู่นั้นแตกต่างออกไป เขาใช้หญ้าแห้งมาจัดเป็นเตียงฟาง 2 เตียง และให้ท่านยายซีนอนเตียงข้างๆ เขา

ในรัตติกาลอันลึกลํ้า พลันมีเสียงฆ้องและกลองดังออกมาจากข้างนอก ทุกคนในวิหารพลันตื่นตัวขึ้นมาทันที และฉินมู่ลุกขึ้นนั่งมองไปรอบๆ แต่ก็เห็นเพียงแต่ความมืด เทียนที่จุดไว้ในวิหารเปล่งแสงขมุกขมัว แต่เสียงฆ้องและกลองเหล่านั้นชัดเจนแก่หู เข้าใกล้มาทุกทีๆ

เฒ่าบอดและเฒ่าหม่ารีบมายังข้างกายของฉินมู่และยายเฒ่าซี เฒ่าหม่าให้สัญญาณพวกเขาให้เงียบเอาไว้

เสียงตีฆ้องและกลองดังใกล้เข้ามาทุกทีจนกระทั่งมาถึงหน้าวิหาร เสียงทุ้มลึกจํานวนหนึ่งร้องออกมา

“เงียบสงัด!”

“ท้าศึก!”

เทวรูป 2 รูปก้าวเข้ามาในวิหารโบราณ พวกมันสวมใส่ชุดเกราะเก่าพัง แม้ว่ารูปสลักหินเหล่านี้จะเก่าแก่สึกกร่อนแต่พวกมันก็ดูเหมือนเทพเจ้าที่มีชีวิต ฉินมู่กระทั่งได้กลิ่นเน่าส่งมาจากร่างกายของพวกเขา

รูปสลักหินเหล่านี้ดูยิ่งใหญ่อลังการ และโครงกระดูกขาวเป็นร้อยข้างหลังพวกเขาก็คือไพร่พลที่ถืออาวุธหักพัง ยืนเข้าแถวกันอย่างไร้ที่ติ ทหารจํานวนหนึ่งมีฆ้องและกลองในมือกระดูก ขณะที่ทหารอีกสี่ห้าตนถือธงที่มีอักษร ‘เงียบสงัด’ และ ‘ท้าศึก’ เอาไว้

รูปสลักหินเดินเข้ามาในวิหาร ขณะที่โครงกระดูกขาวเหล่านั้นยืนอยู่ข้างนอก

ฉินมู่เบิกตากว้างจับจ้องภาพอันพิลึกพิสดารข้างหน้าเขา กิเลนมังกรก็ตื่นขึ้นมาเช่นกันและกําลังหาวอยู่

เสียงมนุษย์พลันดังมาจากเทวรูปที่กําลังกล่าวแก่รูปสลักราชาสวรรค์ในวิหาร “รายงานราชาสวรรค์สยบทะเล ราชามังกรบูรพา อ้าวเจินใช้เหตุภัยธรรมชาติเพื่อก่อกบฏ ฝ่าบาทถ่ายทอดบัญชาแก่ข้าจากหมู่บ้านไร้กังวลเพื่อมาสนับสนุนราชาสวรรค์สยบทะเล ประหารกบฏ!”

กิเลนมังกรนอนอยู่ที่ขาของรูปสลักราชาสวรรค์ แต่เขากําลังงัวเงีย และไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ในตอนนั้นเอง รูปสลักราชาสวรรค์อันแข็งแกร่งและกํายําก็ขยับเขยื้อน ธงทั้ง 8 ข้างหลังรูปสลักสะบัดไหวไปมา และรูปสลักก็สั่นสะเทือนก่อนที่จะลุกขึ้นยืน ด้วยฤทธิ์อํานาจอันมิอาจลบหลู่ได้ มันตะโกนออกมา “ภัยพิบัตินี้เกาะกินเรามาตั้ง 20,000 ปีแล้ว แต่เจ้าหมอนี่ยังกล้าก่อกบฏ! นําดาบของข้ามา!”

เสียงชิ้งกังวานของกระบี่ที่ถูกชักออกจากฝักดังมาจากหลังวิหารราชาสวรรค์ ดาบโค้งมังกรเขียวที่ยาว 15 วาพุ่งทะลวงขึ้นมาจากพื้นดินหลังวิหารและพุ่งเข้ามาด้วยเสียงหวีดหวือ เทวรูปราชาสวรรค์ยื่นมือไปคว้าจับดาบนี้ และก็มีเสียงหึ่งของดาบที่สั่นสะเทือน

“ม้าศึกของข้าอยู่ที่ใด” เทวรูปราชาสวรรค์ตะโกน กิเลนมังกรพลันสะดุ้งจากภวังค์เมื่อเขาพลันรู้สึกตัวหนักยวบจากการที่ราชาสวรรค์นั่งลงมาบนหลังของเขา ร่างกิเลนมังกรลอยขึ้นไปอย่างควบคุมไม่ได้และเหาะออกจากวิหาร

กิเลนมังกรตระหนกตกใจอย่างหนักและได้ยินเสียงของเทวรูปราชาสวรรค์ดังมาจากข้างหลัง “พวกเจ้าจงอยู่ที่นี่เพื่อคุ้มกันสถานที่นี้เอาไว้ ข้าจะกลับมาหลังจากที่ประหารเขาเสร็จแล้ว!”

หลังจากที่คําสั่งถ่ายทอดออกไป กิเลนมังกรก็แปรเปลี่ยนเป็นดาวหางไฟพุ่งกรีดฟ้าโดยไม่เต็มใจขณะที่แบกเทวรูปราชาสวรรค์ไปบนหลัง

แทนที่จะบรรยายว่าเขากําลังแบกเทวรูปไป กลับเป็นเทวรูปราชาสวรรค์นั้นพาเขาไปด้วยมากกว่า ในเมื่อเขาไม่อาจจะแบกรูปสลักราชาสวรรค์ไปได้อย่างแน่นอน

ในวิหาร ฉินมู่ ท่านยายซี เฒ่าบอด และเฒ่าหม่าตกตะลึงอ้าปากค้าง พูดอะไรไม่ออกอยู่สักพัก

สักครู่หนึ่งพวกเขาจึงหันไปมองกันและกันอย่างอึ้ง ๆ ยากที่จะบอกว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไร แต่พวกเขาคะเนว่าคงใกล้จะรุ่งสางเต็มที และในตอนนั้น ก็มีเสียงคํารามมังกรดังมาในอากาศ จากนั้นตามด้วยเสียงสิ่งของหล่นปะทะพื้นดังสนั่น อันคือเศียรมังกรที่ร่วงลงจากฟ้าราตรีอันมืดมิดและกลิ้งหลุนๆ ไป 2 รอบในลานหน้าวิหารราชาสวรรค์

ฉินมู่รีบมองไปทันที แต่เศียรมังกรนั้นเป็นเศียรมังกรที่สลักขึ้นมาจากหิน มิใช่เศียรมังกรเลือดเนื้อจริง

เสียงคํารามมังกรดังลั่นอย่างไม่หยุดหย่อนเมื่อรูปสลักราชาสวรรค์ลอยกลับมาพร้อมขี่กิเลนมังกรมาด้วย เขากระโดดลงและขึ้นไปนั่งบนบัลลังก์บัวในวิหาร หลังจากที่วางดาบโค้งมังกรเขียวไว้ข้างตัวแล้ว เขาก็กล่าว “พวกเจ้าสามารถรายงานกลับไปยังฝ่าบาทได้ว่าโชคหนุนส่งให้ข้าสามารถสําเร็จภารกิจ และบั่นศีรษะกบฏแล้ว”

หลังจากที่รูปสลักหินเทพยดาทั้ง 2 รับคําสั่งของเขา พวกมันก็หันกายกลับและเดินออกไปยังความมืดข้างนอก พากองทัพโครงกระดูกขาวไปด้วย เมื่อพวกมันหายลับไปในมวลมืด เสียงเคาะฆ้อง ตีกลองก็ดังไกลออกไปจากวิหารราชาสวรรค์

เวลาผ่านไปอีกพักหนึ่ง เสียงไก่ขันก็แว่วมา และความมืดก็ถอยกลับไปยังทิศไกล ดวงอาทิตย์ลอยขึ้นไปบนท้องฟ้าและฉายแสงทาบทาวิหารราชาสวรรค์

ฉินมู่สลัดศีรษะ ราตรีนี้ราวกับความฝันอันแปลกพิกลสุดจะเอ่ย

เขามองไปยังกิเลนมังกรซึ่งยังคงนิ่งเหม่อและถามทันที “มังกรอ้วน เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”

“ข้าฝันน่ะ!” กิเลนมังกรที่งงงันกล่าว “ข้าฝันว่าข้าแบกเทวราชที่มีเพลิงไฟลุกท่วมตัวไป พวกเราบุกตะลุยสมรภูมิรบเหนือมหาสมุทรอันเถื่อนคลั่ง ฝ่าเหล่ามังกรเทพยดามากมายที่พุ่งโจมตีข้า แต่ทว่าพวกมันล้วนแต่ถูกสังหารด้วยดาบในมือเทวราชบนหลังข้า ข้าแบกเขาเข้าไปในทะเล และพวกเราก็สังหารเทพเจ้ามังกรจํานวนมาก จนในที่สุดก็ตัดศีรษะราชามังกรตนหนึ่ง จากนั้นก็กลับมาพร้อมกับศีรษะของเขา ความฝันนี้ช่างพิลึกเหลือเกิน…”

ฉินมู่มองไปยังเฒ่าบอดและเฒ่าหม่า ถามด้วยเสียงเบา “ท่านปู่บอด ท่านคิดว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนวานเป็นเรื่องจริงไหม”

เฒ่าบอดกับเฒ่าหม่าส่ายศีรษะ “ใครจะแน่ใจได้ว่าเรื่องพวกนี้ในแดนโบราณวินาศเป็นอย่างไร

พวกเรารีบเดินทางกันดีกว่า มุ่งหน้าไปยังวัดใหญ่ฟ้าคํารามสําคัญกว่าเรื่องนี้มาก”

ฉินมู่จ้องไปยังเทวรูปราชาสวรรค์ด้วยสายตาจมในห้วงคิด รู้สึกว่ามีบางอย่างที่ผิดปกติเกี่ยวกับที่นี่ เขาเดินไปข้างหน้าและยื่นมือไปแตะรูปสลักหินแต่ว่ามันเย็นเฉียบเหมือนนํ้าแข็งและมิได้เป็นเลือดเนื้อจริง

“ฝ่าบาทมีบัญชาจากหมู่บ้านไร้กังวล บัญชาของเขามาจากหมู่บ้านไร้กังวล…” ฉินมู่มีสีหน้าอันซับซ้อนพลางพึมพํากับตนเอง “หมู่บ้านไร้กังวลอยู่ที่ใดกันแน่…”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version