ตอนที่ 255 สันดานมารเกินเยียวยา
“รบกวนท่านแล้ว โฝจื่อ”
ฉินมู่กล่าวขอบคุณ ในเมื่อโฝจื่อโฝซิ่นตามเขาไปด้วย เขาจึงไม่ขี่กิเลนมังกรแต่กระโดดลงเพื่อเดินไปด้วย เป็นการแสดงความสุภาพ
“ท้องฟ้ามืดคํ่าไปแล้ว จริงๆ พวกเราน่าจะให้จ้าวลัทธิพักที่นี่อีกคืนหนึ่ง”
ทั้ง 2 คนเดินลงจากภูเขาโดยไม่เร่งร้อนแม้ว่าฝีเท้าของพวกเขาจะไม่เร็วมาก แต่ก็ยังไวกว่าการเดินทางของคนธรรมดาเป็น 10 เท่า
โฝซิ่นกล่าว “แม้ว่าจ้าวลัทธิมารฟ้าจะใช้เวลาอยู่ในวัดใหญ่ฟ้าคํารามไม่นานนัก แต่ก็สร้างความวุ่นวายไม่ใช่น้อย หลวงจีนหลายคนสูญเสียชีวิตและอีกหลายต่อหลายคนก็สึกออกไปเป็นฆราวาส แต่กระนั้นยูไลก็ยังอนุญาตให้จ้าวลัทธิลงจากภูเขาได้”
ฉินมู่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ยูไลมีจิตใจกว้างขวาง อันข้านับถือเป็นอย่างยิ่ง สมแล้วกับที่เป็นผู้ตรัสรู้แจ้งในฝ่ายพุทธ ยูไลได้ละทิ้งการกีดกันฉันเราเขาของค่ายสํานักและยินดีที่จะยื่นมือช่วยเหลือท่านยายซี อันทําให้ข้าซาบซึ้งนํ้าใจเขาเป็นอย่างยิ่ง”
โฝซิ่นส่งยิ้มกลับไป “จ้าวลัทธิ ข้าหมายที่จะชมดูคัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิตอีกรอบจะได้หรือไม่”
ฉินมู่นําคัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิตมาเปิดออกเผยให้เห็นข้อความในคัมภีร์นิพนธ์จํานวนนับไม่ถ้วน โฝจื่อโฝซิ่นอ่านพวกมันระหว่างที่เดินไปด้วยพลางส่ายหัว “วิชาแบบที่ทําร้ายผู้คนจริงๆ ทุกทักษะเทวะและทุกวิชาฝึกปรือล้วนแต่สอนสั่งถึงวิธีการคร่าชีวิตผู้อื่นแม้กระทั่งกระบวนการฝึกปรือก็ชั่วช้าอํามหิต”
ฉินมู่ตะลึงลาน “โฝจื่อ ทําไมเจ้าพูดเช่นนั้น”
“ดูที่วิชามารฟ้าเสกสรรนี่สิ อันถลกหนังผู้คนออกมาตัดเย็บเป็นเสื้อผ้า วิญญาณ จิต ลมปราณ และโลหิตล้วนแต่จะถูกผนึกเอาไว้เพื่อสร้างเสื้อผ้าที่สามารถเปลี่ยนได้ตลอดเวลา นี่มิใช่วิชาชั่วร้ายหรอกหรือ”
ฉินมู่แย้มยิ้ม “วิชามารฟ้าเสกสรรหลักๆ แล้วฝึกร่างกายภายใน ใช้วิชานี้เพื่อปิดผนึกดวงวิญญาณ จิต ลมปราณ โลหิต ของตนเองเอาไว้ เพื่อป้องกันมิให้เวทมนตร์จากภายนอกรุกรานเข้ามาในตัวเจ้า นี่มิใช่ใช้เพื่อถลกหนังคนมาทําเสื้อผ้า หากว่าใครต้องการจะแปลงรูปโฉมเปลี่ยนร่างกาย สามารถใช้วิชาเทพสวรรค์เสกสรรค์กับวิชาวิญญาณเสกสรรควบคู่กันได้”
โฝซิ่นส่ายหน้า “จ้าวลัทธิ เจ้าต่างหากคือคนที่ตรึกตรองทําความเข้าใจคัมภีร์แบบผิดๆ ใครบ้างล่ะที่ไม่เคยได้ยินเรื่องชั่วช้าของลัทธิมารฟ้า เจ้านั้นยังเยาว์อยู่ เจ้าจะได้อ่านอะไรมาสักเท่าไรเชียว จึงเป็นธรรมดาที่เจ้าจะเข้าใจอะไรแบบผิดๆ ลองดูที่วิชาเซียนเถียนเสกสรรสิ นี่เป็นวิชามารชัดๆ อันกระบวนการฝึกปรือมีวิธีเดียวคือกันแย่งชิงปราณเซียนเถียนของทารกแรกคลอด! ผู้ที่ฝึกวิชานี้จะไม่มีวันแก่เฒ่า แต่จะต้องอาศัยกองซากศพทารกแรกคลอดตั้งเท่าไรล่ะ!”
ฉินมู่ไม่รู้จะหัวเราะหรือรํ่าไห้ และเขาก็กล่าวแก้ไขให้หลวงจีนนี้เข้าใจให้ถูกต้อง “ปราณเซียนเถียนที่เขาว่ากันมิได้หมายถึงทารก แต่หมายถึงสภาวะแบบทารก นั่นคือสภาวะเซียนเถียน จุดเริ่มต้นของหยินและหยาง รักษาสภาวะดั้งเดิม สายสะดือนั้นเชื่อมโยงมารดากับทารก ดังนั้นทารกจึงไม่จําเป็นต้องหายใจ วิญญาณของพวกเขาจึงบริสุทธิ์ไร้ราคี โฝจื่อ เจ้าเข้าใจผิดพลาด ไม่มีความจําเป็นที่จะต้องกินสายสะดือหรือทารกเพื่อฝึกปรือวิชานี้ ในทางกลับกันเจ้าจะต้องบําเพ็ญจิตเหมือนเจ้าเป็นทารกคนหนึ่ง ต่างหากล่ะ”
โฝซิ่นส่ายหน้า “จ้าวลัทธิ ยังจะปฏิเสธอีกหรือ ดูวิชาดินอสงไขยเสกสรรนี่สิ เป็นวิชามารอันรวมรวมแก่นพลังของดวงตะวันและผืนดิน เพื่อเคี่ยวกรําสรรพสัตว์ให้มอดไหม้เป็นผุยผง? ยิ่งเผาคนตายไปมากเท่าไร ก็จะมีวิญญาณอาฆาตมากเท่านั้นอันจะเสริมพลังให้กับทักษะนี้เข้าไปอีก สุดท้ายแล้วเพลิงปีศาจนี้ก็จะเปลี่ยนเป็นนรก ทั้งหมดก็เพื่อดินอสงไขย!”
ฉินมู่ยิ้มกล่าว “วิชานี้มีคําว่าเสกสรร ดังนั้นมันจึงใช้เพื่อเพาะปลูกจิตวิญญาณ เสริมความแข็งแกร่งให้แก่วิญญาณดั้งเดิม”
“ใช้ดวงวิญญาณผู้อื่นเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้วิญญาณดั้งเดิมของตน นั้นจะไม่ใช่วิชามารได้อย่างไร” โฝซิ่นถาม
ฉินมู่ส่ายหน้าแล้วกล่าว “วิชานี้สามารถใช้ประกอบวิชาเซียนเถียนเสกสรร รักษาความดั้งเดิมเที่ยงแท้ของจิตใจและจิตวิญญาณ ผู้ฝึกเปลี่ยนตนให้อยู่ในสภาวะทารกและเชื่อมโยงตนเองกับผืนปฐพี โดยสูบกลืนปราณของพระแม่ธรณี ผู้ฝึกก็สามารถเสริมความแข็งแกร่งให้วิญญาณดั้งเดิมของตน เช่นเดียวกับใช้มันเพื่อเสกสรรทุกสรรพชีวิต โฝจื่อ ข้าได้ฝึกคัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิตมาปีสองปีแล้ว และทารกวิญญาณข้าก็แข็งแกร่งอย่างเหลือเชื่อ ผลลัพธ์ของ 2 วิชาดังกล่าวนั้นมิใช่น้อยเลย เจ้าเองก็สามารถฝึกปรือมันได้”
โฝซิ่นยิ้มกล่าว “ข้าไม่ฝึก ข้าเพียงแค่อยากจะวิพากษ์”
ฉินมู่จ้องมองเขาด้วยสายตาลึกซึ้ง โฝซิ่นยังดูไม่สะดุ้งหวั่นไหวและดูไม่เหมือนกับโกหก ดังนั้นฉินมู่จึงยิ้มให้เขา “ถ้าอย่างนั้น เชิญโฝจื่อวิพากษ์คัมภีร์ต่อ”
โฝจื่อยังคงอ่านคัมภีร์ไประหว่างที่เดินห่างจากวัดใหญ่ฟ้าคําราม “ลัทธิมารฟ้าของเจ้าสมแล้วกับที่มีคําว่ามารในชื่อ สันดานมารในคัมภีร์คำสอนนี้หนักหน่วงนัก วิชาฝึกปรือ วิชาช่วงใช้ และทักษะเทวะเหล่านี้ ล้วนแต่น่าอกสั่นขวัญแขวนและน่าหวาดสยอง วิชานี้ที่เรียกว่าวิชาส่งศพ หากผู้ใดที่หมายจะฝึกปรือมันมิใช่ว่าจะต้องฆ่าล้างครัวใครหรอกหรือ”
ฉินมู่ส่ายหน้า “อันที่จริงแล้ววิชานี้เป็นวิชาฝึกปรือของโถงงานศพของลัทธิมารฟ้าเรา และที่พวกเขาฝึกปรือคือคนกระดาษและม้ากระดาษ พวกเขาช่วยผู้คนจัดเตรียมงานศพ ขับไล่ภูตผี และนําโชคลาภมาสู่ลูกหลานทายาท โฝจื่อหากว่าเจ้าจะอ่านคัมภีร์นี้ด้วยสายตาอคติ อ่านต่อไปก็ไม่มีประโยชน์ ข้าเกรงว่าจิตพุทธของเจ้าจะถูกทําลาย”
โฝซิ่นหัวเราะ “จ้าวลัทธิฉิน วัดใหญ่ฟ้าคํารามข้าได้แสดงพระสูตรมหายานยูไลให้เจ้าดูจนปรุโปร่งแล้ว แต่เจ้าไม่อยากให้ข้าอ่านคัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิตหรอกหรือ”
ฉินมู่ยิ้มเล็กน้อย “ถ้าอย่างนั้นก็ได้ ตามใจเจ้าละกัน”
ทั้ง 2 คนเดินลงเขาต่อไป และยิ่งโฝซิ่นอ่านไปมากเท่าไร เขาก็ส่ายหน้ามากขึ้นเรื่อยๆ และเมื่อพวกเขาลงมาถึงตีนเขา ก็เป็นเวลาเที่ยงคืนแต่ในตอนนี้โฝซิ่นได้อ่านคัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิตไปจนครึ่งทางแล้ว
ฉินมู่มองไปรอบๆ ทางทิศเบื้องหน้าของเขาคือจักรวรรดิสันตินิรันดร์ หากว่าเขาลงไปอีกฟากของภูเขา เขาก็จะพบกับแดนโบราณวินาศ แต่ในเมื่อตอนนี้เป็นยามราตรี เขาจึงไม่อาจย่างกรายเข้าไปได้
เทศกาลปีใหม่สิ้นสุดลงแล้ว และตอนนี้เป็นเดือนที่ 2 ของปี บนท้องฟ้าเห็นดาวกระจายอยู่น้อยและลางเลือน ทว่าดวงจันทร์กําลังฉายแสงอย่างกระจ่าง มันเป็นจันทร์เสี้ยวที่สาดส่องแสงนวลตาอันสว่างกว่าปกติ
ตรงนี้อยู่ใกล้วัดใหญ่ฟ้าคําราม ดังนั้นเมฆมืดเหนือท้องฟ้าจึงถูกหลวงจีนชั้นสูงขจัดออกไปตั้งนานแล้ว ท้องฟ้าที่นี่กระจ่างเป็นพิเศษ
มีหมู่บ้านใกล้ๆ ที่นับถือพุทธและบูชาพุทธรูป แต่ทว่าที่ดินรอบๆ เป็นกรรมสิทธิ์ของวัดใหญ่ฟ้าคําราม ดังนั้นผู้คนทั้งหมดรอบๆ จึงทําอาชีพเกษตรกรรม พวกเขาไม่จําเป็นต้องจ่ายค่าเช่าที่แก่สภาราชสํานัก แต่ส่งปัจจัยบูชาแก่วัดใหญ่ฟ้าคํารามแทน เป็นค่าใช้ที่ดินในการเพาะปลูก
ฉินมู่หมายจะกลับไปที่จักรวรรดิสันตินิรันดร์ เหตุผลแรกนั้นเพื่อฝึกปรือบ่มเพาะตนเองต่อ ส่วนเหตุผลที่ 2 นั้นเพื่อไปจัดการบริหารลัทธิมารฟ้า หลี่เทียนซิ่งได้หนีไปทางจักรวรรดิสันตินิรันดร์ เมื่อเขาหนีหลุดออกมาจากเจดีย์พันพุทธ
โฝซิ่นยังคงอ่านคัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิตเมื่อทั้งคู่มาถึงประตูภูเขา หลวงจีนที่เฝ้าประตูภูเขานั่งอยู่พร้อมกับตะเกียงดวงหนึ่งและสัตว์พิสดารกวางใหญ่ตัวหนึ่งคู้ตัวหลับอยู่ข้างๆ
และยังคงมีผู้รับใช้ติดตามอยู่ด้วยจํานวนหนึ่ง พวกเขาลุกขึ้นทันทีเมื่อเห็นผู้เดินลงจากเขา โฝจื่อโฝซิ่นเดินเข้าไปเพื่อไต่ถามที่มาของพวกเขา และหนึ่งในนั้นตอบ “พวกเราคือผู้ติดตามรับใช้ขององค์รัชทายาท ในเมื่อพวกเราเป็นคนธรรมดา จึงไม่อาจเข้าไปในวัดได้และต้องรออยู่ข้างนอก”
“ข้ากําลังไปส่งจ้าวลัทธิมารลงจากภูเขา ดังนั้นจึงไม่มีเวลาต้อนรับขับสู้ทุกๆ ท่าน ต้องขออภัยด้วย”
โฝจื่อเรียกกวางใหญ่และจูงสัตว์พิสดารตัวนั้นเข้ามา “จ้าวลัทธิฉิน ข้ายังต้องใช้เวลาอีกชั่วโมงถึงจะอ่านจบ หากว่าจ้าวลัทธิฉินไม่ว่ากระไร ข้าก็ใคร่จะไปส่งท่านกวางใหญ่แห่งวัดใหญ่ฟ้าคํารามตัวนี้ฟังธรรมมาตลอดหลายปีทําให้มันมีวรยุทธ์อันลึกลํ้า ดังนั้นมันก็จะสามารถทัดเทียมกับความเร็วกิเลนมังกรของท่านได้”
ฉินมู่ยิ้มละไม “แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน”
กวางใหญ่และกิเลนมังกรก้าวไปด้วยฝีเท้าที่เร็วสมกัน ในขณะที่แสงพุทธธรรมสาดส่องจากรัศมีหลังศีรษะของโฝซิ่นเพื่อช่วยให้เขาอ่านคัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิตต่อ
“จ้าวลัทธิมาร?” ดวงตาของเหล่าผู้ติดตามของรัชทายาทลุกวาบ และพวกเขาก็ถาม “จ้าวลัทธิมารคนไหน”
หลวงจีนที่เฝ้าประตูภูเขากล่าว “จะเป็นคนไหนได้ล่ะ นั่นคือจ้าวลัทธิฉินแห่งลัทธิมารฟ้า เขามาราวกับมะเร็งร้าย และล่อลวงหลวงจีนจํานวนมากให้สึกไปเป็นฆราวาส หลายต่อหลายคนเป็นอาจารย์อาอาจารย์ลุงของข้าด้วยซํ้า”
ผู้ติดตามมองกันไปมาก่อนจะเผยอยิ้ม “พวกเราสร้างความดีความชอบได้ที่นี่! จ้าวลัทธิมารฟ้าสังหารซุ่นหนันถัวและกวาดล้างวัดหนันถัว และพวกเราก็ประจวบเหมาะมาพบเจอเขาที่นี่! ไปกัน ไปเอาความดีความชอบ!”
“ประสก อย่าทําชั่ว อย่าฆ่าคน อย่าทําร้ายโฝจื่อของพวกเรา!” หลวงจีนเฝ้าประตูรํ่าร้องอย่างแตกตื่น
ผู้ติดตามของรัชทายาทยิ้มกล่าว “ไม่ต้องห่วง!”
ฉินมู่นั่งบนหลังกิเลนมังกรและเงยมองดวงจันทร์บนท้องฟ้าไม่วางตา ตัวก็โยกขึ้นๆ ลงๆ ตามจังหวะย่างก้าวของกิเลนมังกร บัดนี้เป็นวันที่ 8 เดือน 2 และดวงจันทร์ก็เสี้ยวเว้าเป็นอย่างยิ่ง
ไม่นานนัก โฝซิ่นก็ระบายลมหายใจออกมาและคืนคัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิตแก่ฉินมู่ “หลวงจีนตํ่าต้อยนี้อ่านเสร็จแล้ว คัมภีร์พวกนี้นับว่าเป็นแบบฉบับของมารที่แท้จริง ว่าแต่ทําไมจ้าวลัทธิถึงมองดวงจันทร์บนท้องฟ้าไม่วางตาเลยล่ะ”
“ในแดนโบราณวินาศไม่มีดวงจันทร์” ฉินมู่ละสายตาออกและแตะคัมภีร์มารฟ้าหมาศึกษิตเบาๆ มันเปลี่ยนกลับไปเป็นก้อนไหมพรม และเขาก็ยิ้ม “ดังนั้นทุกๆ ครั้งที่ข้าเห็นดวงจันทร์ ข้าก็จะพบว่ามันช่างสวยงามและน่าหลงใหล ยิ่งไปกว่านั้น ข้าอยากเห็นเขตแดนของวัดใหญ่ฟ้าคําราม”
โฝซิ่นอึ้ง ไปเล็กน้องและถามอย่างใคร่รู้ “เขตแดนของวัดใหญ่ฟ้าคําราม?”
ฉินมู่พยักหน้า เมื่อเขาเห็นดวงจันทร์ถูกเมฆมืดปิดบังบนท้องฟ้า เขาก็กระโดดลงจากหลังกิเลนมังกร ตรงจุดที่เขากระโดดลงนั้น ครึ่งซีกมีแสงจันทร์สาดส่อง ส่วนอีกครึ่งจมอยู่ในความมืดใต้เมฆดํา
“เขตแดนของวัดใหญ่ฟ้าคํารามน่าจะอยู่แถวๆ นี้ มองดูสิโฝจื่อ หลวงจีนอาวุโสแห่งวัดใหญ่ฟ้าคํารามปัดเป่าเมฆดําในเขตแดนของตนเอง ดังนั้นเมฆดําที่นี่จึงเป็นของจักรวรรดิสันตินิรันดร์ ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับวัดใหญ่ฟ้าคําราม”
โฝซิ่นก็กระโดดลงจากกวางใหญ่และเงยหน้ามองที่ท้องฟ้า ก่อนจะก้มลงมองพื้นดินอีกครั้ง เขากล่าวอย่างตกตะลึง “ข้าไม่เคยรู้เลยว่าวัดใหญ่ฟ้าคํารามก็มีเขตแดน ถ้าอย่างนั้น ก็น่าจะมีหินปักปันเขตอยู่ใกล้ๆ”
ฉินมู่สนใจขึ้นมาทันที และยิ้มกล่าว “ทําไมเราไม่ลองหามันดูล่ะ”
โฝซิ่นเองก็ดูเหมือนจะมีใจเยาว์และ 2 หนุ่มนี้ก็เริ่มเสาะหา
รอบๆ เวลาผ่านไปสักพัก พวกเขาก็เจอหน้าผาขาดอันเคยเป็นยอดเขาเล็กๆ ยอดเขานี้เหลือเพียงครึ่งเดียว และบนหน้าผายอดเขาสูง 15 วานั้นก็มีข้อความเขียนไว้อยู่ว่า ‘เขตแดนของวัดใหญ่ฟ้าคําราม’
โฝซิ่นปรบมือแล้วหัวเราะร่า “มีหินปักปันเขตจริงๆ ด้วย! แม้ว่าข้าจะเป็นหลวงจีนในวัดใหญ่ฟ้าคําราม ข้าก็ไม่เคยได้ยินภันเตทั้งหลายพูดถึงมันมาก่อน จ้าวลัทธิฉิน ข้าได้ยินว่าลัทธิมารฟ้ามิได้ฝึกบําเพ็ญใจ และไม่จําเป็นต้องมีกรอบคิดจิตใจอันสูงส่ง วิชาของลัทธิมารฟ้าของพวกเจ้าฝึกปรือได้อย่างรวดเร็ว เพราะฝึกเพียงวิชาและไม่ได้ฝึกบําเพ็ญใจ เจ้านั้นจึงถูกมารเข้าสิงได้อย่างง่ายดาย”
ฉินมู่ซึ่งยืนอยู่ใต้หินปักปันเขตเงยหน้าขึ้นสํารวจตรวจตราลายมือที่เขียนไว้ และกล่าวตอบ “มีคํากล่าวกันอย่างนั้นจริงๆ นั่นแหละ”
สายตาของโฝซิ่นลุกวาบ และกล่าว “วิชาพุทธฝึกบําเพ็ญใจ ดังนั้นหากเราเสริมมันด้วยความรวดเร็วในการฝึกปรือของลัทธิมารฟ้า นั่นจะไม่สมบูรณ์แบบหรอกหรือ”
ฉินมู่ยังคงเพ่งพิศข้อความบนหินปักปันเขต ดังนั้นเขาจึงกล่าวอย่างใจลอย “นี่ ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน”
โฝซิ่นมองไปยังหลังของฉินมู่ และมองเลยไปยังหินปักปันเขตตรงหน้า ทั้งคู่ไม่มีใครเอ่ยวาจาต่อ
ทันใดนั้นแสงพุทธธรรมก็ฉายฉานและปราณมารเข้มข้นก็พลันแผ่สยายต้หินปักปันเขต โลกถึงแบ่งออกเป็นพุทธและมาร หนึ่งเที่ยงธรรมหนึ่งชั่วร้ายเข้าปะทะกันด้วยเสียงกัมปนาท!
ฉินมู่หันกลับไปรัศมีธรรมจากหลังศีรษะเขาฉายสาดส่อง ราวกับหลวงจีนจีวรเหลืองผู้ที่ทุกอากัปกิริยาจะเรียกสายฟ้าฟาด ที่เขาช่วงใช้นั้นคือพระสูตรมหายานยูไล ส่วนโฝซิ่นแผ่ปราณมารอันชั่วร้ายและมีเพลิงมารโหมวูบวาบรอบๆ กายเขา ที่เขาใช้นั้นคือวิชาดินอสงไขยเสกสรร!
ทั้งคู่พลันปะทะกันใต้หินปักปันเขตโดยไม่พูดพรํ่าทําเพลง ปราณชีวิตของฉินมู่สร้างเมฆเหนือศีรษะเขา ภายในหมู่เมฆสรวงสวรรค์ 5 ชั้นและพุทธเจ้ากว่าหมื่นองค์ก็ปรากฏอยู่รางเลือน ในขณะเดียวกัน ปราณมารรอบๆ โฝซิ่นก็ลุกไหม้ และเพลิงมารก็ยิ่งร้อนแรงดุเดือด
ทั้ง 2 คนกระโดดทะยานราวกระต่าย และพุ่งโฉบลงมาเหมือนกับนกเหยี่ยวใต้หินปักปันเขตของวัดใหญ่ฟ้าคําราม แต่ทันใดนั้นก็มีเสียงปังดังสะเทือนเลื่อนลั่น เมื่อโฝซิ่นครางหนักๆ และผงะถอยไปหนึ่งก้าว ฉินมู่สืบเท้าเข้าไปก้าวหนึ่งและซัดฝ่ามือยํ้าๆ อย่างต่อเนื่อง แต่ละการโจมตีของเขาหนักหน่วงราวกับหินปักปันเขตวัดใหญ่ฟ้าคําราม!
โฝซิ่นถอยกรูดๆ เลือดสดๆ หลั่งไหลจากดวงตา หู ปาก และจมูกของเขา
ตูม!
ฉินมู่ซัดไปอีกฝ่ามือ และเขานั้นดูเหมือนกับพุทธรูปองค์มหึมาที่ฟาดซัดด้วยเพลิงกรรมอันไร้สี โฝซิ่นยกมือขึ้นรับการจู่โจม แต่กลับได้ยินเสียงกระดูกหักกรอบแกรบ เขาจึงถอยหลังไปอีก และพบว่าหลังของเขาไปประจันกับหินปักปันเขต อันทําให้ใจเขาตกวูบ!
ตูม!
ฉินมู่ฟาดหมัดอีกครั้ง และโฝซิ่นก็ครางหนักๆ อีกรอบเมื่อเขาร่วงลงไปนั่งลงใต้หินปักปันเขต เขาเงยหน้าขึ้นแล้วออกปาก “พอแล้ว ข้ายอมแพ้…”
ฉินมู่เงื้อหมัดขึ้นและต่อยเขาไปอีกหลายชุด สักพักหนึ่งเขาก็ลุกถอยออกมา ทิ้งโฝซิ่นให้นั่งหน้าตาเละเทะ
“สันดานมารของเจ้าเกินเยียวยา ข้าจะไว้ชีวิตเจ้าเพื่อดูว่าเจ้าจะทําลายวัดใหญ่ฟ้าคํารามอย่างไรในอนาคต” ฉินมู่รั้งหมัดกลับ ปลายนิ้วของเขาย้อมอาบไปด้วยโลหิต เมื่อมองไปยังโฝซิ่นที่เละเทะจนดูไม่ได้ เขาก็กล่าวอย่างแผ่วเบา “เจ้าตีความทุกวิชาที่เจ้าเห็นในคัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิตอย่างผิดๆ โดยสิ้นเชิง และเจ้านั้นเหมือนมารเสียยิ่งกว่ามารตัวจริง หากว่าข้าปล่อยให้เจ้ามีชีวิตอยู่ต่อไป วัดใหญ่ฟ้าคํารามจะต้องถูกทําลายในเงื้อมมือเจ้าอย่างแน่นอน”
โฝซิ่นยังคงมีลมหายใจอยู่ และหมายจะกล่าวอะไรสักอย่าง แต่พลันมีแสงกระบี่พุ่งแทงใส่ใจกลางหว่างคิ้วของเขา และกระบี่บินก็ทะลวงผ่านกะโหลกศีรษะ ปักเขาไว้ที่หินปักปันเขต
เมื่อเขากําลังหมดลมหายใจ เขาก็ได้ยินเสียงตะโกนมาด้วยความยินดี “ในที่สุดจ้าวลัทธิมารก็ตาย! สันดานมารของไอ้ชั่วนี่หนักหนาเกินเยียวยาจริงๆ!”
“โฝจื่อยังคงเมตตาเกินไป และไม่ลงมือปลิดชีวิตมัน” อีกคนหนึ่งหัวเราะ “สุดท้ายก็ต้องเป็นพวกเราที่จบชีวิตของมัน! ตัดหัวมันซะแล้วเอาไปขึ้นรางวัลกับองค์รัชทายาท!”