Skip to content

Tales of Herding Gods 48

48. วิญญาณมังกร

ฮืมมม

ที่หลังของฉินมู่ ปรากฏวงล้อธรรมจักรแสงแผ่รัศมีเจิดจ้าไปทั่วทิศจากศีรษะพุทธองค์ แม้กระทั่งหมอกประหลาดนี้ก็ยังถูกชำระล้างโดยแสงธรรมพุทธองค์ เมื่อได้ยินเสียงหล่นเคร้งคร้างโดยรอบ ฉินมู่ก็เหลียวแลดูและพบว่ามีซากศพแห้งเหี่ยวหนังติดกระดูกจำนวนมากร่วงหล่นจากอากาศลงเกลื่อนพื้น!

นอกจากศพแห้งเหล่านี้ ยังมีโครงกระดูกที่ปราศจากเลือดเนื้อ เหลือแต่กระดูกขาวโพลนที่ยังคงแต่งกายด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์ เสื้อผ้าเหล่านี้ดูกรุยกรายคล้ายชุดที่ใส่กันในราชสำนัก

หมอกรอบตัวเขาหายวับไป และเปิดทัศนวิสัยให้เขาเห็นทุกอย่างกระจ่างตา ทว่า…เสียงเพลงที่อ่อนหวานและเศร้าสร้อยนั้นก็ยังไม่จางหาย เพียงแต่เหมือนล่องลอยห่างจากเขาไป

ฉินมู่คลายปราณกลับคืน รูปเงาพุทธองค์เบื้องหลังเขาก็สูญสลาย

ทำไมถึงมีซากศพมากมายซ่อนอยู่ในโถงกลางนี้ แถมยังดูเหมือนไม่ใช่ชาวยุทธธรรมดาอีก…

ฉินมู่กวาดตามองบรรดาศพแห้งและโครงกระดูก ก่อนที่จะขมวดคิ้วเล็กน้อย ที่นี่มีศพมากมายเกินไป และที่ผิดปกติคือศพเหล่านี้ไม่ยอมเน่าเปื่อย ซากร่างของราชามังกรแม่น้ำหย่งข้างนอกนั่นเน่าเปื่อยไปจนเหลือแต่กระดูกแล้ว เหตุใดซากศพในโถงนี้ถึงยังรักษาสภาพไว้ได้โดยไม่เสื่อมสลาย

เป็นไปได้ว่า เจ้าของซากร่างเหล่านี้เข้ามาในแดนโบราณวินาศหลังจากมหาภัยพิบัติ พวกเขาพบเส้นทางที่นำมายังวังมังกรแม่น้ำหย่ง และเข้ามาในโถงใจกลางนี้เหมือนข้ากับฮู่หลิงเอ๋อ

ฉินมู่หางตากระตุก และเขม้นมองไปข้างหน้าเพื่อพบว่าในส่วนลึกกว่านั้นของโถงกลางยังคงถูกปกคลุมไว้ด้วยหมอกประหลาด

ต้องเป็นสิ่งที่ซ่อนอยู่ในหมอกนั่นที่สังหารพวกเขา และแปรเปลี่ยนศพของพวกเขาให้กลายเป็นมัมมี่!

ฉินมู่เสียวสันหลังวาบ มือเขากำไม้เท้าขักขระแน่น มิน่าล่ะไม้เท้าขักขระนี้ถึงมีค่าเท่ากับเมืองใหญ่เมืองหนึ่ง เขาเพียงแค่ส่งปราณชีวิตเข้าไปในไม้เท้า มันก็สามารถเปล่งพลังมหาศาลเกินจินตนาการออกมาได้

เป็นท่านยายซีที่บอกให้เขาเอาไม้เท้าขักขระออกมาด้วย ท่านยายซีนั้นเอาใจใส่สวัสดิภาพความปลอดภัยของเขาเป็นอย่างยิ่ง ถึงกับแปลงร่างเป็นสัตว์ต่างๆ หลายรูปลักษณ์เพื่อลอบคุ้มกันพิทักษ์เขา

สองสามวันนี้ท่านยายซีคงกังวลจนแทบตายแน่ๆ…

ฉินมู่รู้สึกสำนึกผิด แต่แล้วก็ปลุกปลอบใจตนกลับมาคึกคักใหม่เมื่อเขาสอดส่ายสายตาไปรอบๆ แหล่งที่มาของหมอกนั้น และอันตรายที่ซ่อนอยู่ ต้องอยู่แถวๆ ห้องโถงนี้! นั่นมันใช่สิ่งที่สังหารผู้ฝึกยุทธเหล่านี้หรือเปล่านะ

ในตอนนั้นเอง หมอกที่ขมุกขมัวอยู่ในส่วนลึกของโถง ก็แผ่สยายมาทางเขา กลิ้งตัวคลี่คลุมพื้นใต้เท้าฉินมู่ แล้วลอยท่วมสูงขึ้นเรื่อยๆ และเมื่อศพแห้งเหี่ยวเหล่านั้นถูกปกคลุมด้วยหมอก พวกมันก็ยันร่างเหยียดลุกขึ้นช้าๆ ด้วยการเคลื่อนไหวติดขัดแปลกประหลาด

หมอกยิ่งมายิ่งหนาท่วม ไม่นานมันก็สูงเลยศีรษะของฉินมู่ ในหมอกนั้น ซากศพเริ่มล่องลอยขึ้นจากพื้น และเมื่อหมอกหนาแน่นถึงระดับหนึ่ง ศพแห้งเหี่ยวพวกนั้นก็หายวับเข้าไปในหมอก

“ผีสางที่ไหนมันกล้าหลบๆ ซ่อนๆ หลอกหลอนข้า ขักขระ!”

ฉินมู่ถือไม้เท้าพระแล้วเดินอาดๆ ไปเบื้องหน้า หลังจากเดินไปได้สิบกว่าวา จนได้ยินเสียงร้องเพลงอยู่ใกล้ๆ ฉินมู่ก็ยกไม้เท้าพระหวดฟาดเข้าให้ แสงทองของพุทธองค์ฉายโชนและเสียงธรรมพุทธองค์ก็ห่อหุ้มรอบตัวเขา เงารูปพุทธองค์ปรากฏที่เบื้องหลังเขาอีกครา แสงทองเสียงธรรมสอดประสาน ชำระล้างม่านหมอกและทำให้ศพแห้งเหล่านั้นร่วงหล่นลงกับพื้นอีกครา

“หลวงจีนน้อย..!”

เสียงเสียดกระดูกพลันดังก้องภายในห้องโถง แต่ว่ามันกล่าวแค่วลีเดียวแล้วก็เงียบหายไป ทำให้ฉินมู่และจิ้งจอกน้อยสงสัยว่าพวกเขาหูแว่วไปเองหรือไม่

ในที่สุดฉินมู่ก็เห็นแหล่งกำเนิดของหมอกประหลาด มันมาจากรูปสลักน้ำแข็งในวังมังกรแห่งนี้

เขาเดินเข้าไปใกล้ๆ รูปสลักน้ำแข็ง และเห็นมังกรน้อยตัวนิดนอนอยู่ในนั้นอย่างเงียบสงบ มีกระบี่หักเล่มหนึ่งที่ปักคาไว้ในอกของมัน แทงเข้าไปในหัวใจ

ระหว่างเสามังกรในโถงใหญ่ มีมังกรเขียวตัวมหึมาแหวกว่ายไปมาบนอากาศ มันดูเหมือนไม่ใช่ร่างเนื้อเมื่อมันสามารถแหวกว่ายทะลุผ่านเสามังกรได้

เสียงเพลงดังมาจากมังกรเขียวตัวนั้น และสายตาของมันจับจ้องไม่ละไปจากร่างของมังกรน้อยในรูปปั้นน้ำแข็ง

สายตาของมันเต็มไปด้วยความรักใคร่อาทรและความเศร้าสร้อย ก็คล้ายกับเพลงที่เปล่งออกมาจากมัน อันดูเหมือนหัวใจสลายจากการที่ทิ้งลูกน้อยไว้ในโลกตามลำพัง

นั่นคือวิญญาณมังกร

วิญญาณของมังกร

มันอาจจะเป็นราชามังกรแม่น้ำหย่ง หรือไม่ก็เป็นภริยาของราชามังกรแม่น้ำหย่ง มันเป็นมารดา และมังกรน้อยที่ถูกแช่แข็งอยู่น่าจะเป็นลูกของมัน

นางคงประสบกับเหตุการณ์มหาภัยพิบัติในปีนั้น ขณะที่ลูกของนางถูกกระบี่แทงด้วยบาดแผลอันถึงแก่ชีวิต แต่คงเพราะนางรักใคร่ห่วงใยลูกของนางมาก นางจึงผนึกร่างของมังกรน้อยไว้ในน้ำแข็ง ส่วนตัวนางก็ตกตายไปกับมหาภัยพิบัติ แต่ถึงจะตายไปวิญญาณนางก็ยังคงแหวกว่ายวนเวียนในโถงใจกลางนี้ คอยพิทักษ์รักษาบุตรอันเป็นแก้วตาดวงใจ ขณะที่ร้องเพลงกล่อมลูกของเผ่ามังกร หมายให้มังกรน้อยลืมตาตื่นขึ้นมาในสักวัน

“หลวงจีนน้อย ทางนี้!”

ทันใด เสียงนั้นก็ดังมาอีกหน ฉินมู่มองตามทิศทางเสียง นอกจากแท่งน้ำแข็งอันลี้ลับนี้แล้ว ยังมีแท่งน้ำแข็งอีกหนึ่งอยู่ในโถง แท่งน้ำแข็งนี้ซ่อนอยู่ข้างหลังแท่งน้ำแข็งที่ผนึกลูกมังกรอยู่ ทั้งสองแท่งน้ำแข็งเชื่อมต่อกัน

ในแท่งน้ำแข็งนี้ มีผู้อาวุโสคิ้วขาวสวมชุดสีม่วงถูกผนึกเอาไว้ เสื้อผ้าอาภรณ์ของผู้อาวุโสน่าจะเป็นชุดของขุนนาง เนื้อผ้าพื้นสีน้ำเงินเหลือบม่วงเหมือนแสงท้องฟ้ายามตะวันตกดินปักไว้ด้วยเก้าลวดลาย ที่เอวห้อยจี้หยกป้ายทองและกระบี่ บนศีรษะเขามีมงกุฎรัดผมเก้าพู่ ท่วงท่าเขาเหมือนกำลังจะเด็ดดึงอะไรบางอย่าง

มือหนึ่งเขาถือธงดำ ส่วนอีกข้างยื่นเข้าไปในแท่งน้ำแข็งลี้ลับอีกแท่งและคว้าจับลูกแก้วเขียวลูกใหญ่เท่าไข่ไก่

ผู้เฒ่าผู้นี้ถูกลูกแก้วนั่นแช่แข็งหรือเปล่านะ

ฉินมู่กะพริบตาปริบแล้วก้าวเข้าไปข้างหน้าเพื่อสำรวจตรวจตราดูผู้อาวุโสที่ถูกแช่ในน้ำแข็ง จากนั้นพบสิ่งแปลกๆ คือเมื่อเขาเดินย้ายเปลี่ยนมุม ดวงตาของผู้อาวุโสนี้ก็กลอกมองตามเช่นกัน!

เสียงเมื่อกี้เป็นของเขาจริงๆ ด้วย!

ฉินมู่ผงะไปนิดหนึ่ง ก่อนที่จะหันไปเหลียวมองศพแห้งๆ อันกองอยู่ทั่วพื้น และขบคิดคาดคะเนบางอย่าง

ผู้อาวุโสในแท่งน้ำแข็งน่าจะเป็นบุคคลแรกที่ค้นพบวังมังกรแม่น้ำหย่ง เมื่อเขาพบลูกแก้วลูกนี้ในน้ำแข็งและพยายามเอามันออกมา เขาก็ถูกแช่แข็งคาที่

ที่เขาสามารถรอดชีวิตได้นานขนาดนี้ น่าจะเพราะธงดำในมือของเขาที่สังหารผู้ฝึกยุทธผู้ค้นพบวังมังกรทีหลังเขา สูบกินแก่นชีวิตและโลหิต ดังนั้นผู้ฝึกยุทธเหล่านั้นจึงเหลือแต่หนังหุ้มกระดูกทอดร่างเป็นซากศพ!

ถูกผนึกไว้ในน้ำแข็งมาเนิ่นนาน ผู้เฒ่านี้คงใช้กำลังภายในได้ไม่มาก ยิ่งไปกว่านั้นการที่ฉินมู่มีไม้เท้าขักขระติดตัว ทำให้เขารอดพ้นจากพลังอำนาจประหลาดจากธงทมิฬ และไม่ได้รับอันตรายใดๆ ภายใต้การปกปักษ์ของไม้เท้า

“ที่แท้ก็เป็นไม้เท้าขักขระของหลวงจีนเฒ่าวัดใหญ่ฟ้าคำราม มิน่าล่ะเจ้าถึงสามารถป้องกันพลังพิสดารของหมอกนี้ได้”

ผู้อาวุโสในน้ำแข็งมิอาจขยับปากได้ เขาใช้การสั่นสะเทือนคอเพื่อเปล่งเสียงแทน “แต่เจ้ามิใช่หลวงจีนวัดใหญ่ฟ้าคำราม ไฉนถึงมีไม้เท้าของหลวงจีนเฒ่านั่น”

ฉินมู่ตอบไปอย่างสัตย์ซื่อ “ศิษย์ของเขาพ่ายแพ้แก่ผู้เยาว์ ผู้เยาว์จึงชนะพนันได้ไม้เท้ามาครอบครอง”

“ชนะพนันได้มา?”

ผู้อาวุโสเปล่งเสียงหัวเราะจากการสั่นสะเทือนคอ “ไอ้หลวงจีนเฒ่าขี้เหนียวนั่น ยอมเสียไม้เท้าด้วยหรือ เจ้าอายุเท่าไร”

ฉินมู่ตอบ “ผู้เยาว์จะครบสิบสองในฤดูใบไม้ร่วงนี้”

ผู้อาวุโสเสื้อม่วงกล่าวชม “สิบสองขวบแต่สามารถเอาชนะศิษย์ของหลวงจีนเฒ่านั่นได้ เก่งกาจเหนือล้ำจริงๆ”

ฉินมู่กะพริบตาปริบอย่างใสซื่อแล้วเอ่ยถาม “เหตุใดผู้อาวุโสถึงถูกผนึกไว้ในน้ำแข็ง”

ผู้เฒ่านั้นหัวเราะเบาในคอแล้วกล่าว “แน่นอนว่าเบื้องหลังเหตุการณ์นี้ต้องมีเรื่องเล่ายาวๆ ก่อนหน้านั้นนานแสนนานมาแล้ว เมื่อ…เห้ย อย่าเพิ่งไป! กลับมาก่อน!”

ฉินมู่ยั้งเท้าและหันมาตอบด้วยสีหน้าลำบากใจ “ผู้อาวุโส ผู้เยาว์กำลังร้อนใจจะรีบกลับบ้าน ไม่มีเวลารับฟังเรื่องเล่า”

ผู้อาวุโสกระแอมไอ กล่าวต่อ “งั้นสรุปสั้นๆ คือ ข้าได้พาศิษย์หลายคนเดินทางท่องเข้ามาในแดนโบราณวินาศ และพบพานสถานที่นี้โดยบังเอิญ เมื่อเห็นศพแห้งเหี่ยวจำนวนมาก ข้าก็รู้ทันทีว่าลูกแก้วมังกรนี้คือตัวการที่สังหารทุกคนผู้เข้ามาที่นี่ สูบกินแก่นชีวิตและโลหิต เปลี่ยนพวกเขาให้กลายเป็นมัมมี่ สาเหตุที่ลูกแก้วทำเช่นนั้นก็เพื่อต่อชีวิตให้กับลูกมังกรตนนี้! สำหรับข้าที่เป็นผู้ฝึกยุทธคนหนึ่ง มิอาจอภัยให้กับพฤติการณ์เยี่ยงนี้ ข้าจึงตระเตรียมจะสยบลูกแก้วมังกรเพื่อมิให้มันก่อเภทภัยกับผู้อื่นอีกต่อไป

แต่ทว่าข้าคาดคะเนผิด ไม่นึกว่าลูกแก้วนี้เป็นลูกแก้วของมังกรเทวะ ดังนั้นข้าจึงถูกผนึกในน้ำแข็ง! ศิษย์ของข้าทุกคนไม่มีใครรอด แก่นชีวิตและโลหิตของพวกเขาถูกสูบไปหล่อเลี้ยงมังกรน้อยในน้ำแข็ง!”

ฮู่หลิงเอ๋อที่ซ่อนอยู่ในเสื้อของฉินมู่ โผล่หน้าออกมากระซิบกระซาก “ท่านเชื่อเรื่องของเขาหรือเปล่า คุณชาย”

ฉินมู่ลังเล ข้อคาดคะเนตอนแรกของเขาตรงกันข้ามกับคำบอกเล่าของผู้เฒ่านี้ เรื่องเล่าของผู้เฒ่าบอกเล่าเรื่องราวของแม่มังกรที่ใช้ลูกแก้วมังกรทำร้ายผู้คนสูบเอาแก่นชีวิตและโลหิตพวกเขาไปยืดอายุต่อชีวิตบุตรของนาง และยิ่งไปกว่านั้น ผู้อาวุโสนี้ยังดูเป็นคนเที่ยงธรรมซึ่งเพลี่ยงพล้ำต่อแผนร้ายของลูกแก้วมังกร

ขณะที่ฉินมู่คาดเดาว่าผู้อาวุโสนี้ซึ่งผนึกในน้ำแข็ง เขาต่อชีวิตตนเองโดยใช้วิชามารเพื่อสูบกินแก่นชีวิตและโลหิตของผู้ฝึกยุทธเหล่านี้

ฉินไม่อาจปฏิเสธได้ว่าสองเรื่องราวสามารถเป็นไปได้จริงทั้งคู่ แต่เรื่องราวใดเป็นเรื่องจริงกันแน่นะ?

ฉินมู่มองไปรอบๆ แล้วเห็นหมอกคืบคลานเข้ามาหาเขาอีกครา เขารีบกระแทกไม้เท้าขักขระลงบนพื้น!

“พุทธองค์ตรัสไว้ว่า!”

เงารูปพุทธองค์ปรากฏเบื้องหลังเขาอีกครั้ง เสียงสันสกฤตจากเงารูปนั้นแผ่พุ่งสั่นสะเทือนโดยรอบ

“นับแต่จักรวาลถือกำเนิด สรรพสัตว์ล้วนเกิดใหม่และตายวนเวียนไม่รู้จบสิ้น เพราะสรรพสัตว์เหล่านั้นไม่กระจ่างถึงสัจธรรมอันบริสุทธิ์ ว่าไม่มีสิ่งใดเที่ยงแท้เป็นตัวตน ร่างเป็นมายา ทุกๆ สิ่งเป็นมายา ด้วยหลงผิดคิดยึดติดในมายา สรรพสัตว์จึงได้แต่ว่ายวนในวัฏสงสาร…วัฏสงสาร…วัฏสงสาร…”

“วิชาพุทธของวัดใหญ่ฟ้าคำรามนี่ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ” ผู้อาวุโสในน้ำแข็งชื่นชม

“ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสมีนามว่าอะไร”

ผู้อาวุโสในน้ำแข็งรีบตอบ “ข้านามว่ากู่ลี่หนวน เป็นครูสอนองค์ชายรัชทายาทแห่งจักรวรรดิสันตินิรันดร์ และเป็นขุนนางชั้นหนึ่ง หากว่าเจ้าช่วยข้าออกไปจากที่นี่ ข้าจะให้ทรัพย์สินเงินทองมากมายไร้ประมาณแก่เจ้าเมื่อพวกเรากลับไปจักรวรรดิสันตินิรันดร์!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version