ตอนที่ 385 หญิงบ้านนอกผู้นี้
ลู่เจียวหรี่ตาเล็กน้อยครุ่นคิด นางรู้นานแล้วว่าจางปี้เยียนหญิงผู้นั้นไม่ธรรมดา
“อืม ข้ารู้แล้ว ขอบคุณพี่อวี้เหยาที่ห่วงใย พวกเราไม่พูดถึงพวกนางแล้วดีกว่า พี่อวี้เหยาวันนี้พาผิงอันมาด้วยไหม”
หลี่อวี้เหยาส่ายหน้า “ไม่ได้พามา เขายังเล็กไป ข้าให้คนดูแลอยู่ในจวน”
ลู่เจียวพยักหน้าเล็กน้อย ถามนางอย่างห่วงใยว่าระยะนี้ที่จวนเป็นอย่างไรบ้าง แม่สามีทำนางลำบากใจหรือไม่ สาวใช้อุ่นเตียงสองคนนั้นไล่ออกไปหรือยัง
ตอนลู่เจียวคุยกับหลี่อวี้เหยา จู้เป่าจูกับถานเสี่ยวยาสองคนก็ร่วมคุยด้วยสองสามคำ ทุกคนคุยกันสนุกสนานมาก
พวกจางปี้เยียนเดินออกไป ยามนี้กำลังด่าทอพวกนาง
“ก็แค่หญิงบ้านนอกคนหนึ่ง ถึงกับไม่รู้จักดีชั่วเช่นนี้ พี่จาง พวกเราไม่อาจปล่อยไปเช่นนี้นะ”
“ใช่ เอานางให้ตาย นังชั้นต่ำ”
“หน้าไม่อาย คิดว่าตนเองเป็นใครกัน”
จางปี้เยียนได้ฟังวาจาหญิงสองคนข้างกายก็มีสีหน้าไม่ดีนัก หันหน้าไปถลึงตาใส่หญิงสองสามคนข้างกาย “หุบปาก พวกเจ้านอกจากด่าคนเป็นแล้ว ยังทำอะไรเป็นอีก ใช้สมองกันหน่อย ดูว่าจะดึงนางมาเป็นพวกได้อย่างไร”
หญิงเหล่านั้นได้ยินวาจาจางปี้เยียนก็ไม่กล้าโต้ตอบนาง
คนเขามีสิทธิ์มีเสียงในตระกูลจาง ไม่เหมือนพวกนาง
ดังนั้นผู้หญิงในที่นั้นแม้ว่าถูกด่าก็ไม่กล้าเอาเรื่องจางปี้เยียน
หญิงสาวผู้หนึ่งข้างกายจางปี้เยียนกล่าวขึ้นเบาๆ ว่า “หรือว่าพี่จางจะปล่อยให้นางรังแกเหยียบข้ามศีรษะไปเช่นนี้”
จางปี้เยียนมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมา ก่อนจะแค่นยิ้มกล่าวว่า “วิญญูชนทวงแค้นสิบปีไม่สาย ปล่อยนางได้ใจไปก่อน”
นางกล่าวจบก็พาทุกคนเดินจากไป
เทียบกับคลื่นใต้น้ำกระหน่ำในเรือนด้านหลังแล้ว เรือนด้านหน้ากลับเต็มไปด้วยความครึกครื้นยินดี เสียงหัวเราะพูดคุยกันไม่หยุด
เซี่ยอวิ๋นจิ่นสีหน้านิ่งเรียบ ไม่ได้แสดงออกกระตือรือร้นอันใด ยังคงอดทนฟังคำยกยอของบรรดาพ่อค้าและวาจาให้ความเกรงใจจากพวกนายอำเภอหู เช่นนี้ก็ยิ่งทำให้เขาเหมือนต่างจากบุคคลอื่น ทุกคนเข้ามาทักทายเขาอย่างไม่ขาดสาย
วันนี้เป็นงานเลี้ยงที่หันถงสอบซิ่วไฉได้ สุดท้ายทำจนราวกับเซี่ยอวิ๋นจิ่นสอบซิ่วไฉได้
ดีที่หันถงไม่ได้มีอาการไม่พอใจ กลับกัน เขาดีใจมากที่ได้เห็นเซี่ยอวิ๋นจิ่นได้รับการต้อนรับจากทุกคนอย่างดี
เพราะเขารู้นานแล้วว่าอวิ๋นจิ่นไม่ใช่คนธรรมดา
ตอนนี้ใช่ว่าผลเป็นที่ประจักษ์แล้วหรือ ดูท่าเขาเป็นคนมีสายตาแหลมคมโดยแท้ หันถงรู้สึกได้ใจเล็กน้อย
ทุกคนเข้ามาทักทายแล้วก็แยกกันไปคุยกัน
พวกนายอำเภอหูทักทายผู้อื่นแล้วก็พาเซี่ยอวิ๋นจิ่นไปคุยอีกทางหนึ่ง
“อวิ๋นจิ่น ก่อนหน้านี้ข้าให้คนไปสืบราคาของสินค้าในอำเภอชิงเหอมาแล้ว เห็นได้ชัดสูงกว่าที่อื่น ข้าคิดจัดการพ่อค้าที่ทำให้ราคาของสูงพวกนี้ แต่ก็กลัวว่าจะทำให้พวกพ่อค้าโมโห ดังนั้นไม่รู้ว่าควรทำเช่นไรดี”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นได้ฟังนายอำเภอหูพูดก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยตอบทันทีว่า “ท่านแอบบอกพ่อค้าที่สนิทกับท่านสักหน่อย ว่าท่านอ๋องเยียนกำลังจับจ้องว่าหลังจากคดีรับสินบนจบลงแล้วจะเป็นอย่างไรต่อ หากทรงรู้ว่าราคาสินค้าอำเภอชิงเหอสูงกว่าที่อื่นไม่น้อย ย่อมต้องส่งคนมาตรวจสอบเรื่องนี้อย่างแน่นอน”
“พวกเขาขอเพียงรู้ข่าวนี้ก็จะต้องเอ่ยลดราคาเอง ส่วนท่านก็จัดตั้งสมาคมการค้า ดึงพ่อค้าที่ยินยอมลดราคามาร่วมสมาคม อีกอย่าง ต้องให้ผลประโยชน์พ่อค้าพวกนี้บ้าง เช่น หากอำเภอชิงเหอมีการค้าดีๆ อะไร ก็ให้คนในสมาคมการค้าได้สิทธิก่อน”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นกล่าวจบ นายอำเภอหูก็มีสีหน้าเป็นห่วง มองเขากล่าวว่า “หากอ๋องเยียนรู้ว่าข้านำชื่อเสียงมาแอบอ้าง จะมาคิดบัญชีกับข้าไหม”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นเหลือบมองนายอำเภอหูพร้อมกับกล่าวด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “นี่เป็นการสร้างชื่อให้อ๋องเยียน สองฝ่ายต่างได้ประโยชน์ ท่านอ๋องจะมาคิดบัญชีอันใด”
นายอำเภอหูคิดแล้วก็เห็นด้วย พยักหน้าหงึก จากนั้นก็ดีใจยกมือตบไหล่เซี่ยอวิ๋นจิ่น
“มันสมองอวิ๋นจิ่นฉลาดเหนือผู้อื่นจริงๆ”
ใบหน้าเซี่ยอวิ๋นจิ่นราวกับมีแสงสีดำพาดผ่าน เขามองนายอำเภอหู ไม่รู้ว่าไหล่เขาเจ็บหรือ
นายอำเภอหูนึกได้ทันที พลันหัวเราะแหะ ๆ “ลืมไป ลืมไป”
ทั้งสองคนกำลังคุยกันอยู่นั้น หลี่เหวินปินกับพวกเจิ้งจื้อซิ่งก็เดินเข้ามา
“คารวะนายอำเภอหู”
นายอำเภอหูพยักหน้า ให้ความเกรงใจนักเรียนเหล่านี้มาก แม้ว่าพวกเขาตอนนี้เป็นแค่ซิ่วไฉ แต่ปีหน้าหลังสอบเซียงซื่อผ่านไป ไม่แน่อาจมีคนสอบได้ ถึงตอนนั้นคนพวกนี้ก็จะได้เป็นจิ้นซื่อ วันหน้าหากหาทางไปได้ดีย่อมปีนขึ้นไปได้สูงกว่าเขา ดังนั้นอย่างไรเขาก็ไม่ควรวางท่าทางใหญ่โตใส่คนเหล่านี้
นายอำเภอหูครุ่นคิด ยิ้มมองนักเรียนเหล่านี้พลางถามว่า “พวกเจ้ามีเรื่องจะคุยกับอวิ๋นจิ่นหรือ”
“ใช่แล้ว ระยะนี้อวิ๋นจิ่นได้รับบาดเจ็บ ไม่ค่อยได้ออกจากบ้านมา พวกเราย่อมต้องจับตัวเขาไปคุยกันสักหน่อย”
นายอำเภอหูรีบยิ้มลุกขึ้นเปิดโอกาสให้พวกเขา “เช่นนั้น พวกเจ้าก็คุยกันก็แล้วกัน”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นหันไปมองสหายร่วมชั้นเรียนข้างๆ คิดถึงว่าคืนวันนั้นที่ถูกรถม้าชน เมื่อก่อนเขายังโมโหโกรธแค้น แต่ตอนนี้แม้ว่ายังคงโมโหมาก แต่กลับไม่ได้เคียดแค้นมากขนาดนั้นแล้ว
หากไม่ใช่คนบงการเบื้องหลังบงการให้คนมาทำร้ายเขาบาดเจ็บ ไม่แน่เขาอาจไม่ได้พบกับลู่เจียว
แต่แม้เป็นเช่นนี้ เขาก็ต้องรีบหาตัวคนบงการผู้นี้ออกมาให้ได้เร็วที่สุด
เซี่ยอวิ๋นจิ่นกำลังตกอยู่ในห้วงความคิด หลี่เหวินปินก็ยิ้มกล่าวว่า “อวิ๋นจิ่น ขาเจ้าไม่เป็นไรแล้ว อาการบาดเจ็บที่อื่นก็คงหายพอสมควรแล้ว เมื่อไรพวกเราจะได้กินข้าวด้วยกันสักมื้อ”
เจิ้งจื้อซิ่งรีบรับคำอย่างดีใจว่า “จริง ข้าอยากกินข้าวกับพวกเจ้ามานานแล้ว ระยะนี้เพราะอวิ๋นจิ่นบาดเจ็บ พวกเราก็เลยดูเหมือนห่างเหินกันไปไม่น้อย”
ตู้อี้กับเจียงหยวนเซิงพยักหน้า ในที่นั้นผู้ใดก็ไม่ได้เอ่ยถึงหลัวซินซื่อ
จากนั้นงานเลี้ยงตระกูลหันก็ไม่ได้เกิดเรื่องอะไร แขกชายหญิงในงานเลี้ยงต่างฉลองกันครึกครื้น
ทางฝั่งแขกผู้หญิง จางปี้เยียนไม่ได้พูดอะไรมากมายกับลู่เจียวอีก นางเอาแต่ดื่มสุรากับบรรดาเหนียงจื่อที่รุมล้อมนาง พูดคุยเรื่องเสื้อผ้าและเครื่องประดับใหม่ๆ ในอำเภอชิงเหอ ภาพรวมแล้วจางปี้เยียนมีชีวิตที่เย่อหยิ่งทะนงตนกว่าบรรดาหญิงอื่น
ลู่เจียวไม่ได้สนใจนาง นางแสดงท่าทีชัดเจนว่านางกับจางปี้เยียนเป็นคนที่เดินคนละเส้นทาง ไม่มีอะไรพูดคุย
ลู่เจียวกับหลี่อวี้เหยาและจู้เป่าจูถานเสี่ยวยาคุยกันอยู่ตลอด นัดแนะกันว่าจะไปเดินเล่นซื้อของในตลาดกันเมื่อไร
จางปี้เยียนตรงข้ามแม้ว่าพูดคุยครึกครื้นกับบรรดาเหนียงจื่อรอบๆ แต่ความจริงหูนางเอาแต่เงี่ยฟังทางฝั่งลู่เจียว ได้ยินลู่เจียวรับปากไปเดินเล่นร้านค้าในตลาดกับพวกหลี่อวี้เหยา
สีหน้านางก็เริ่มไม่ค่อยดีนัก เพราะครั้งก่อนนางเชิญลู่เจียวไปเดินร้านค้าในตลาด ลู่เจียวไม่สนใจนาง
หญิงบ้านนอกผู้นี้ดูแคลนนางหรือ
ในใจจางปี้เยียนโมโหอย่างไม่อาจบรรยาย กำตะเกียบในมือแน่น แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ระเบิดออกมา
งานเลี้ยงจบลง บรรดาแขกเหรื่อก็พากันอำลากลับ จางปี้เยียนพาคนกลับไปอย่างไม่สนใจลู่เจียวอีก
ลู่เจียวกับพวกหลี่อวี้เหยาก็พาลูกๆ ตนเองกล่าวอำลากับท่านพ่อและท่านแม่หันถง จากนั้นก็เดินไปทางรถม้านอกประตูอย่างไม่เร่งรีบอะไร
หน้ารถม้าตระกูลเซี่ย เซี่ยอวิ๋นจิ่นกับพวกหลินตงมารออยู่แล้ว พอเขาเห็นลู่เจียวกับเจ้าหนูน้อยทั้งสี่เดินออกมาก็รีบเข้าไปรับ
หลี่อวี้เหยาเห็นการกระทำของเขาก็อดอิจฉาไม่ได้ พูดขึ้นเบาๆ ว่า “คนเราหากเทียบกันแล้วก็ทำเอาโมโหตายได้จริงๆ ดูเซี่ยซิ่วไฉรักเจียวเจียวขนาดไหน มาดูคนข้าสิ ราวกับท่อนไม้”