Skip to content
Home » Blog » ทะลุมิติมาเป็นภรรยาของตัวร้าย 561

ทะลุมิติมาเป็นภรรยาของตัวร้าย 561

ตอนที่ 561 วีรสตรี

วันรุ่งขึ้น มีคนมาตระกูลเซี่ยกันมากมาย

นอกจากจวนตระกูลฉี จวนขุนพลหวัง จวนอู่กั๋วกงและจวนองค์หญิงใหญ่ ก็เป็นนักเรียนจากเมืองหนิงโจวที่มาสอบเมืองหลวงในครั้งนี้

ครั้งนี้นักเรียนเมืองหนิงโจวที่มาสอบเมืองหลวงมีเกือบสามสิบคน สอบได้ทั้งหมดเจ็ดคน นอกจากเซี่ยอวิ๋นจิ่นกับหลิวจื่อเหยียนสอบได้จ้วงหยวนกับทั่นฮวา ก็มีอีกสองคนสอบได้จิ้นซื่อ สามคนสอบได้ถงจิ้นซื่อ

ไม่ว่าคนที่สอบได้หรือไม่ได้ต่างพากันมาแสดงความยินดีกับเซี่ยอวิ๋นจิ่น

เพื่อนบ้านตระกูลเซี่ยล้วนรู้ว่าเซี่ยอวิ๋นจิ่นสอบจ้วงหยวนได้ แต่ละครอบครัวก็นำของขวัญมาแสดงความยินดี

เช้ามา ลู่เจียวก็ยุ่งกับการต้อนรับแขกที่นำของขวัญมามอบให้ และยังสั่งให้ห้องครัวเตรียมอาหารตอนเที่ยง

คนจากตระกูลฉี ตระกูลหวัง ตระกูลหลิว ตระกูลเนี่ยและจวนองค์หญิงนำของขวัญมามอบให้แล้วก็กลับไป แต่นักเรียนที่มาแสดงความยินดีไม่ได้กลับไป ดังนั้นลู่เจียวต้องเตรียมงานเลี้ยงต้อนรับนักเรียนเหล่านี้

ในห้องครัว ฮวาเสิ่นรับคำสั่งแล้วก็รีบเตรียมอาหารเที่ยง หลิ่วอัน ยายเฒ่าชิวก็พากันมาช่วยงานในห้องครัว

ลู่เจียวพาเฝิงจือกับหร่วนจู๋ไปต้อนรับแขกที่เรือนด้านหน้า

แม้ว่าแขกเหล่านี้ล้วนเป็นแขกผู้ชาย แต่ในฐานะภรรยาดูแลบ้าน แขกมาถึงเรือน ลู่เจียวเองก็ไม่อาจเก็บตัว ดังนั้นนางต้องออกไปต้อนรับทักทายบรรดาแขกที่เรือนด้านหน้า

ในห้องโถงเรือนด้านหน้ายามนี้ ทุกคนกำลังพูดคุยกันอย่างครึกครื้น ไม่ว่าคนที่สอบได้หรือไม่ได้ ต่างก็พากันแสดงความยินดีกับเซี่ยอวิ๋นจิ่น

คนที่สอบได้ก็พยายามสานสัมพันธ์กับเซี่ยอวิ๋นจิ่นที่สอบจ้วงหยวนได้ ตามกฎแคว้นต้าโจว สามอันดับแรกสามารถอยู่ปฏิบัติงานเรียบเรียงหนังสือที่สำนักศึกษาฮั่นหลิน จิ้นซื่ออันดับสองล้วนต้องออกไปเป็นขุนนางนอกเมืองหลวง อันดับสามที่เป็นถงจิ้นซื่อก็ไปประจำสำนักศึกษาต่างๆ ทำหน้าที่สอนหนังสือสามปี อีกสามปีค่อยสอบข้อสอบของสำนักศึกษาฮั่นหลิน สอบผ่านก็ได้เป็นขุนนางไปประจำท้องที่

สรุปมีเพียงสามอันดับแรกที่สามารถอยู่เมืองหลวงได้ คนที่เหลือล้วนต้องไปจากเมืองหลวง

นักเรียนเมืองหนิงโจวที่มาสอบเมืองหลวงส่วนใหญ่ไม่มีผู้ให้การสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง ดังนั้นเซี่ยอวิ๋นจิ่นสอบจ้วงหยวนได้ คนเหล่านี้ก็คิดสานสัมพันธ์กับเขาให้ดี หากวันหน้าเซี่ยอวิ๋นจิ่นดำรงตำแหน่งขุนนางก้าวหน้าได้ ก็จะได้มีน้ำใจต่อกัน

“พี่อวิ๋นจิ่นนับว่าคู่ควรแก่ชื่อเสียง เป็นเจี่ยหยวน เป็นหุ้ยหยวน จนมาเป็นจ้วงหยวนในการสอบเตี้ยนซื่อ”

“วันหน้าพี่อวิ๋นจิ่นอย่าได้ลืมน้องชายเช่นพวกเรานะ รอให้พี่อวิ๋นจิ่นตำแหน่งสูง ต้องให้การสนับสนุนน้องชายให้มากๆ นะ”

“ใช่ พี่อวิ๋นจิ่นเป็นความภูมิใจของเมืองหนิงโจวเรา พวกเราเป็นนักเรียนเมืองหนิงโจวด้วยกัน วันหน้าควรให้การประคับประคองกันถึงจะถูก”

เซี่ยอวิ๋นจิ่นอมยิ้มพยักหน้า ในใจไม่คิดเช่นนั้น แต่คนเขามาอวยพรถึงที่บ้าน เขาย่อมต้องให้ความเกรงใจมีมารยาทต่อผู้อื่น ผู้อื่นจะได้ไม่ว่าเขาว่าสอบจ้วงหยวนได้ก็หยิ่งยโส

“ทุกคนกล่าวได้มีเหตุผล วันหน้าทุกคนควรให้การประคับประคองกัน”

วาจาเซี่ยอวิ๋นจิ่นไปถึงหูเจิ้งจื้อซิ่ง สีหน้าเจิ้งจื้อซิ่งก็ย่ำแย่อย่างมาก เขามักรู้สึกว่าเซี่ยอวิ๋นจิ่นกับหลิวจื่อเหยียนน่าจะได้ข้อสอบก่อน ไม่เช่นนั้นทั้งสองคนจะได้เป็นจ้วงหยวนหนึ่ง ทั่นฮวาหนึ่ง ได้หรือ

หากผู้อื่นเป็นทั่นฮวา เขายังยอมรับได้ แต่เพราะหลิวจื่อเหยียนได้เป็นทั่นฮวา

สมองหลิวจื่อเหยียนดีอย่างไรก็แค่เด็กหนุ่มอายุสิบแปด นิสัยและประสบการณ์เขาจะเขียนคำตอบที่ยอดเยี่ยมออกมาได้หรือ เห็นชัดว่าเขาได้ข้อสอบยกเลิกฟานอ๋องมาล่วงหน้า ไม่แน่คำตอบเรื่องยกเลิกฟานอ๋องที่เขาเขียนก็อาจเป็นบิดาโส่วฝู่ของเขาช่วยเขียน

หากหลิวจื่อเหยียนได้ข้อสอบมา ก็ไม่รู้ว่าจะให้เซี่ยอวิ๋นจิ่นหรือไม่

แต่หากเซี่ยอวิ๋นจิ่นได้ข้อสอบมาแล้วไม่บอกเขาสักคำ เสียทีที่เขาเห็นอีกฝ่ายเป็นสหายสนิทร่วมชั้นเรียน ปรากฏว่าคนเขาไม่ได้เห็นเขาเป็นสหายสนิทเช่นกัน

หากเขาบอกข้อสอบให้เขารู้ก่อน ไม่ว่าอย่างไรเขาก็คงไม่สอบได้ถงจิ้นซื่อ

ถงจิ้นซื่อต้องไปสอนที่สำนักศึกษาก่อนสามปี จากนั้นก็ต้องผ่านการทดสอบของสำนักศึกษาฮั่นหลิน สอบได้จึงจะได้ตำแหน่งขุนนางท้องที่ เช่นนี้ก็จะเสียเวลาเปล่าไปหลายปี

เจิ้งจื้อซิ่งยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห นั่งเงียบงันอยู่ในมุมหนึ่งฟังเสียงคนหัวเราะยกยอเซี่ยอวิ๋นจิ่น

เซี่ยอวิ๋นจิ่นราวกับเดือนล้อมด้วยหมู่ดาว ใบหน้าเต็มไปด้วยสีหน้าเบิกบานใจ

เจิ้งจื้อซิ่งเห็นเขาเช่นนี้ ในใจก็ยิ่งอิจฉาริษยา กำมือแน่นไม่กล่าวอันใดสักคำ

นอกประตู ลู่เจียวพาเฝิงจือกับหร่วนจู๋ยกขนมเดินเข้ามา

ในห้องโถง เดิมกำลังคุยกันครึกครื้นก็พลันเงียบลง ทุกคนหันไปมองสตรีสามคนที่เดินมาทางหน้าประตู

พอแต่ละคนมองไปก็ไม่อาจละสายตาจากไปได้อีก ช่างเป็นสามสตรีที่งดงามเสียจริง

สตรีด้านหน้าผิวพรรณขาวผ่องดังหิมะ คิ้วราวหมึกวาด แววตาราวสายน้ำเย็นในฤดูใบไม้ผลิ ราวกับน้ำพุใสกระจ่าง ยามมองผู้คนอมยิ้มไม่เอ่ยวาจา รอยยิ้มงดงามสดใสดึงดูดสายตายิ่งนัก

สตรีสองคนข้างกายนาง คนหนึ่งร่างเล็ก คนหนึ่งร่างสูง คนสูงงดงามอ่อนหวาน เคลื่อนไหวมีกิริยาท่าทางสุภาพ ยามนิ่งแลดูอ่อนโยน คนร่างเล็กอายุน้อยมาก เป็นความงามน่ารักอย่างบอกไม่ถูก น่ารักยิ้มตาหยีราวกับบุปผาแรกแย้ม

สามสตรีราวกับสามภาพทิวทัศน์ พอเดินเข้ามาก็ทำให้คนลืมกล่าววาจา

จนเซี่ยอวิ๋นจิ่นเอ่ยขึ้นว่า “เจียวเจียว เจ้ามาได้อย่างไร”

เซี่ยอวิ๋นจิ่นเห็นทุกคนเอาแค่จ้องมองลู่เจียวไม่ละสายตา แววตาก็เผยความไม่พอใจ หากไม่ใช่เห็นว่าพวกเขามาจากเมืองหนิงโจวเหมือนกัน เขาก็คงไม่คิดให้พวกเขาอยู่ต่อ

พอเซี่ยอวิ๋นจิ่นส่งเสียงเรียก คนในห้องโถงก็ต่างได้สติ หลายคนมีท่าทางเก้อเขิน หันหน้าหนีไม่กล้าจ้องมองพวกลู่เจียวอีก

มีคนถามขึ้นว่า “ท่านนี้ก็คือพี่สะใภ้หรือ ได้ยินว่าพี่สะใภ้เป็นวีรสตรี ไม่เพียงแต่วิชาการแพทย์ร้ายกาจ ยังเปิดสามโรงผลิตในอำเภอชิงเหอ และยังเป็นรองประธานสมาคมการค้าอำเภอชิงเหอ”

คนผู้นี้กล่าวจบ คนอื่นที่ไม่รู้ว่าเรื่องราวของลู่เจียวก็พากันตกใจ ถามขึ้นทันทีว่า “จริงหรือเท็จกัน”

นักเรียนจากอำเภอชิงเหอรีบรับคำด้วยความภาคภูมิใจว่า “ย่อมเป็นเรื่องจริง พี่สะใภ้ไม่เพียงแต่เก่งกาจ ยังยินดีช่วยชาวบ้านอำเภอชิงเหอเรา ตอนนี้แต่ละหมู่บ้านล้วนเพาะปลูกสมุนไพรกับพืชจำพวกถั่วเหลือง ของพวกนี้เอามาขายให้กับสามโรงผลิต”

“ใช่ อวิ๋นจิ่นกับพี่สะใภ้ได้สร้างเรื่องดีๆ ไว้ไม่น้อย ดังนั้นวันหน้าหากอวิ๋นจิ่นได้เลื่อนตำแหน่งสูง ก็คงช่วยเหลือพวกเรา”

พอคนผู้นี้กล่าวจบ คนอื่นๆ ก็พากันอุทานชื่นชม

เซี่ยอวิ๋นจิ่นจูงมือลู่เจียวเดินไปกลางห้องโถง พลางมองลู่เจียวอย่างไม่เห็นด้วยที่นางจะมาที่นี่

ลู่เจียวเบ้ปากใส่เขาอย่างไร้วาจาจะกล่าว คนเขาเป็นแขกมาเยือนถึงบ้าน นางในฐานะนายหญิงดูแลบ้านคงไม่อาจเอาแต่เก็บเนื้อเก็บตัว ไม่ออกมาทักทายแขกกระมัง

ลู่เจียวคิดไปก็ยิ้มไป มองนักเรียนทุกคนในห้องโถง กล่าวว่า “ขอบคุณทุกคนที่มาอวยพรในวันนี้ เที่ยงนี้เชิญทุกคนอยู่กินข้าวก่อนค่อยกลับ”

บรรดานักเรียนต่างพากันรับคำเสียงดัง “ขอบคุณพี่สะใภ้มาก”

“ขอบคุณพี่สะใภ้ที่เรียกพวกเราให้อยู่กินข้าว พวกเราก็ขอทำหน้าด้านหน้าทนอยู่กินข้าวแล้ว”

ลู่เจียวยิ้มพยักหน้า บอกให้เฝิงจือกับหร่วนจู๋นำขนมที่พวกนางถือมาแบ่งไปยังนักเรียนแต่ละคน

“นี่คือขนมที่ห้องครัวบ้านข้าทำเอง ทุกท่านลองชิมดู”

นักเรียนเหล่านี้เข้าเมืองหลวงมาสอบ อยู่โรงเตี๊ยมกินอยู่ไม่ค่อยสะดวก ปกติอาหารการกินก็ไม่ค่อยประณีตอันใด ยามนี้ได้กลิ่นขนมที่ลู่เจียวยกมา แต่ละคนก็กลืนน้ำลายเอื้อก จากนั้นก็กล่าวขอบคุณลู่เจียวอีกครั้ง

เซี่ยอวิ๋นจิ่นไม่อยากให้ลู่เจียวคุยกับบรรดานักเรียนเหล่านี้มากนัก ดังนั้นเขายิ้มมองลู่เจียวกล่าวว่า “เหนียงจื่อ วันนี้สหายร่วมชั้นเรียนอยู่กินข้าว เจ้าไปจัดเตรียมหน่อย”

ลู่เจียวมองความคิดเขาออก แต่ก็ไม่ได้เปิดโปง ยิ้มรับคำ “ได้ เช่นนั้นข้าพาเฝิงจือกับหร่วนจู๋ไปจัดเตรียมด้านหลัง”

“อืม”

ลู่เจียวทักทายกับนักเรียนในห้องโถง ก่อนจะพาเฝิงจือกับหร่วนจู๋ออกไป

ตอนสามคนเดินผ่านเจิ้งจื้อซิ่ง ลู่เจียวคิดถึงว่าวันนี้จู้เป่าจูไม่ได้มา ก็อดหันไปถามเจิ้งจื้อซิ่งไม่ได้

“เหตุใดวันนี้เป่าจูไม่ได้มาด้วย”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version