ตอนที่ 644 เจ้าทุกข์
ลู่เจียวพลันคิดถึงเรื่องที่เซี่ยอวิ๋นจิ่นบอกกับนางก่อนหน้านี้ขึ้นมาได้ บุตรชายหวางทงพั่นยึดครองที่นา ฉุดคร่าหญิงชาวบ้าน หรือว่าเจ้าทุกข์มาฟ้องร้องกันแล้ว
ขณะลู่เจียวกำลังคิดอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากชาวบ้านนอกรถม้า
“น่าสงสารจริง ที่นาของตระกูลห้าสิบหมู่ถูกยึดไป ยังถูกตีตาย สองคนนั่นช่างโชคร้ายสั่งสมมาแปดภพชาติเสียจริง”
“บุตรสาวเขาถูกฉุดคร่าไปสิน่าสงสารกว่า อยู่ๆ บุตรสาวถูกฉุดเข้าจวนไปโดดบ่อน้ำตาย บิดาแก่ชราทนเศร้าเสียใจไม่ไหว แน่นหน้าอกสิ้นใจตาย”
“ข้ารู้สึกว่าเด็กที่ถูกม้าเหยียบสาหัสจนตายสิน่าสงสาร อายุน้อยๆ ก็มาถูกม้าเหยียบตาย คุณชายตระกูลหวางนั่นปกติดูแล้วก็สุนัขยิ่ง คิดไม่ถึงว่าเป็นเดรัจฉานตัวจริง”
“หวางทงพั่นปกติก็ดูสุนัขเช่นกัน ที่แท้ก็เป็นขุนนางสุนัข พวกเราต้องช่วยเจ้าทุกข์เหล่านี้กันสักหน่อย”
“ใต้เท้า ให้ความเป็นธรรมกับชาวบ้านอย่างพวกเราด้วย”
หน้าประตูที่ทำการมีคนส่งเสียงตะโกนขึ้น คนอื่นก็ตะโกนตามด้วยสัญชาตญาณ “ใต้เท้า ให้ความเป็นธรรมกับชาวบ้านอย่างพวกเราด้วย เป็นขุนนางหากไม่ออกหน้าช่วยชาวบ้าน ไม่สู้อย่าเป็นเสียดีกว่า”
“ใช่ ใต้เท้าจือฝู่ ท่านจะต้องให้ความเป็นธรรมกับชาวบ้านตัวเล็กๆ เช่นพวกเราด้วย”
บุตรชายตระกูลหวางโหดเหี้ยมชั่วร้ายเพียงนี้ ไม่แน่วันหน้าอาจรังแกมาถึงตัวพวกเขา ไม่ได้ ไม่ได้ พวกเขาจะต้องลงโทษคนโหดเหี้ยมชั่วร้ายผู้นี้
หน้าประตูที่ทำการราษฎรมีคนมาล้อมมุงตะโกนดังกระหึ่มไปหมด
ในที่ทำการ หลินจือฝู่มองความวุ่นวายตรงหน้าแล้ว สีหน้าก็ย่ำแย่อย่างไม่อาจบรรยาย
เขาไม่เข้าใจว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร และยังเกิดเร็วเช่นนี้ ก่อนหน้านี้เขาได้รับเรื่องฟ้องร้องมา จากนั้นก็แจ้งกันมาถึงสามคดี ปรากฏคนที่ถูกฟ้องร้องว่าฆ่าคน กลับเป็นบุตรชายหวางทงพั่น และยังมาทีเดียวถึงสามคดีความ
เดิมใต้เท้าจือฝู่คิดจะปกปิดเรื่องนี้ไว้ ผู้ใดจะรู้ว่านอกประตูที่ทำการถึงกับมีคนมาออกันแน่นขนัด ผู้คนแห่กันมาเรื่อยๆ พากันวิ่งเข้ามาดู ตอนนี้ชาวบ้านมุงกันเป็นวงกว้าง ทุกคนล้วนรู้ว่าบุตรชายหวางทงพั่นก่อคดีฆ่าคนตาย สถานการณ์ตอนนี้เขาไม่อาจปกปิดได้อีกแล้ว
แต่หวางทงพั่นเป็นลูกน้องคนสนิทของเขา ไม่อาจปล่อยให้เขาเกิดเรื่องได้
หลินจือฝู่สีหน้าย่ำแย่สับสน สมองคิดหาทางรับมืออย่างรวดเร็ว
ในห้องโถง หวางทงพั่นผุดลุกขึ้นทันที มองไปยังชาวบ้านที่มาฟ้องร้องตรงหน้าทั้งสามคน ตวาดเสียงดังว่า “เจ้าพวกชั่ว พวกเจ้าถึงกับกล้ามากัดบุตรชายข้า แต่ไรมาบุตรชายข้าเป็นคนเรียบร้อยรู้มารยาท ไม่เคยได้รับเสียงวิจารณ์ไม่ดี พวกเจ้าถึงกับแล่นมาใส่ความบุตรชายข้า รีบพูดมา ผู้ใดบงการให้พวกเจ้ามาฟ้องร้องบุตรชายข้า”
หวางทงพั่นสีหน้าดำคล้ำ จ้องมองคนตรงหน้าด้านล่าง ทั้งสามคนคุกเข่าอยู่ มีคนหนึ่งเป็นชายชราอายุมาก คนหนึ่งเป็นหญิงชรา อีกคนเป็นชายท่าทางซื่อๆ ดูขลาดเขลา แม้แต่วาจาก็พูดไม่คล่อง
ทั้งสามคนเห็นสีหน้าหวางทงพั่นต่างก็ตกใจ แต่พอพวกเขาเห็นผู้ชายสง่างามสีหน้านิ่งเรียบราวเทพเซียนข้างหวางทงพั่นก็สงบใจลง
ใต้เท้าถงจือบอกกับพวกเขาว่า จะออกหน้าแก้แค้นให้คนของพวกเขา พวกเขาจะเกรงกลัวอันใด
ทั้งสามคนส่งเสียงดังขึ้นพร้อมกัน “ใต้เท้าให้คนไปสืบที่บ้านข้าได้ เดิมสมบัติที่บ้านข้าไม่เลวนัก มีที่นาดีหลายสิบหมู่ ปรากฏคุณชายหวางต้องตาต้องใจ ที่นาตระกูลข้าจึงถูกแย่งชิงไป บุตรชายและภรรยาข้าออกมาขวาง กลับถูกเขาสั่งให้คนตีจนบาดเจ็บสาหัส ภรรยาแก่ชราของข้าจากไปในตอนนั้น บุตรชายข้าบาดเจ็บหนักจากไปยามค่ำคืน ใต้เท้าส่งคนไปสืบเรื่องนี้ได้ ข้าไม่ได้ใส่ร้ายคุณชายหวางอย่างเด็ดขาด”
ชายชรากล่าวจบ หญิงชราผมขาวโพลนก็ร้องไห้ดังขึ้น “คุณชายหวางอันใด เขาเป็นเดรัจฉาน เขาฉุดคร่าบุตรสาวข้าเข้าจวน บุตรสาวข้าไม่ยินยอม จึงโดนบ่อน้ำฆ่าตัวตาย ตาแก่ข้ารู้ข่าวก็แน่นหน้าอกสิ้นใจจากไป”
หญิงชรากล่าวจบก็ร้องไห้คร่ำครวญน่าสงสาร “น่าสงสารพวกเราสองตายาย เหลือแค่บุตรสาวคนเดียว กลับต้องมาถูกเดรัจฉานทำร้ายจนตาย ใต้เท้าผู้ทรงธรรม ท่านต้องให้ความยุติธรรมกับพวกเรา”
หญิงชราร้องไห้เจียนตาย ชาวบ้านที่มุงอยู่นอกประตูต่างพากันเห็นใจ ในนั้นมีคนปาดน้ำตา
ชายอีกคนที่ท่าทางซื่อๆ ดูขลาดเขลาในที่ทำการ ปาดน้ำตาร้องไห้มองใต้เท้าจือฝู่ กล่าวว่า “ใต้เท้า หวางหมิงเหรินขี่ม้าตะบึงบนที่นานอกเมือง ปรากฏว่าเหยียบเอาบุตรชายข้า บุตรชายผู้น่าสงสารของข้าปีนี้เจ็ดขวบ ถูกเหยียบจนสาหัส พวกเราไม่ทันส่งเขาไปโรงหมอ เขาก็ตายแล้ว บุตรชายข้าช่างน่าสงสารจริงๆ”
ชายหน้าตาซื่อๆ ผู้นี้พอคิดถึงบุตรชายตนก็ส่งเสียงดังร้องไห้คร่ำครวญขึ้นมาทันที
หลินจือฝู่ได้ฟังวาจาเจ้าทุกข์เหล่านี้ ในสมองก็พลันขมวดเกลียว แววตามองไปยังหวางทงพั่นยากจะยอมรับ ก่อนหน้านี้เขาบอกหวางทงพั่นหลายครั้งแล้ว ให้เขาสั่งสอนบุตรชายตนเองให้ดี อย่าได้ทำจนเกิดเรื่องถึงแก่ชีวิต ช้าเร็วจะเกิดเรื่อง
น่าเสียดายหวางทงพั่นรับปาก แต่พอกลับไปได้ยินเสียงฮูหยินผู้เฒ่าร้องไห้ก็ปล่อยปละละเลยบุตรชายอีก
ตอนนี้ดีเลย คนเขามาร้องทุกข์ถึงที่ เรื่องนี้จะจบอย่างไร
หวางทงพั่นรู้ว่าหากไม่จัดการเรื่องนี้ให้ดีย่อมไม่มีวันจบ ดังนั้นสีหน้าเขาจึงย่ำแย่อย่างมาก เขาโมโหถลึงตาใส่เจ้าทุกข์สามคน ตวาดว่า “ว่ามา พวกเจ้าได้รับการบงการจากผู้ใดมาใส่ความบุตรชายข้า หากไม่สารภาพ อย่าโทษข้าให้คนโบยพวกเจ้า”
ณ ห้องโถง หลินจือฝู่ไม่ได้กล่าวอันใด ในที่สุดเซี่ยอวิ๋นจิ่นก็เอ่ยขึ้นอย่างไม่รีบไม่ร้อนว่า “หวางทงพั่น มีคนมาฟ้องร้อง ตามกฎที่ว่าการเมืองหนิงโจวเราก็ควรรับหนังสือคำฟ้อง จากนั้นค่อยไปสืบความจริงเรื่องนี้ ไม่ใช่ใช้บารมีขุนนางข่มชาวบ้านเช่นที่ท่านทำอยู่ ท่านทำเช่นนี้จะทำให้คนยิ่งสงสัยว่าท่านใช้ตำแหน่งขุนนางรังแกผู้อื่น”
พอเซี่ยอวิ๋นจิ่นเอ่ย ในใจหวางทงพั่นก็หนักอึ้ง พร้อมกับคิดว่าเรื่องนี้เป็นผู้ใดบงการให้เจ้าทุกข์สามคนนี้มาฟ้องร้องถึงที่ทำการกัน
ก่อนหน้านี้เขาคิดไม่เข้าใจ แต่ตอนนี้เข้าใจแล้ว สามคนนี้น่าจะเป็นเซี่ยอวิ๋นจิ่นไปหามา เป้าหมายก็เพื่อจัดการเขาหรือ
หวางทงพั่นครุ่นคิดแล้วก็หันไปมองเซี่ยอวิ๋นจิ่น สีหน้าดุดันเอ่ยขึ้นว่า “เซี่ยถงจือ ข้าจำได้ว่าข้าเป็นขุนนางดูแลเรื่องตัดสินคดีความ ท่านไม่มีหน้าที่ในเรื่องนี้”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นพยักหน้าเล็กน้อยกล่าวว่า “ใต้เท้าทงพั่นกล่าวได้ถูกต้อง แต่ตอนนี้คนที่เจ้าทุกข์ฟ้องร้องเป็นบุตรชายใต้เท้าทงพั่น ใต้เท้าทงพั่นควรหลบเลี่ยงคำครหา”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นกล่าวจบก็หันไปมองหลินจือฝู่ “ใต้เท้าจือฝู่ ข้ากล่าวมาเป็นหลักการแท้จริง ใต้เท้าทงพั่นไม่เพียงแต่ไม่อาจเข้าข้องเกี่ยวกับเรื่องนี้ ยังต้องถูกนำตัวไปจองจำไว้ที่คุกชั่วคราวรอการไต่สวน อย่างไรคดีครั้งนี้ก็เป็นเรื่องของบุตรชายใต้เท้าทงพั่น ใต้เท้าทงพั่นปกป้องบุตรชาย มีความผิดเสมอกัน”
หวางทงพั่นได้ฟังเซี่ยอวิ๋นจิ่นก็อดตวาดด่าอย่างโมโหไม่ได้ “ผายลม บุตรชายข้าไม่ได้ฆ่าคนตาย ข้าเองไม่ได้มีความผิด”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นหันไปมองหวางทงพั่นด้วยสีหน้าเย็นชา กล่าวน้ำเสียงหนักแน่นว่า “หวางทงพั่นคิดว่ากฎหมายแคว้นต้าโจวเป็นกฎหมายบ้านท่านหรือ ท่านบอกว่าไม่ได้ฆ่าก็ไม่ได้ฆ่าอย่างนั้นหรือ ข้าทำตามกฎหมายแคว้นต้าโจวเรา มีเจ้าทุกข์มาร้องทุกข์ที่ทำการ พวกเราก็ต้องจัดการไปตามระเบียบ จากนั้นก็สืบความจริงให้กระจ่าง คืนความยุติธรรมให้ชาวบ้าน”