ตอนที่ 654 สายไปแล้ว
ชาวเมืองหนิงโจวออกไปนอกเมืองกันมากมาย แต่ละคนคุยเรื่องนี้กันอย่างออกรส ในจำนวนนี้มีคนไม่น้อยเอ่ยว่าเซี่ยอวิ๋นจิ่นเป็นใต้เท้าผู้ทรงธรรม เมื่อก่อนพวกเขาโดนรังแกก็ไม่กล้าไปฟ้องศาล ตอนนี้เพราะใต้เท้าเซี่ย พวกเขามีความคับแค้นโดนรังแกจะไปฟ้องศาล ที่สำคัญที่สุดก็คือใต้เท้าเซี่ยออกหน้าให้พวกเขาได้จริง
ดังนั้นคนไม่น้อยต่างดีใจ ตื่นเต้นคุยกันออกรสไม่หยุด
ในรถม้าตระกูลเซี่ย ลู่เจียวได้ยินเสียงวิพากษ์วิจารณ์นอกรถม้าก็ดีใจมาก
สาวใช้ในรถม้าต่างก็ดีใจมากเช่นกัน ตู้เจวียนเป็นสาวใช้ที่ไม่ค่อยใช้สมองทว่าปากหวาน
“ข้าก็รู้ว่าคนหน้าตาดี ไม่เพียงแต่หน้าตาดี จิตใจยังดี ที่สำคัญคือมีจิตใจทรงธรรม”
ลู่เจียวรู้สึกขำ มองนางกล่าวว่า “ช้าเร็วสักวันหนึ่งเจ้าคงได้ถูกหลอก ระวังตัวไว้หน่อย”
ตู้เจวียนกะพริบตาปริบๆ “ข้ารู้ว่าฮูหยินหมายความเช่นไร แต่ข้าแค่เห็นใต้เท้ากับฮูหยินก็รู้ว่าพวกท่านไม่ใช่คนที่ทำร้ายผู้อื่น บางคนแม้ว่าหน้าตาดี แต่แค่มองก็รู้ว่าจิตใจมีเล่ห์เหลี่ยม ไม่ใช่คนดี”
ลู่เจียวหันหน้าไปมองตู้เจวียนอย่างแปลกใจ “เจ้ายังดูโหวงเฮ้งเป็นด้วยหรือ จริงหรือเท็จกันนี่”
ตู้เจวียนรีบกล่าวอย่างภาคภูมิใจว่า “ฮูหยิน ท่านอย่าได้ไม่เชื่อข้า ข้ามองคนจากโหงวเฮ้งบนใบหน้าได้จริง มองออกว่าเขาเป็นคนเช่นไร”
ลู่เจียวนึกสนใจ มองนางกล่าวว่า “เจ้าไปได้ข้อสรุปพวกนี้มาจากที่ใด”
“ข้าก็แค่อาศัยความรู้สึก ข้ามองก็รู้สึกได้ว่าคนผู้นี้เป็นคนเช่นไร ก็เหมือนตอนนั้นที่ข้าเห็นฮูหยินครั้งแรก ก็รู้ว่าฮูหยินไม่เพียงแต่หน้าตาดี แต่ที่สำคัญคือจิตใจดีมาก เป็นคนที่อยู่ร่วมกันได้ดี ดังนั้นข้าจึงต้องการอยู่ต่อ”
ลู่เจียวจ้องมองตู้เจวียนด้วยสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ นางเก็บของดีได้หรือนี่ หากตู้เจวียนมีความสามารถเช่นนี้จริง วันหน้าตอนนางคบหากับผู้ใด ก็พานางไปดูสักสองสามที ก็รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นคนเช่นไรแล้ว
แต่ลู่เจียวยังคงมีสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ ดังนั้นนางยื่นมือไปดึงหร่วนจู๋มา “เจ้าดูหน่อย พี่หร่วนจู๋ ดูว่านางเป็นคนเช่นไร”
ตู้เจวียนชอบหร่วนจู๋มาก นางสนิทกับหร่วนจู๋มากที่สุด ดังนั้นพอได้ยินลู่เจียวถาม ก็รีบกล่าวว่า “พี่หร่วนจู๋เป็นคนนิสัยใสซื่อ ไม่ได้มีอุบายในใจอันใด คิดวางอุบายผู้อื่นไม่เป็น”
ลู่เจียวได้ยินตู้เจวียนก็นึกสนใจ “เช่นนั้น เจ้าลองบอกข้าว่าใต้เท้าเป็นคนเช่นไร”
ตอนนี้เซี่ยอวิ๋นจิ่นไม่เหมือนกับเมื่อก่อน สีหน้าอ่อนโยนกับผู้อื่นขึ้นมาก คนที่เห็นเขาต่างรู้สึกว่าเขาเป็นคนเข้าหาง่าย น่าเสียดายแม้ว่าตอนนี้เขาดีกว่าเมื่อก่อนมาก แต่ในความเป็นจริงก็ไม่ใช่คนเข้ากับคนง่าย เพียงแต่หลายคนถูกภาพภาพลักษณ์นอกของเขาหลอกเอาเท่านั้น
ตู้เจวียนมาได้เพียงเดือนเดียว ไม่ค่อยได้พบเห็นเซี่ยอวิ๋นจิ่นมากนัก ดังนั้นลู่เจียวจึงได้ถามนาง คิดลองดูว่านางเป็นสิ่งอัศจรรย์จริงหรือไม่
ตู้เจวียนได้ฟังคำพูดลู่เจียว ก็เริ่มลำบากใจ “ฮูหยิน หากข้าพูดว่าใต้เท้าไม่ดี ท่านจะโมโหหรือไม่”
“ไม่หรอก เจ้าพูดมา”
ตู้เจวียนรีบกล่าวว่า “ใต้เท้าหน้าตาดี มักมีแต่รอยยิ้ม ดูคบหาง่ายมาก แต่ในความเป็นจริงใต้เท้าเป็นคนคบหายากมาก และเขามีความคิดเอาคืนแรงมาก หากผู้ใดล่วงเกินเขา ย่อมต้องโดนเขาเอาคืนอย่างแน่นอน”
ลู่เจียวตกใจดึงมือตู้เจวียนมาเอ่ยว่า “สาวน้อย เจ้าร้ายกาจจริงๆ เจ้ามองออกได้อย่างไรกัน”
ตู้เจวียนยิ้มกล่าวว่า “ฮูหยิน ข้าอาศัยเพียงความรู้สึก พอเห็นก็รู้ว่าคนผู้นี้เป็นคนเช่นไร”
ลู่เจียวพยักหน้า คนประหลาดบนโลกนี้อันใดล้วนมี เรื่องนี้ก็ไม่นับว่าเท่าไร เป็นแค่พรสวรรค์แต่กำเนิดของสาวใช้เท่านั้น แต่ก็เป็นเรื่องดีมาก
“เรื่องนี้นอกจากพวกเราตรงนี้ วันหน้าอย่าได้บอกผู้อื่น วันหน้าเจ้าก็ตามหร่วนจู๋คอยติดตามข้า เจ้าน่ะ ไม่ต้องทำงานอื่น ทำงานสำคัญเรื่องเดียวก็พอ ก็คือคอยจ้องมองคนรอบกายข้ากับใต้เท้า คอยช่วยพวกเราวิเคราะห์สักหน่อยว่า คนที่พวกเราใกล้ชิดเป็นคนนิสัยเช่นไรก็พอ”
ตู้เจวียนได้ฟังคำพูดลู่เจียวก็ดีใจ เดิมนางคิดว่าตนเองไร้ประโยชน์ที่สุด ตอนนี้ได้ฟังคำพูดลู่เจียวก็ดีใจอย่างมาก นางก็เป็นคนที่มีประโยชน์คนหนึ่งเหมือนกัน
เช่นนี้นางก็จะเหมือนกับพวกพี่ๆ เช่นพี่หร่วนจู๋ที่เป็นวิชายุทธ์ไว้คอยปกป้องฮูหยิน ตอนนี้พี่ติงเซียงก็ช่วยฮูหยินดูแลบัญชี พี่ซานฉาเย็บเสื้อผ้าให้คนในตระกูลเซี่ย ส่วนนางเดิมก็ไม่มีความสามารถอันใด ตอนนี้ช่วยฮูหยินคอยจ้องมองคนพวกนั้นว่าพวกเขาเป็นคนเช่นไร นี่คือความสามารถพิเศษของตู้เจวียน นางดีใจจนไม่อาจบรรยาย เอ่ยรับคำอย่างตื่นเต้น
“ฮูหยินวางใจ วันหน้าบ่าวจะคอยรายงานเรื่องคนพวกนั้นแก่ฮูหยิน”
“ดีมาก”
หลายคนบนรถม้าต่างอมยิ้ม รถม้าแล่นไปยังสุสานป่าช้านอกเมืองหนิงโจว
สุสานป่าช้ามีคนมาออกันแน่นขนัดครึกครื้นเป็นพิเศษ ปกติที่นี่ไม่มีแม้แต่เงาผี แม้เป็นตอนกลางวันก็ไม่มีคนกล้ามาที่นี่ แต่วันนี้เพราะจะประหารหวางหมิงเหริน ทุกคนถึงกับไม่รู้สึกกลัว แต่ละคนพากันมาชมความครึกครื้น
เพราะคนรอบนอกมากเกินไป ดังนั้นรถม้าตระกูลเซี่ยจึงเข้าไปไม่ได้ ลู่เจียวไม่ได้ลงจากรถม้า ได้แต่ชมความครึกครื้นอยู่รอบนอก
เวลายามอู่สามเค่อ[1] ก็มีขุนนางจากที่ว่าการเมืองหนิงโจวมา พอดีผู้รับผิดชอบคดีนี้ครั้งนี้ก็คือเซี่ยอวิ๋นจิ่น
เซี่ยอวิ๋นจิ่นเดิมเป็นคนหน้าตาดี ยามแต่งกายชุดขุนนางก็ยิ่งขับให้งามสง่าผ่าเผย คนมารอชมความครึกครื้นแต่ละคนมองกันจนตาค้าง ในกลุ่มคนถึงกับมีคนตั้งฉายาให้เซี่ยอวิ๋นจิ่นว่าผู้พิพากษาหน้าหยก หวางหมิงเหรินถูกตัดสินประหาร ชาวบ้านทั้งเมืองหนิงโจวต่างรู้ฉายาใต้เท้าถงจือว่า ผู้พิพากษาหน้าหยก
เพียงแต่ตอนนี้ทุกคนยังไม่ได้แพร่กันออกไป แต่ละคนพากันวิพากษ์วิจารณ์เรื่องหน้าตาหล่อเหลาของเซี่ยอวิ๋นจิ่นและความคิดออกหน้าแทนชาวบ้านของเขาอย่างออกรส
จากนั้นเซี่ยอวิ๋นจิ่นก็มาถึง หวางหมิงเหรินกับคนตระกูลหวางล้วนถูกคุมตัวมา
ยามนี้หวางหมิงเหรินไม่ได้มีท่าทีเหิมเกริมไม่เกรงกลัวดังเมื่อก่อนอีกแล้ว ตอนนี้เบ้าตาเขาลึกโหล ร่างกายผ่ายผอมรวดเร็ว เสื้อผ้าหลวมโพรกจนน่าตกใจ
แต่แม้เขาเป็นเช่นนี้ ชาวบ้านที่มามุงดูก็ไม่ได้เห็นใจเขาแม้สักนิด สิบกว่าชีวิตเชียวนะที่ต้องตายไปเช่นนี้ คนผู้นี้สมควรตาย
ดังนั้นพอหวางหมิงเหรินออกมา ชาวบ้านที่มุงดูก็ตะโกนดังขึ้น “ประหาร ประหาร”
พอคนหนึ่งตะโกนดัง คนอื่นก็สำทับตาม สุดท้ายก็ยิ่งตะโกนดังขึ้น “ขอบคุณใต้เท้าเซี่ย ประหาร ประหาร”
หวางหมิงเหรินเงยหน้ามองไปยังชาวบ้านที่มุงดู เบิกตาโตอย่างโกรธจัดด้วยสัญชาตญาณ แต่ก็คิดถึงได้ทันทีว่าตอนนี้ตนเองเป็นนักโทษ และกำลังจะถูกประหาร หวางหมิงเหรินตกใจแทบสิ้นสติ แผดเสียงร้องไห้ออกมาทันที ร้องไปก็ตะโกนไปยังเซี่ยอวิ๋นจิ่นเหนือแท่นประหาร
“เซี่ยถงจือ ข้ารู้สำนึกผิดแล้ว ข้าไม่กล้าอีกแล้ว ท่านไว้ชีวิตข้าเถอะนะ วันหน้าข้าไม่กล้าทำร้ายผู้ใดอีก ข้ารับรองว่าข้าจะไม่ทำร้ายคนอีก ข้าจะสงบเสงี่ยมเป็นคนดี”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นมองเขาด้วยสีหน้าเย็นเยียบ เอ่ยขึ้นน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “สายไปแล้ว”
หวางหมิงเหรินรู้สึกเพียงแค่สิ้นหวัง ไม่รู้ว่าเหตุใดอยู่ดีๆ จึงได้ต้องโทษประหาร เขาเดินมาถึงวันนี้แท้จริงควรโทษผู้ใด
…………….
[1] ยามอู่คือเวลาระหว่าง 11.00 – 12.59 น. อนึ่ง ระยะเวลาหนึ่งเค่อเท่ากับสิบห้านาที