ตอนที่ 680 สายลมย่อมพัดล้ม
ณ ห้องโถง ตระกูลจู้กับตระกูลเจิ้งยอมจบเรื่องนี้กันไปแบบส่วนตัว ใต้เท้าหูรับสัญญาณจากเซี่ยอวิ๋นจิ่น ก็ยิ้มเอ่ยว่า “นายอำเภอเจิ้ง ท่านกับตระกูลจู้นับว่าตกลงกันได้ด้วยดี ข้าเชื่อว่าจากนี้สองตระกูลก็คงอยู่กันอย่างสงบสุข ไม่เกิดเหตุปะทะอันใดอีก”
วาจาหูทงพั่นเห็นชัดว่าแสดงความยินดี แต่ในวาจาแฝงนัยตักเตือนตระกูลเจิ้งกับตระกูลจู้ให้ประนีประนอมกัน ห้ามเจิ้งจื้อซิ่งแก้แค้นพ่อลูกตระกูลจู้ ที่ทำการศาลจะคอยจับจ้องเรื่องนี้
สีหน้าเจิ้งจื้อซิ่งแข็งค้างเป็นนานก่อนจะเอ่ยน้ำเสียงสะบัดว่า “พวกเราประนีประนอมกันส่วนตัว”
เดิมเขาคิดว่าหย่าแล้วก็จะแอบจัดการตระกูลจู้ แต่หูทงพั่นเอ่ยเช่นนี้ เขาก็ได้แต่สะกดความคิดในใจไว้
ในที่สุดบิดาและพี่ชายจู้เป่าจูก็เข้าใจว่าเหตุใดเซี่ยอวิ๋นจิ่นจึงให้พวกเขาเห็นด้วยกับการประนีประนอมกับเจิ้งจื้อซิ่ง
เจิ้งจื้อซิ่งไม่ดีอย่างไร ตอนนี้ก็เป็นขุนนาง ยังเป็นขุนนางอำเภอชิงเหอ หากพวกเขาทำลายชื่อเสียงเขา บีบเขามากเกินไป คนชั่วเช่นเขาย่อมต้องหาทางวางอุบายเอาคืน ถึงตอนนั้นครอบครัวพวกเขาย่อมต้องโชคร้าย
ดังนั้นใต้เท้าเซี่ยจึงได้ให้พวกเขาประนีประนอม ก็เพราะไม่อยากบีบเขามากเกินไป
บิดาและพี่ชายจู้เป่าจูถอนหายใจ เอาละ ได้บุตรสาวกลับมาก็นับว่าได้ชีวิตสองแม่ลูกกลับคืนมา
สองฝ่ายต่างเห็นด้วยกับการประนีประนอม เจิ้งจื้อซิ่งลงนามในหนังสือหย่า จากนี้จู้เป่าจูกับตระกูลเจิ้งไม่เกี่ยวข้องกันอีก
บิดาและพี่ชายจู้เป่าจูพาจู้เป่าจูกับเจิ้งเมี่ยวออกจากที่ทำการศาล
ลู่เจียวตามพวกเขาออกมา ทุกคนไปตระกูลเซี่ย ลู่เจียวเขียนเทียบยาให้จู้เป่าจู ให้นางกลับไปรักษาตัวเองให้ดี ระยะนี้สุขภาพนางย่ำแย่มาก ต้องพักรักษาตัวให้ดี
จู้เป่าจูเอ่ยขอบคุณนาง “ขอบคุณพี่ลู่ ขอบคุณพี่ลู่มาก”
หากไม่ใช่ลู่เจียว ตอนนี้นางก็คงกลายเป็นวิญญาณไปแล้ว พอคิดว่าหากตนเองตายไป เจิ้งจื้อซิ่งกับฟางซื่อภรรยาใหม่ต้องดีใจอย่างมาก กลับกัน บิดาและพี่ชายนางไม่รู้ว่าจะเสียใจเพียงใด
ลู่เจียวยื่นมือไปลูบศีรษะนาง ยิ้มปลอบใจว่า “เป่าจู ชีวิตคนเรายังอีกยาวไกล เจ้ายังมีบิดามารดาที่ยังไม่ทันได้กตัญญู เจ้ายังมีบุตรสาวที่ยังไม่เติบโต วันหน้าจงมีชีวิตที่เบิกบานใจ”
“ได้”
ลู่เจียวส่งคนตระกูลจู้ออกจากตระกูลเซี่ย
เจ้าหนูน้อยทั้งสี่ตามหลังนางมา ถอนหายใจกล่าวว่า “เมี่ยวเมี่ยวโชคร้ายจริง ถึงกับมีท่านพ่อชั่วร้ายเช่นนี้”
“ท่านพ่อชั่วร้ายเช่นนี้ไม่เอาเสียก็ได้”
“แต่ว่าไม่มีท่านพ่อก็น่าสงสารเช่นกัน จะถูกเด็กๆ ในหมู่บ้านรังแก”
“เช่นนี้ท่านแม่นางก็ค่อยหาท่านพ่อดีๆ คนใหม่ให้ก็ได้”
วาจาเจ้าหนูน้อยทั้งสี่ทำเอาลู่เจียวอดเลิกคิ้วไม่ได้ แม้ว่าจู้เป่าจูหย่ากับชายเลวแล้ว แต่วันหน้าเกรงว่าชีวิตอาจไม่ดีเหมือนที่คิด หญิงหย่าสามีกลับไปอยู่บ้านตนไม่เพียงแต่มีบิดาและพี่ชาย ยังมีพี่สะใภ้และหลานชายหลานสาว โดยเฉพาะหลานสาว มักจะหาคู่ครองได้ยาก พูดไปพูดมาก็เพราะยุคสมัยนี้ไม่ดีต่อผู้หญิง
ลู่เจียวครุ่นคิดแล้วก็ไม่ได้ร้อนใจเรื่องตระกูลจู้อีก ที่นางทำได้มีแค่เท่านี้แล้ว นับประสาอันใดกับการที่พวกเขานับได้ว่าล่วงเกินเจิ้งจื้อซิ่งไปอย่างสิ้นเชิงแล้วเพราะจู้เป่าจู คนเลวผู้นั้นเกรงว่าตอนนี้คงโกรธแค้นตระกูลเซี่ยอย่างมาก วันหน้าไม่แน่อาจกระทำอันใด แต่ลู่เจียวไม่กลัวเขา พลทหารมาแม่ทัพต้าน น้ำมาดินอุด
ตอนนี้นางร้อนใจอีกเรื่องหนึ่ง ก่อนหน้านี้เมล็ดพันธุ์ข้าวเจ้ากับเมล็ดพันธุ์ข้าวสาลีในห้วงอากาศเพาะเลี้ยงเมล็ดพันธุ์ดีได้แล้ว เพียงแต่เซี่ยอวิ๋นจิ่นต้องหาคนมาปลูกข้าวเจ้ากับข้าวสาลี ลองดูว่าเพาะปลูกบนพื้นที่ปกติ จะได้ผลผลิตข้าวเจ้ากับข้าวสาลีเท่าไร
ข้าวเจ้ากับข้าวสาลีต้องใส่ปุ๋ยหลินเจี่ย[1] ผลผลิตต่อพื้นที่จึงจะได้สูง แต่ในยุคสมัยตอนนี้ไม่มีปุ๋ยหลินเจี่ย ข้าวเจ้ามักจะเตี้ยแคระแกร็นและเหลือง ผลผลิตต่อพื้นที่ต่ำมาก ทว่าผลิตปุ๋ยหลินเจี่ยเองได้
ตกค่ำเซี่ยอวิ๋นจิ่นกลับมา ลู่เจียวบอกกับเขาเรื่องเมล็ดพันธุ์ข้าวเจ้ากับข้าวสาลีเพาะออกมาได้เรียบร้อยแล้ว
“เจ้านำเมล็ดพันธุ์เหล่านี้ไปเพาะปลูกต่อ ผลิตเมล็ดพันธุ์ให้ยิ่งมาก เช่นนี้ก็จะได้เมล็ดพันธุ์มากขึ้นไปอีก ห้วงอากาศข้าผลิตเมล็ดพันธุ์ได้แค่ส่วนน้อย ไม่มีทางขยายพื้นที่เพาะปลูกขนาดใหญ่ได้”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นได้ฟังคำพูดนาง ก็ดีใจอย่างบอกไม่ถูก “ได้ ข้าจะรีบหาที่นาทดลองปลูก”
ลู่เจียวพลันคิดถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมา หากเซี่ยอวิ๋นจิ่นเพาะเมล็ดพันธุ์ข้าวเจ้ากับเมล็ดพันธุ์ข้าวสาลีที่มีคุณภาพได้ เช่นนี้ก็ต้องส่งเข้าเมืองหลวงไปให้อ๋องเยียน ให้อ๋องเยียนทูลต่อฝ่าบาท แต่การทำเช่นนี้จะกลายเป็นปัญหา
เขาทำเช่นนี้ใช่ว่าจะโดดเด่นเกินไปหรือไม่ ต้นไม้สูงเด่นในป่า ย่อมถูกลมพัดล้มก่อนต้นอื่น เดิมครอบครัวพวกนางเป็นที่สนพระทัยของฝ่าบาทเพราะวิชาการแพทย์นาง หากยังมีเรื่องเมล็ดพันธุ์ข้าวเจ้ากับเมล็ดพันธุ์ข้าวสาลีที่มีคุณภาพ ย่อมต้องทำให้ทั้งราชสำนักแตกตื่นตกใจ ฮ่องเต้รู้แล้วว่าพวกเขาเป็นพวกอ๋องเยียน เกรงว่าก็คงจะมีแต่ความระแวงพวกเขา นี่ไม่ใช่เรื่องดีอันใด
ลู่เจียวบอกเรื่องนี้กับเซี่ยอวิ๋นจิ่นด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
เซี่ยอวิ๋นจิ่นเลิกคิ้วคิดไตร่ตรอง จากนั้นก็มองไปยังลู่เจียวกล่าวอย่างอ่อนโยนว่า “เจียวเจียวเจ้าคิดได้รอบคอบมาก แต่หากยกความชอบสองเรื่องยิ่งใหญ่นี้ให้ผู้อื่น ข้าทำใจไม่ได้ หรือว่าเอาอย่างนี้ เจ้าว่าได้หรือไม่”
ลู่เจียวมองเขา เซี่ยอวิ๋นจิ่นเอ่ยข้อเสนอตนเอง “เอาวิธีเพาะเมล็ดพันธุ์ข้าวสาลีคุณภาพดีมอบให้จ้าว หลิงเฟิง ให้เขารับความชอบนี้ไป รอให้เขานำเรื่องนี้รายงานต่อราชสำนัก พวกเราค่อยรายงานวิธีเพาะเมล็ดพันธุ์ข้าวเจ้า เช่นนี้ก็นับว่าได้ความไว้วางพระทัยจากฝ่าบาท ทั้งยังไม่เป็นที่สะดุดตาของผู้อื่นด้วย”
ลู่เจียวคิดอยู่ครู่หนึ่งก็เห็นด้วย ตนเองได้วิธีเพาะเมล็ดพันธุ์ข้าวคุณภาพดีสองชนิดออกมา สุดท้ายยกความดีความชอบให้ผู้อื่นหมด เป็นผู้ใดก็ทำใจยอมรับไม่ได้
“ได้ ทำตามเจ้าว่า”
แววตาเซี่ยอวิ๋นจิ่นเต็มไปด้วยรอยยิ้มกระจ่างอบอุ่น คิดถึงว่าลู่เจียวเคยบอกเรื่องหนังสือในห้วงอากาศนาง เขารีบถามอย่างตื่นเต้นว่า “ก่อนหน้านี้เจ้าบอกว่าในห้วงอากาศเจ้ามีหนังสือวิธีปลูกและการดูแลข้าวเจ้าไม่ใช่หรือ รีบเอามาให้ข้าอ่าน”
ลู่เจียวรีบเข้าไปในห้วงอากาศหาหนังสือวิธีปลูกข้าวเจ้ากับข้าวสาลีออกมาให้เซี่ยอวิ๋นจิ่น
เซี่ยอวิ๋นจิ่นเรียนตัวอักษรกับนางมาได้ระยะหนึ่งแล้ว ตอนนี้พออ่านตัวอักษรในหนังสือออกแล้ว ดังนั้นไม่จำเป็นต้องให้นางแปล
นางส่งหนังสือให้เซี่ยอวิ๋นจิ่นแล้วก็เข้านอน เซี่ยอวิ๋นจิ่นรับหนังสือมาอ่านแล้วก็ดื่มด่ำจนวางไม่ลง
ขณะลู่เจียวกำลังนอนเคลิ้มสะลึมสะลืออยู่ ก็ถูกผู้ชายข้างกายเรียกให้ตื่น “เจียวเจียว ข้าอ่านวิธีการปลูกและดูแลข้าวเจ้าแล้ว พบว่าในการเพาะปลูกข้าวเจ้า มีปัจจัยสำคัญอันหนึ่ง ข้าวเจ้าต้องใส่ปุ๋ย หากไม่ใส่ปุ๋ย ข้าวเจ้าก็จะเหลืองและเตี้ย ผลผลิตต่อพื้นที่ก็จะต่ำมาก เจ้ารู้ไหมว่าปุ๋ยหลินเจี่ยนี่คืออันใด”
ลู่เจียวสะลึมสะลือมองชายข้างๆ ที่มีสีหน้าร้อนใจ ลู่เจียวรู้ว่าเขาตื่นเต้นมากจนเกินไป หากไม่ใช่ตื่นเต้นมากจนเกินไปคงไม่มาปลุกนาง
ขณะลู่เจียวกำลังคิดอยู่ เซี่ยอวิ๋นจิ่นก็ได้สติ เขารู้สึกเขินขึ้นมา ยื่นมือไปลูบหลังลู่เจียวกล่าวว่า “เจ้ารีบนอน ข้าตื่นเต้นเกินไป ไม่ทันระวังทำเจ้าตื่น”
เห็นว่าการปลูกข้าวเจ้าจะพัฒนาไปอีกขั้นหนึ่งแล้ว ปรากฏว่ากลับพบเรื่องปุ๋ยที่เป็นปัจจัยสำคัญหนึ่ง เขาไม่รู้ว่าปุ๋ยหลินเจี่ยนี้คือสิ่งใด
…………..
[1] ปุ๋ยฟอสฟอรัสและโพแทสเซียม