Chapter 3
บททดสอบเข้าสำนักโอสถ
ไพลินวิญญาณเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า {ข้าในตอนนั้นก็ไร้พลังจึงร่วมมือกับมันดูดกลืนวิญญาณเชื้อสายของนายท่านเพื่อต่อชีวิตข้าเช่นกัน เจ้ารู้เช่นนี้แล้วเจ้าจะโกรธข้า เกลียดข้าก็ได้ที่เป็นคนทำร้ายญาติของเจ้าในกาลก่อน}
{ผิดถูก ข้าไม่อาจตัดสินได้หรอก} เฉินมู่อิ๋งบอก เพราะเขาไม่ได้อยู่ในสถานการณ์เดียวกันกับไพลินวิญญาณจึงไม่อาจเอาความรู้สึกของตัวเองไปตัดสินมันได้ หากเป็นเขาที่กำลังจะตายก็คงทำทุกอย่างเพื่อเอาชีวิตรอดเช่นกัน!
{ข้ากับมันร่วมมือกันดูดกลืนวิญญาณเชื้อสายของนายท่านจนกระทั่งข้าได้เจอกับเจ้า เจ้ามีสายเลือดเผ่าวิญญาณเข้มข้นที่สุดในบรรดาลูกหลานของนายท่านเท่าที่ข้าเคยเจอมา ดังนั้นข้าจึงฉวยโอกาสรับเจ้าเป็นนายแล้วดูดกลืนพลังวิญญาณจากเจ้ามาทีละเล็กทีละน้อย ทำให้ข้าฟื้นพลังได้นิดหน่อย หากว่าข้ายังไม่รับเจ้าเป็นนาย ข้าก็ไม่รู้ว่าต้องรออีกนานเท่าไหร่ถึงจะเจอคนที่มีสายเลือดเผ่าวิญญาณเข้มข้นเท่ากับเจ้า บางทีอาจจะไม่เจออีกแล้วก็ได้ เจ้าก็รู้นี่ว่าสายเลือดยิ่งนานไปยิ่งเจือจางลงไปเรื่อยๆ ข้ากลัวว่าจะไม่มีโอกาสอีกแล้วจึงได้เลือกเจ้าเป็นนาย} ไพลินวิญญาณบอก
{เจ้าพูดถึงเผ่าจิตวิญญาณ เผ่านี้เป็นเช่นไรรึ? เหตุใดถึงได้เป็นศัตรูกับบรรพบุรุษข้าล่ะ?} เฉินมู่อิ๋งถาม ไพลินวิญญาณตอบ {เผ่าจิตวิญญาณ พวกมันมีระดับพลังสูงกว่าเผ่าวิญญาณก็เพราะพวกมันควบคุมจิตวิญญาณได้ ถูกพวกมันควบคุมจิตวิญญาณได้เมื่อไหร่มีแต่ต้องตกเป็นทาสพวกมันตราบจนวิญญาณสลาย อันที่จริงเผ่าจิตวิญญาณไม่ได้แข็งแกร่งจนพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินได้ แต่เป็นเพราะราชาเผ่าพวกมันในรุ่นนี้ที่ดูเหมือนประสบโชคดีเข้าได้พลังจากจิตบรรพกาล จึงทำให้มันแข็งแกร่งขึ้นมาก เมื่อพวกมันแข็งแกร่งขึ้นจึงเริ่มรุกรานเผ่าวิญญาณของพวกเรา ทำให้ชาวเผ่าวิญญาณตกเป็นทาสของพวกมัน คนเผ่าเรากลายเป็นทาสของมันแล้วก็กลายเป็นหนอนบ่อนไส้นำความฉิบหายมาสู่เผ่าเรา บรรพบุรุษเจ้าสู้ไม่ไหวจึงได้พาครอบครัวกับบ่าวที่ภักดีหนีมา}
{อ่อ} เฉินมู่อิ๋งพยักหน้ารับรู้ ไพลินวิญญาณเตือน {จำไว้ว่าเจ้าเจอพวกมันที่ไหนก็จงรีบหนีให้ไกลๆ เชียว พวกมันล้วนร้ายกาจ หากเจ้าตกเป็นทาสมันแล้วแม้แต่วิญญาณเจ้าก็จะไม่เหลือหลอถูกพวกมันยึดครองช่วงใช้จนกว่าจะสลายมลายสิ้นไป}
{อืม} เฉินมู่อิ๋งพยักหน้า เขารู้สึกว่ายืนชมทิวทัศน์มานานจนเมื่อยขาจึงเดินไปหาเก้าอี้นั่งแล้วถามไพลินวิญญาณว่า {ว่าแต่เกี่ยวกับแดนเทพนี่เจ้ารู้อะไรบ้างล่ะ?}
{ก็พอรู้มาบ้าง แดนเทพมี 5 ดินแดนใหญ่ กับเกาะเล็กเกาะน้อยอีกมากมาย 5 ดินแดนใหญ่นี้ก็ตามที่เจ้าได้ฟังจากเจ้าเทพคนนั้นนั่นแหละ ส่วนการปกครองของที่นี่นั้น ตี้จวินเป็นใหญ่ที่สุด เพราะเขามีพลังแข็งแกร่งที่สุด รองลงมาก็คือเทียนจวินซึ่งเปรียบเหมือนกับราชาเหนือราชาของแดนเทพนี่แหละ ลำดับถัดไปก็คือราชาแห่งแดนเทพทั้ง 4 ดินแดน เป่ยต้าไห่ หนานต้าไห่ ตงต้าไห่ ซีฟางต้าไห่ แล้วก็ยังมีราชาเฟิ่ง ราชามังกร กับเจ้าสำนักโอสถและเจ้าสำนักศาสตรา ส่วนสำนักอื่นๆ ก็ไม่ยิ่งใหญ่เท่า 2 สำนักนี้ ก็คล้ายกับในแดนเซียนที่มี 3 สำนักใหญ่คานอำนาจกันนั่นแหละ เหนือกว่าตี้จวินก็จะเป็นระดับเจ้าแม่ทั้งหลาย เช่นเจ้าแม่จุ้ยบ๊วยเนี่ย เจ้าแม่กวนอิม เหนือกว่าเจ้าแม่ก็คือพระพุทธองค์ทั้งหลาย เช่นพระยูไล แต่ท่านๆ เหล่านี้หากเจ้ามีวาสนาก็คงได้พบเจอ หากไร้วาสนาก็ยากจะพบเจอ} ไพลินวิญญาณบอก ซึ่งนี่เป็นข้อมูลเท่าที่มันรู้มา ไม่ใช่ข้อมูลปัจจุบันที่ในแดนเทพมีการเปลี่ยนแปลงไปมากแล้ว
เฉินมู่อิ๋งฟังแล้วจดจำเอาไว้ จากนั้นเขาเห็นคนของเรือล่องเมฆากำลังทำถูดาดฟ้าอยู่ เขาจึงลุกขึ้นเดินไปกุมมือคารวะแล้วชวนคุย “พี่ชาย พอดีข้าเพิ่งมาใหม่ ยังไม่ค่อยรู้เรื่องเกี่ยวกับที่นี่มากนัก ไม่ทราบว่าพี่ชายพอจะบอกเล่าให้ข้าฟังเป็นความรู้ได้หรือไม่”
“อ่อ ได้ซิ” คนเรือคนนั้นเห็นเจ้าหนูหน้าอ่อนมีสัมมาคารวะดีจึงเล่าเรื่องราวของแดนเทพให้ฟัง ทำให้เฉินมู่อิ๋งกับไพลินวิญญาณได้รับรู้ข้อมูลที่เปลี่ยนแปลงไปจากความทรงจำของไพลินวิญญาณมากนัก เช่นว่า ตี้จวินมีตี้โฮ่วและมีองค์รัชทายาทผู้สืบทอดตำหนักไป๋หยุนแล้ว เทียนจวินก็มีเทียนโฮ่วและมีองค์รัชทายาทผู้สืบบัลลังก์แล้วเช่นกัน เพียงแต่ว่าเรื่องของเทียนโฮ่วนี้มีเรื่องซุบซิบกันว่ามีองค์รัชทายาทตั้งแต่ก่อนอภิเษกเสียอีก และเทียนโฮ่วก็เป็นผู้ก่อตั้ง ‘สำนักที่หนึ่ง’ สำนักที่ผงาดขึ้นมามีอำนาจเทียบเท่าสำนักโอสถและสำนักศาสตรา
ดังนั้นสำนักที่หนึ่งนี้จึงยิ่งใหญ่พอๆ กับสำนักโอสถและสำนักศาสตรา สำนักที่หนึ่งนี้เชี่ยวชาญด้านอาหาร แม้แต่บะหมี่ที่นำมาให้ลูกค้ากินก็มาจากสำนักนี้เช่นกัน คนเรือคุยจ้ออย่างออกรส ซ้ำยังเล่าเรื่องที่ ‘เยี่ย’ ตื่นขึ้นมาเมื่อหลายปีก่อนทำให้แดนเทพตกอยู่ในความมืดมิดไปช่วงหนึ่ง ตี้จวินต้องออกโรงแก้ปัญหานี้ด้วยตัวเอง เฉินมู่อิ๋งก็ซักถามเกี่ยวกับ ‘เยี่ย’ อย่างอยากรู้อยากเห็น แต่ก็ไม่ได้รับคำตอบมากนัก คล้ายๆ กับว่าเป็นของวิเศษของแดนเทพอะไรประมาณนั้น ไม่มีใครเคยเห็นนอกจากตี้จวิน เทียนจวิน คนอื่นๆ จึงไม่รู้ว่า ‘เยี่ย’ เป็นอย่างไร เป็นของวิเศษที่มีรูปร่างหน้าตาอย่างไร ไพลินวิญญาณก็ไม่รู้จัก ‘เยี่ย’ เช่นกัน
หลังจากฟังคนเรือคุยน้ำไหลไฟดับจวบจนกระทั่งตะวันตรงหัวแล้วเฉินมู่อิ๋งจึงขอตัวไปกินมื้อกลางวัน คนเรือยิ้มอย่างเอ็นดูมองตามเทพใหม่ที่ดูมีสัมมาคารวะคนนั้นไปอย่างถูกอกถูกใจ ปกติแล้วเทพส่วนใหม่มักเห็นเขามีฐานะเหมือนบ่าวไพร่ก็มิปาน น้อยนักที่จะมีสัมมาคารวะกับเขา ดังนั้นเขาจึงเอ็นดูเจ้าเด็กนี่เป็นพิเศษ
วันเวลาผ่านไปเดือนกว่า ในที่สุดเรือก็แล่นไปถึงแดนเทพเป่ยต้าไห่ เฉินมู่อิ๋งลงจากเรือ คนเรือโบกๆ มือให้อย่างเอ็นดู ซ้ำยังอวยพรว่า “โชคดีนะเจ้าหนู”
“อื้ม” เฉินมู่อิ๋งยิ้มรับ เขาได้ข้อมูลจากคนเรือไม่น้อยทีเดียว ดังนั้นในใจจึงมีรายชื่อบุคคลที่ไม่ควรล่วงเกินยาวเหยียดทีเดียว เรื่องแรกที่เขาสนใจคือการเข้าสำนักโอสถ เขาอยากฝึกหลอมโอสถเทพ เพราะการมีโอสถมากๆ ย่อมเป็นเรื่องดี เจ็บป่วยขึ้นมาจะได้รักษาได้ทันท่วงที แต่ราคาโอสถเทพก็ไม่น้อยเลย หากเขาจะซื้อหามาใช้ย่อมสิ้นเปลืองยิ่งนัก เช่นนั้นก็เรียนการหลอมโอสถก่อนเถอะ จากข้อมูลที่ได้มา เขาต้องขึ้นเรือล่องเมฆาอีกลำที่แล่นระหว่างแดนเทพเป่ยต้าไห้กับแดนเทพจงยางต้าไห่เพราะสำนักโอสถอยู่ที่แดนเทพจงยางต้าไห่ ซึ่งต้องไปขึ้นที่ท่าเรืออีกแห่ง เขาสอบถามเส้นทางกับคนเรือมาแล้วจึงเดินไปที่ท่าเรืออีกแห่งทันที
“น้องชาย เจ้าจะไปไหนหรือ? ใช้รถม้าของข้าดีกว่า ข้าคิดราคาไม่แพงหรอก” เทพคนหนึ่งปราดมาดักหน้า เฉินมู่อิ๋งมองหน้าตาเทพคนนั้นแล้วตอบว่า “ข้าไม่ได้ไปไกล ไม่จำเป็นต้องใช้รถม้าของพี่ชายหรอก ขอบคุณมาก”
เขาตอบแล้วก็เดินเลี่ยงไปทันที เทพคนนั้นจึงได้แต่ยืนมองตามแล้วถอนหายใจ “เฮ้อ…”
หากินสุจริตใยยากเย็นถึงเพียงนี้นะ! แต่เขาก็ไม่กล้ากลับไปจี้ปล้นอีกแล้ว ไม่เช่นนั้นหากว่าเทียนโฮ่วรู้เข้า นางสั่งสำนักที่หนึ่งไม่ให้ขายอาหารในสำนักให้เขา เขาได้ลงแดงตายแน่แท้! งื๊ดดดด…
เฉินมู่อิ๋งไม่ไว้ใจเทพคนนั้นเพราะดูหน้าตาโหงวเฮ้งแล้วไว้ใจไม่ได้ ไม่แน่ว่าอาจจะพาเขาไปจี้ปล้นกลางทางก็ได้ อยู่ต่างถิ่นต่างแดนก็ต้องระวังตัวไว้มากๆ หน่อยเป็นดี ไว้ใจใครง่ายๆ อาจจะกลายเป็น ‘ถูกเขาหลอกขายแล้วยังช่วยเขานับเงินอีก’ ก็ได้ เขาเดินไปทางท่าเรืออีกแห่งที่อยู่ห่างจากที่นี่พอสมควรพลางมองบ้านเมืองในแดนเทพที่ไม่ค่อยต่างจากบ้านเมืองในโลกมนุษย์สักเท่าไหร่
จนกระทั่งไปถึงท่าเรืออีกแห่งเขาจึงนั่งรอเรืออยู่แถวๆ นั้น ระหว่างที่นั่งรอก็กินซาลาเปาที่ซื้อมาไปพลางๆ เขารออยู่นานมาก จนกระทั่งเรือแล่นมาเทียบท่า คนบนเรือลงจากเรือแล้ว คนเรือจึงร้องเรียก “เอ้า ใครจะไปแดนเทพจงยางต้าไห่ก็รีบขึ้นมาเร็ว”
เฉินมู่อิ๋งจึงลุกขึ้นเดินไปขึ้นเรือ เขาจ่ายค่าเรือแล้วเดินขึ้นสะพานเรือไป คนด้านบนก็พาเขาไปที่ห้องพักใต้ท้องเรือ เขาเข้าห้องไปแล้วก็ปิดประตู จัดแจงเปิดน้ำร้อนใส่อ่าง ห้องพักนี้ก็เหมือนกับเรือลำก่อนไม่มีผิด มีห้องส้วมเล็กๆ ที่แสนสะดวกสบายยิ่ง ภายในห้องส้วมก็มีคำอธิบายวิธีการใช้งานเขียนเอาไว้บนผนังในห้องส้วมอีกเช่นเคย ซึ่งความสะดวกสบายของอ่างอาบน้ำและห้องส้วมนี้เขาก็ได้รู้จากคนเรือลำก่อนว่าลอกแบบมาจากตำหนักไป๋หยุนของตี้จวิน ซึ่งตี้โฮ่วเป็นคนออกแบบระบบห้องอาบน้ำและห้องส้วม เจ้าของเรือล่องเมฆาไปเห็นเข้าจึงได้ขอแบบมาปรับปรุงเรือทุกลำ แน่นอนว่าไม่ได้ขอมาเปล่าๆ ต้องจ่ายหยกให้ตี้โฮ่วไม่น้อยอยู่เหมือนกัน
เขาถอดอาภรณ์ออกแล้วลงแช่น้ำอุ่น จากนั้นก็ไปนอนพักงีบหนึ่ง ตื่นมาแล้วค่อยไปกินข้าว แน่นอนว่าอาหารที่เขาเลือกมากินนั้นล้วนเป็นอาหารของสำนักที่หนึ่งทั้งสิ้น เรียกว่ารสชาติอาหารอร่อยยิ่งนัก เขากินทีไรรสชาติก็ไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด
กลางฟ้ากระจ่างดาว เรือเยว่กวงแล่นผ่านห้วงอวกาศไปเรื่อยๆ ดูเหมือนช้า แต่ความจริงแล้วเร็วมาก
เร็วจนเห็นแสงสีนวลลากยาวเป็นลำตามเส้นทางที่เรือแล่นผ่าน หยางเจียงหยุนยังคงมีสีหน้าบึ้งตึงยิ่งนัก บึ้งตึงเสียจนจิงจ้านได้แต่อยู่เงียบๆ อย่างไร้ตัวตน
“จิงจ้าน เจ้าว่าบุรุษที่รักชอบบุรุษวิปริตหรือไม่?” หยางเจียงหยุนถาม จิงจ้านตอบ “ย่อมวิปริตพะย่ะค่ะ บุรุษดีๆ ที่ไหนกันจะรักชอบบุรุษด้วยกันเองได้ลงคอ ดังนั้นบุรุษที่ชมชอบบุรุษย่อมมีจิตใจวิปริตแน่นอนพะย่ะค่ะ”
สีหน้าของหยางเจียงหยุนยิ่งทึบทมึนขึ้นมาก จิงจ้านรู้สึกถึงกลิ่นอายกดดันที่แผ่ออกมาจากองค์ราชาจนเขาอดที่จะถอยหลังห่างออกไปมิได้ ไอหยา! ข้าพูดอะไรผิดไปหรือ!?
หยางเจียงหยุนยิ่งคิดโทษทัณฑ์ที่เจ้าเด็กมนุษย์นั่นกับเจ้าเด็กเซียนที่ชื่อ ‘เฉินมู่อิ๋ง’ ควรได้รับนั่นก็คือบดทำลายวิญญาณพวกมันให้สิ้นซาก! ต้องบดขยี้วิญญาณพวกมันให้แหลกสลายไปสถานเดียว จิตใจเขาจึงจะไม่คิดรักชอบพวกมันอีก เท่านี้เขาก็จะกลับไปเป็นบุรุษแท้จริงได้อีกครั้ง เขาจะต้องตามหาเจ้าเด็กเซียนนั่นก่อน บดขยี้วิญญาณมันแล้วค่อยลอบเข้าแดนเทพไปตำหนักเทพดวงชะตาหมิงเทียน ตามหาเจ้าเด็กมนุษย์เฉินมู่อิ๋ง ที่ตำหนักเทพหมิงเทียนซึ่งควบคุมชะตามนุษย์ย่อมมีบันทึกเกิดตายของเจ้าเด็กนั่น ต่อให้มันไปเกิดที่ไหนแค่ดูบันทึกของมันเขาก็ตามไปฆ่ามัน บดขยี้วิญญาณมันได้ ส่วนเทพดวงชะตาเหอเทียนเหิงของตำหนักไป๋หยุนนั้นควบคุมชะตาของเหล่าเทพ เทพเกิดดับล้วนต้องผ่านตำหนักของเทพเหอเทียนเหิงทั้งสิ้น ซึ่งในส่วนนี้เขาไม่จำเป็นต้องไปยุ่งเกี่ยวกับเทพเหอเทียนเหิงเลย
วันเวลาผ่านไป เรือล่องเมฆาก็แล่นไปถึงแดนเทพจงยางต้าไห่ เฉินมู่อิ๋งลงจากเรือแล้วเดินทางมุ่งหน้าไปยังสำนักโอสถทันที ระหว่างทางเขาพบร้านอาหารของสำนักที่หนึ่งเป็นระยะๆ เรียกว่าทุกเมืองทุกหมู่บ้านเลยกระมังจะต้องมีร้านอาหารของสำนักที่หนึ่งตั้งอยู่อย่างน้อย 1 ร้าน ทำให้เขารู้สึกนับถือเทียนโฮ่วในใจ นางช่างมีหัวการค้ายิ่ง เขาแวะร้านอาหารของสำนักที่หนึ่งทุกครั้ง พักตามโรงเตี้ยมเล็กๆ ทุกคืน หยกปราณสวรรค์ที่อาจารย์เฟยเทียนมอบให้มาถึงจะมีไม่มากนัก แต่คิดคำนวณแล้วก็น่าจะพอให้เขาไปถึงสำนักโอสถได้
ในเวลาเดียวกัน เรือเยว่กวงก็แล่นไปถึงโลกพันเล็กลำดับที่ 2,900 หยางเจียงหยุนกับจิงจ้านลอบเข้าไป แน่นอนว่าพลังของพวกเขาย่อมถูกกฎเกณฑ์ของโลกพันเล็กกดเอาไว้จนมีระดับพลังเท่ากับเซียนระดับสูง นี่เป็นกฎเกณฑ์ที่ผู้แข็งแกร่งเหนือ 6 ภพภูมิสร้างเอาไว้เพื่อป้องกันมิให้ผู้แข็งแกร่งเข้าไปรังแกคนอ่อนแอกว่าได้ กฎเกณฑ์นี้มีมานานแล้ว นานเสียจนไม่รู้ว่าใครเป็นคนสร้างกฎนี้
หยางเจียงหยุนกับจิงจ้านมุ่งหน้าไปยังแดนเซียน จิงจ้านสืบข่าวได้ความว่าเจ้าเด็กเฉินมู่อิ๋งคนนั้นบรรลุขั้นกลายเป็นเทพเข้าสู่แดนเทพไปเสียแล้ว หยางเจียงหยุนรู้เรื่องจึงไปจากโลกพันเล็กลำดับที่ 2,900 ทันที แน่นอนว่าเขาย่อมไปยังแดนเทพซิ เพื่อตามหาเจ้าเด็กเฉินมู่อิ๋งที่กลายเป็นเทพไปแล้ว เขาจะต้องฆ่ามัน บดขยี้วิญญาณมันให้ได้!
ระหว่างทางที่นั่งเรือเยว่กวงไปยังแดนเทพ จิงจ้านก็เอ่ยขึ้นว่า “เจ้าเด็กนั่นบรรลุเป็นเทพเร็วยิ่งนักพะย่ะค่ะ ข้าจำได้ว่ามันอยู่แดนเซียนไม่นานเท่าไหร่นี่นา”
“หึ! ต่อให้มันกลายเป็นเทพ ข้าก็จะฆ่ามัน!” หยางเจียงหยุนแค่นเสียงเย็นชา กำมือแน่นอย่างแค้นเคือง เขาคาดว่ามันจะต้องตายไปแล้วหรือไม่ก็ถูกไล่ล่าหนีหัวซุกหัวซุนอยู่กระมัง แต่ผิดคาดยิ่งนัก มันกลับบรรลุขั้นกลายเป็นเทพไปเสียแล้ว แดนเทพกว้างใหญ่ยิ่งนัก การจะตาม หาเทพเล็กๆ คนหนึ่งย่อมเหมือนงมเข็มในมหาสมุทร แม้แต่บันทึกของตำหนักเทพเหอเทียนเหิงก็จะมีบันทึกไว้เฉพาะเวลาเทพเกิดกับเทพดับเท่านั้น ไม่ได้มีบันทึกละเอียดลออถึงขั้นรู้ว่ามันไปทำอะไรอยู่ที่ไหน
จิงจ้านฟังคำขององค์ราชาแล้วเริ่มคิดๆ เดาๆ ว่าดูเหมือนคนที่ทำให้แผนการขององค์ราชาล้มเหลวจะเป็นเจ้าเด็กเฉินมู่อิ๋งคนนั้นจริงๆ หากว่าเขารู้ว่าจะเป็นเช่นนี้ ตอนนั้นเขาน่าจะฆ่ามันทิ้งเสีย! ไม่น่าปล่อยให้มันกลายเป็นภัยต่อองค์ราชาเลย คิดแล้วก็เจ็บใจยิ่งนัก คอยดูเถอะเจอตัวมันเมื่อไหร่เขาจะฆ่ามัน บดขยี้วิญญาณมันให้แหลกสลายไม่อาจเกิดได้ไปตลอดกาล!
วันเวลาผ่านไป เฉินมู่อิ๋งก็เดินทางไปถึงสำนักโอสถ โชคดีที่เขามาถึงในช่วงที่สำนักโอสถใกล้จะเปิดรับศิษย์ใหม่พอดี นี่ต้องขอบคุณคนเรือที่เล่าเรื่องราวให้ฟัง ทำให้เขารู้วันเวลาที่สำนักโอสถจะเปิดรับศิษย์ เขาจึงรีบเร่งเดินทางมาให้ทัน ไม่เช่นนั้นคงต้องรอครั้งหน้ากระมัง
ซึ่งก็คงอีกนานโขทีเดียว เขามาถึงก่อนวันเปิดรับศิษย์ถึง 10 วัน ดังนั้นช่วงที่รออยู่นี้เขาจึงหาที่พัก ซึ่งก็ได้กระท่อมหลังเล็กๆ ซอมซ่อหลังหนึ่งเป็นที่พัก ราคาถูกทีเดียว สภาพภายในก็ไม่ได้แย่เท่าไหร่ เขาปัดกวาดเช็ดถูแล้วก็สะอาดสะอ้านดี หลังจากปัดกวาดแล้วเขาก็ออกไปเดินเล่นในตลาดชั่วคราวที่มาตั้งแผงขายของกันอยู่หน้าสำนักโอสถ
10 วันผ่านไปเร็วยิ่งนัก ในที่สุดสำนักโอสถก็เปิดรับศิษย์เสียที ทางสำนักโอสถก็ประกาศว่า “คนที่ต้องการเข้ารับการทดสอบเป็นศิษย์สำนักโอสถให้ไปรวมตัวกันที่หน้าประตูสำนัก”
เสียงประกาศดังซ้ำไปซ้ำมาตั้งแต่เช้า ผู้คนรีบไปรวมตัวกันที่หน้าประตูสำนัก เฉินมู่อิ๋งก็ตามผู้คนไป ยืนรวมอยู่ในหมู่ผู้คน ประตูสำนักโอสถเปิดออก อาจารย์หลอมโอสถคนหนึ่งก็เดินไปยืนอยู่ตรงระหว่างประตู พูดว่า “ให้พวกเจ้าทุกคนเข้าไปทางป่าด้านซ้ายมือ เก็บสมุนไพรคนละ 100 ชนิด แล้วนำมาลงชื่อ พวกเจ้าต้องบอกชื่อสมุนไพรที่พวกเจ้าเก็บมาให้ถูกต้อง หากผิดพลาดแม้แต่ชนิดเดียวถือว่าไม่ผ่าน”
“หึๆๆๆ 100 ชนิด คราวนี้ข้าไม่พลาดแน่” คนหนึ่งพูดขึ้นมาสีหน้ามั่นใจยิ่ง อาจารย์หลอมโอสถก็พูดว่า “เอาล่ะ พวกเจ้าไปได้แล้ว มีเวลาแค่ถึงพระอาทิตย์ตกดิน หากใครไม่ทันก็ถือว่าไม่ผ่าน”
ผู้คนจึงรีบวิ่งไปทางป่าด้านซ้ายมือทันที เฉินมู่อิ๋งก็ตามผู้คนไป ผู้คนเข้าป่าไปก็พากันรีบแย่งเก็บสมุนไพรกันทันที ชนิดว่าใครไวกว่าก็ได้ไป เฉินมู่อิ๋งไม่ยื้อแย่งกับคนอื่น เขามองดูสมุนไพรต่างๆ ที่รู้จักบ้างไม่รู้จักบ้าง เขาค่อยๆ เลือกเก็บสมุนไพรที่เขารู้จัก จนกระทั่งเก็บสมุนไพรจนครบ 100 ชนิดแล้วก็เดินกลับไปที่จุดลงชื่อ
จนกระทั่งพระอาทิตย์ตกดิน แสงสุดท้ายลับฟ้าไปแล้วอาจารย์หลอมโอสถก็ปิดการลงชื่อ คนที่กลับมาไม่ทันจึงไม่ผ่านการทดสอบไปโดยปริยาย อาจารย์หลอมโอสถก็ประกาศว่า “พรุ่งนี้เช้าให้พวกเจ้ามารวมตัวกันที่หน้าประตูอีกครั้งเพื่อเข้ารับการทดสอบครั้งที่สอง”
ผู้คนจึงแยกย้ายกันไป เฉินมู่อิ๋งก็กลับไปที่กระท่อมน้อยของเขา
เช้าวันต่อมา เฉินมู่อิ๋งไปรออยู่หน้าประตูสำนักโอสถรวมกับผู้คนที่ผ่านการทดสอบเมื่อวานนี้ ประตูสำนักโอสถเปิดออก อาจารย์คนเดิมก็เดินมาประกาศว่า “วันนี้ให้พวกเจ้าเดินขึ้นบันไดทางด้านนั้น ใครขึ้นไปด้านบนไม่ทันพระอาทิตย์ตกดินถือว่าไม่ผ่าน”
ผู้คนก็เดินนำหน้าไปที่บันไดทันที คนหนึ่งก้าวเท้าขึ้นบันได พลัน! ก็รู้สึกถึงแรงผลักจนเขาไม่อาจวางเท้าลงบนขั้นบันไดได้ เขาพยายามวางเท้าลงไป แต่เท้าก็ชะงักค้าง เขาทุ่มแรงสุดกำลังจนเหงื่อซึมแผ่นหลังเลยทีเดียวจึงก้าวเท้าวางบนขั้นบันไดขั้นแรกได้สำเร็จ ผู้คนมองดูเทพคนนั้นปากอ้าตาค้าง พวกเขาตระหนักดีว่าการทดสอบของสำนักโอสถจะง่ายดายได้อย่างไร!
หลังจากนั้นผู้คนจึงพากันเดินขึ้นบันได แต่ละคนต้องใช้กำลังสุดแรงจึงจะก้าวเท้าขึ้นบันไดได้ บางคนแม้แต่บันไดขั้นแรกก็ยังไม่อาจวางเท้าได้เลย พวกเขายืนพยายามอย่างเอาเป็นเอาตายอยู่ตรงนั้น ซึ่งบันไดของสำนักโอสถนั้นกว้างใหญ่ ดังนั้นจึงสามารถรองรับคนหมู่มากได้อย่างไม่แออัด อาจารย์หลอมโอสถก็มองดูฝูงชนที่กำลังพยายามเดินขึ้นบันได พลางมองผู้คนที่แม้แต่บันไดขั้นแรกยังไม่อาจวางเท้าลงไปได้อย่างเหยียดหยาม “เฮอะ!”
เฉินมู่อิ๋งเดินขึ้นบันได เขาไม่รู้สึกถึงแรงกดดันอะไรที่แตกต่างจากบริเวณอื่น เขายกเท้าก้าวขึ้นบันไดอย่างง่ายดาย ทำให้คนอื่นๆ หันไปมองเด็กหนุ่มนั้นตาแทบถลนออกมานอกเบ้าเลยทีเดียว เฉินมู่อิ๋งขึ้นบันไดไปเรื่อยๆ อาจารย์หลอมโอสถมองดูเด็กหนุ่มคนนั้นปากอ้าตาถลน หา!? มีคนขึ้นบันไดทดสอบง่ายเช่นนี้ด้วยหรือ!? นี่ช่างเหมือนกับในตอนนั้นเหลือเกิน!
เฉินมู่อิ๋งเดินขึ้นไปเรื่อยๆ เขาไม่รู้สึกถึงแรงกดดันอะไรทั้งนั้น การเดินขึ้นไปอย่างง่ายดายของเขาทำให้คนทั้งหมดล้วนปากอ้าตาค้าง คนอื่นๆ ที่เข้ารับการทดสอบเช่นเดียวกันจึงยิ่งพยายามมากกว่าเดิม ในเมื่อเจ้าหนุ่มนั้นทำได้ข้าก็ต้องทำได้ซิ! ฮึ่ม!
บันไดทอดยาวสูงขึ้นไปเรื่อยๆ ยิ่งสูงแรงกดดันยิ่งมาก เฉินมู่อิ๋งเดินขึ้นไปด้วยท่าทีสบายๆ ราวกับไม่รู้สึกถึงแรงกดดันอะไรเลยอย่างไรอย่างนั้น เขายังคงเดินขึ้นไปเรื่อยๆ ราวกับก้าวขึ้นบันไดธรรมดาๆ จนกระทั่งไปถึงลานหินด้านบน อาจารย์หลอมโอสถที่รออยู่ด้านบนก็มองเด็กหนุ่มอย่างตกตะลึงไม่น้อย หา!? มีคนขึ้นมาไวถึงเพียงนี้เชียวหรือ!?
เขามองเทพคนนั้นขึ้นๆ ลงๆ ลงๆ ขึ้นๆ หลายครากว่าจะตั้งสติได้จึงค่อยพูดว่า “เจ้าบอกชื่อแซ่มา”
“ข้า เฉินมู่อิ๋ง” เฉินมู่อิ๋งบอก อาจารย์หลอมโอสถก็จดชื่อแซ่ลงไปแล้วชี้นิ้วสั่ง “เจ้าตามศิษย์คนนั้นไปพักได้ พรุ่งนี้ให้มารออยู่ที่นี่เพื่อเข้าทดสอบรอบที่สาม”
“ขอบคุณท่านมาก” เฉินมู่อิ๋งกุมมือคารวะ ศิษย์สำนักโอสถคนหนึ่งก็เดินมาพาเด็กหนุ่มไปยังที่พักซึ่งเป็นห้องโถงหลังหนึ่งที่เอาไว้ให้ผู้ผ่านการทดสอบใช้พักชั่วคราว เฉินมู่อิ๋งก็เดินตามศิษย์คนนั้นไป อาจารย์หลอมโอสถมองตามเด็กหนุ่มคนนั้นไปอย่างตกตะลึงไม่หาย นับตั้งแต่มีการทดสอบรับศิษย์ เจ้าเด็กคนนั้นก็ทำลายสถิติการขึ้นบันไดทดสอบได้เร็วพอๆ กับผู้อาวุโสสิบห้าและผู้อาวุโสสิบหกเลยกระมัง การทดสอบนี้ เจ้าหนุ่มนั้นขึ้นบันไดมาไวยิ่งนัก! โอ!
จนกระทั่งพระอาทิตย์ตกดิน ก็มีผู้ผ่านการทดสอบจำนวนหนึ่ง คนเหล่านั้นก็ถูกนำไปพักรวมกันที่ห้องโถง เฉินมู่อิ๋งตกเป็นเป้าสายตาของผู้คนบ่อยครั้งเพราะเขาผ่านการทดสอบเป็นคนแรกของการทดสอบในวันนี้
เช้าวันต่อมา ผู้เข้าทดสอบทุกคนก็ไปรวมตัวกันที่ลานกว้างอีกครั้ง อาจารย์หลอมโอสถคนเดิมก็เดินมาประกาศว่า “วันนี้จะทำการทดสอบการหลอมโอสถ พวกเจ้าหลอมโอสถอะไรได้ก็จงหลอมออกมา ใครที่หลอมโอสถไม่ได้ให้ก้าวออกไปลงชื่อทางด้านนั้น พวกเจ้าจะมีหน้าที่ดูแลป่าสมุนไพร จนกว่าพวกเจ้าจะสามารถหลอมโอสถได้จึงจะได้รับการคัดเลือกเป็นศิษย์ขั้นต้น”
อาจารย์หลอมโอสถชี้นิ้วไปทางจุดลงชื่อซึ่งมีอาจารย์หลอมโอสถ 3 คนรออยู่ คนที่ยังหลอมโอสถไม่ได้จึงก้าวออกไปลงชื่อ ซึ่งหน้าที่นี้ได้คัดคนที่สามารถขึ้นบันไดได้แต่ไม่สามารถขึ้นไปถึงข้างบนได้ก่อนตะวันตกดินรวมไว้ด้วย ส่วนคนที่ไม่สามารถขึ้นบันไดได้แม้แต่ขั้นเดียวก็ถือว่าไม่ผ่านการทดสอบ เมื่อคนที่ไม่สามารถหลอมโอสถได้แยกตัวไปแล้วอาจารย์หลอมโอสถจึงพูดกับคนที่เหลือว่า “พวกเจ้าเริ่มหลอมโอสถได้แล้ว”
ผู้คนที่รออยู่จึงแยกย้ายกันกระจายตัวออกไปหาที่นั่งลงหลอมโอสถ พวกเขาเอาหม้อหลอมโอสถของตัวเองออกมาตั้ง เอาสมุนไพรของตัวเองออกมาวาง แล้วเริ่มลงมือหลอมโอสถ เฉินมู่อิ๋งก็เดินไปหาพื้นที่ว่างๆ ซึ่งห่างจากคนอื่นๆ เขาถูกอาจารย์หลอมโอสถจับตามองเป็นพิเศษเนื่องจากเขาผ่านการทดสอบเมื่อวานไวอย่างยิ่ง อาจารย์หลอมโอสถจึงอยากรู้นักว่าเด็กหนุ่มคนนั้นจะสามารถหลอมโอสถได้ระดับใด?
เฉินมู่อิ๋งก็เอาสมุนไพรออกมาหลอมโอสถ เขาเคยหลอมโอสถอย่างไรก็ทำตามนั้น สมุนไพรวางเรียงรายตรงหน้าแล้วเริ่มหลอมโอสถเหมือนเช่นที่เคยทำ อาจารย์หลอมโอสถเห็นเจ้าหนุ่มคนนั้นไม่เอาหม้อหลอมโอสถออกมาตั้งก็มองดูอย่างสงสัย
เวลาผ่านไปราว 3 ชั่วโมง เฉินมู่อิ๋งก็หลอมโอสถเซียน ซึ่งเป็นโอสถสมานแผลระดับสมบูรณ์ระดับหนึ่งออกมา 1 เม็ด เขามองดูโอสถระดับสมบูรณ์ระดับหนึ่งที่ลอยอยู่ตรงหน้าอย่างพอใจ การหลอมโอสถนี้เขาหลอมจนชำนาญแล้วจึงไม่ยุ่งยากอะไร อาจารย์หลอมโอสถซึ่งจับตาดูเด็กหนุ่มคนนั้นตลอดเวลารู้สึกประหลาดใจอย่างยิ่งที่เห็นเด็กหนุ่มคนนั้นหลอมโอสถได้โดยไม่ต้องใช้หม้อหลอม? เขาเดินไปหาเด็กหนุ่มคนนั้นทันที สั่งว่า “เจ้าหลอมโอสถให้ข้าดูหน่อย”
เฉินมู่อิ๋งมองอาจารย์หลอมโอสถคนนั้น คนอื่นๆ ได้ยินอาจารย์หลอมโอสถสั่งเช่นนั้นก็หันไปมองดูอย่างสงสัยใคร่รู้ พวกเขาหยุดมือรอชมเหตุการณ์ อาจารย์หลอมโอสถจึงสั่งว่า “เอ้า เจ้าหนู เจ้าหลอมโอสถให้ข้าดูเดี๋ยวนี้”
“หือ?” เฉินมู่อิ๋งมองอย่างสงสัย อาจารย์หลอมโอสถคนนั้นจึงสั่งอีกครั้ง “เจ้าหลอมโอสถให้ข้าดูอีกหนซิ”
“ท่านไม่เชื่อว่าข้าหลอมโอสถได้หรือ?” เฉินมู่อิ๋งถาม อาจารย์หลอมโอสถส่ายหน้า “ไม่ใช่ไม่เชื่อ แต่วิธีการหลอมของเจ้าต่างจากคนอื่น ดังนั้นข้าและอาจารย์ท่านอื่นๆ จึงอยากเห็นให้แน่ใจอีกครั้งว่าเจ้าเป็นผู้มีพรสวรรค์จริงๆ หากเจ้าเป็นผู้มีพรสวรรค์ย่อมได้รับโชควาสนาที่ดีแน่นอน”
เขาหันไปปรายตามองอาจารย์ท่านอื่นๆ ที่ล้วนมองจ้องเด็กหนุ่มเป็นตาเดียว เฉินมู่อิ๋งมองอาจารย์คนอื่นๆ แล้วเอาสมุนไพรออกมาวางเรียง จากนั้นก็ลงมือหลอมโอสถเซียนอีกครั้ง อาจารย์หลอมโอสถทั้งหลายก็จ้องดูตาไม่กะพริบเลยทีเดียว