Skip to content

บุรุษน่าตาย 2

Cover Bn For Web

Chapter 2

ประวัติของบรรพบุรุษ

ไพลินวิญญาณเห็นว่าเจ้านายมีท่าทีงุนงงไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย มันจึงบอก {หินสีเขียวนั่น เรียกว่าหยกปราณสวรรค์ ก้อนเล็กนั้นคือหยกปราณสวรรค์ระดับต่ำ ก้อนใหญ่นั่นคือหยกปราณสวรรค์ระดับกลาง นางมารผู้นั้นใจกว้างกับเจ้านายไม่น้อยเลย นางให้หยกปราณสวรรค์กับเจ้า อ่อ หยกปราณสวรรค์ก็คือเงินของแดนเทพนี่แหละ ส่วนแสงวิบๆ นั่นก็คือไอเทพอย่างไรล่ะ ไอเทพนี้ก็คล้ายๆ กับพลังฟ้าดินนั่นแหละเพียงแต่มันบริสุทธิ์มากกว่าพลังฟ้าดิน ไอเทพนี้มีเฉพาะในแดนเทพเท่านั้น หากเจ้าไปแดนมารก็จะเห็นไอมารคล้ายๆ เช่นนี้เพียงแต่ว่าเป็นสีดำ}

{ไอมาร ข้าเคยเห็นแล้วตอนที่พี่สาวมังกรเอาตำรามารให้ข้าดู ข้ายังดูดกลืนไอมารเข้าไปด้วยซ้ำ} เฉินมู่อิ๋งบอก ไพลินวิญญาณอึ้งไป {นับว่าเจ้าโชคดีที่มีพลังของข้าขจัดไอมาร ไม่เช่นนั้นไอมารจะทำให้เจ้าวิกลจริตเข้าสักวันแน่ๆ}

{อืม พี่สาวมังกรก็บอกคล้ายๆ แบบนี้เหมือนกัน} เฉินมู่อิ๋งคุยกับไพลินวิญญาณอยู่ในห้วงจิต {ข้าว่าข้าไปจากที่นี่ดีกว่า}

{เดี๋ยวเจ้านาย เจ้าอย่าใช้เสี่ยวเฮยในแดนเทพดีกว่า ไม่เช่นนั้นคนอื่นอาจเข้าใจผิดได้ว่าเป็นกระบี่มาร ทีนี้ล่ะเจ้าได้ถูกตามล่าแน่} ไพลินวิญญาณเตือน เฉินมู่อิ๋งจึงถาม {แล้วจะไปจากที่นี่ได้อย่างไร?}

{ข้าจำได้ว่ามีเรือล่องเมฆานะ แต่ไม่รู้ว่าเรือล่องเมฆานี้จะมาที่นี่เมื่อไหร่ เจ้าก็คอยก่อนเถอะ} ไพลินวิญญาณบอก เฉินมู่อิ๋งจึงส่งเสียงรับ {อืม}

เขานั่งลงตรงนั้นแล้วรอคอยเรือล่องเมฆา คนอื่นๆ ก็ไม่เข้าไปใกล้เจ้าเทพใหม่นัก เพราะเห็นมันระวังตัวแจทีเดียว ทำอย่างกับพวกเขาจะหลอกมันไปขายอย่างนั้นแหละ เฮอะ! เด็กใหม่เช่นนี้ต้องปล่อยให้มันติดแหง็กอยู่ที่นี่นานๆ หน่อย พอมันทนไม่ไหวเดี๋ยวมันก็ขอเข้าร่วมกองกำลังเองนั่นแหละ ถึงตอนนั้นค่อยเข้าไปคุยกับมันก็ยังไม่สาย ฮี่ๆๆๆ

เฉินมู่อิ๋งนั่งอยู่เฉยๆ ไม่รู้จะทำอะไรจึงขัดสมาธิแล้วดูดกลืนไอเทพเข้าไป ทำให้รอบๆ ตัวเขาเกิดกระแสลมพัดโหมทันที วู้มมมม—

“หือ?” เหล่าเทพที่อยู่ ณ ประตูสวรรค์มองคลื่นลมที่เกิดขึ้นอย่างประหลาดใจ คลื่นลมหมุนม้วนราวกับพายุลูกหนึ่งแล้วถูกดูดหายเข้าไปในร่างของเฉินมู่อิ๋ง วูบ!

ทำให้ไอเทพในบริเวณนั้นเบาบางลงจนสังเกตได้ เฉินมู่อิ๋งหายใจออกทีหนึ่ง แล้วหายใจเข้าใหม่อีกครั้ง คลื่นลมรอบๆ ตัวก็กระเพื่อมไหวอีกครา วู้มมมม—

“โอ! เจ้าเด็กนี่ดูดซับไอเทพเป็นแล้วรึ?” เทพคนหนึ่งอุทานออกมา แน่นอนว่าเทพใหม่ล้วนยังไม่รู้วิธีดูดซับไอเทพเข้าไป ต้องได้รับการสอนจากเทพคนอื่นเสียก่อน แต่เจ้าเด็กนี่เพิ่งขึ้นมาใหม่ยังไม่มีใครสอนก็ดูดซับเองได้แล้ว!

“ดูดซับแรงเสียด้วย” เทพอีกคนพยักเพยิดมองดูเด็กใหม่ดูดซับไอเทพอย่างสนใจ เทพข้างๆ พูดขึ้นว่า “ก็คงดูดซับได้อีกนิดหน่อยแล้วก็คงถึงจุดอิ่มตัวกระมัง”

คลื่นลมในบริเวณนั้นหมุนม้วนราวกับพายุพัดโหม คราวนี้แรงยิ่งกว่าเดิมหลายสิบเท่า แรงเสียจนพวกเทพที่อยู่ ณ ประตูสวรรค์ล้วนนั่งไม่ค่อยอยู่แล้ว พวกเขาราวกับจะปลิวตามแรงลม ทำให้ต้องใช้พลังต้านแรงลมเอาไว้ บางคนยืนจิกเท้าก้มตัวต้านแรงลมที่ราวกับจะกระชากพวกเขาให้ปลิวหลุดลอยตามกระแสลม ยิ่งนานแรงลมยิ่งพัดโหมเสียจนพวกเขาต้องใช้พลังต้านกระแสลมกันทั้งหมด พลังหลากสีจึงเปล่งออกมาตามธาตุของแต่ละคน บางคนสีเขียว บางคนสีเหลือง บางคนสีน้ำตาล บางคนสีแดง ฯลฯ

วูบบบบบ— เฉินมู่อิ๋งดูดกลืนไอเทพในบริเวณนี้เข้าไปจนหมด แม้กระทั่งพื้นหยกสีมรกตยังไร้ประกาย ซ้ำยังดูดกลืนพลังที่เทพแต่ละคนเปล่งออกมาเป็นเกราะต้านแรงลมหายไปด้วย ทำให้พวกเขาไร้เกราะป้องกันเซล้มลุกคลุกคลานกันถ้วนหน้า “เหวอ—”

“หว๋าาาาา—”

เมื่อลมพายุหายไป เหล่าเทพก็มองดู พวกเขาตกตะลึงจนปากอ้าตาค้างเติ่งกันเลยทีเดียว “นี่!”

ไอเทพในบริเวณนี้ไม่เหลือสักเศษเสี้ยว แม้แต่หินหยกที่ปูพื้นยังไร้ประกายกลายเป็นหินสีเขียวขุ่นที่ราวกับหินเก่าใกล้จะผุพังเต็มที

“โอ!”

“อา!”

ความสามารถเช่นนี้ทำให้จางเย่าหยางถึงกับตื่นเต้นเสียจนระงับไว้ไม่อยู่ เขารีบก้าวไปหาเทพใหม่คนนั้นทันที “เจ้าหนู”

เฉินมู่อิ๋งลืมตามองเห็นจางเย่าหยางก้าวมาหา เขาจึงดีดตัวลุกขึ้นยืนอย่างระวังตัวทันที จางเย่าหยางรีบยกมือ “ข้ามาดีๆ”

แล้วเขาก็รีบพูดว่า “เจ้าเข้าร่วมกับแดนเป่ยต้าไห่ของข้าเถอะ ข้าจะรายงานเรื่องเจ้าเป็นกรณีพิเศษ จะทำให้เจ้าได้รับทรัพยากรฝึกฝนที่มากกว่าคนอื่นแน่นอน”

“แซ่จาง ท่านจะรีบร้อนไปใย” เทพคนหนึ่งพูดแทรก เขาก้าวไปหาเทพใหม่ แล้วชักชวนว่า “เจ้าหนู เจ้าเข้าร่วมกับแดนหนานต้าไห่เถอะ ข้ารับรองว่าเจ้าจะได้รับการดูแลอย่างดีทีเดียว”

“เจ้าหนู เจ้าอย่าไปฟังพวกเขาเลย เจ้าเข้าร่วมกับแดนเทพซีฟางต้าไห่ดีกว่า ข้ารับรองว่าเจ้าจะได้รับผลประโยชน์มหาศาลเลยทีเดียว”

“เจ้าหนู เจ้าเข้าร่วมกับแดนเทพตงต้าไห่เถอะ ข้ารับรองว่าเจ้าจะได้รับผลประโยชน์มากกว่าการเข้าร่วมกับแดนอื่นแน่”

เฉินมู่อิ๋งฟังแล้วก้าวถอยหลังไปอย่างระวังตัว ทำให้เทพคนหนึ่งอดปากไม่ไหว “นี่ๆ เจ้าไม่ต้องทำเหมือนพวกเราจะหลอกเจ้าไปขายหรอกน่า พวกเราล้วนเป็นเทพที่มาคอยรอรับเทพใหม่ มีเกียรติอันสูงส่งหาใช่โจรชั่วช้าสามานย์ไม่”

“ก็ไม่แน่หรอก หากไม่ระวังตัวข้าอาจถูกขายแล้วยังช่วยเขานับเงินอีก* ก็ได้” เฉินมู่อิ๋งพูดน้ำเสียงเย็นชา ทำให้เทพเหล่านั้นหน้ากระตุกยึกๆ คนละทีสองทีอย่างไม่พอใจ พวกเขาจึงสะบัดแขนเสื้อถอยห่างไปทันที “หึ!”

“เฮอะ!”

(ถูกขายแล้วยังช่วยเขานับเงินอีก 被人卖了还帮人家数钱 หมายถึง ถูกเอาเปรียบแต่ยังไปขอบคุณหรือซาบซึ้งในน้ำใจของคนที่มาเอาเปรียบได้ มีความหมายคือ โง่มากๆ ซื่อบื้อสุดๆ)

“หึ! คงต้องปล่อยให้มันติดแหง็กอยู่ที่นี่หลายๆ วันหน่อยแล้ว” เทพคนหนึ่งกระซิบกับสหายข้างๆ คนข้างๆ ก็พยักเพยิด “อืมๆ”

เฉินมู่อิ๋งเห็นพวกเขาถอยไปแล้วจึงนั่งลงขัดสมาธิมองไปรอบๆ ตัว พบว่าในบริเวณนี้ไม่มีประกายแสงไอเทพเหลืออีก ซ้ำพื้นหินสีเขียวเป็นประกายก่อนหน้านี้ก็เปลี่ยนเป็นสีขุ่นเก่าคราคร่ำราวกับผ่านแดดผ่านฝนมานับร้อยๆ ปี แต่ก็ไม่มีเทพคนไหนกล่าวโทษเขาในเรื่องนี้เลย ราวกับว่าพวกเขาไม่ใส่ใจที่ไอเทพในบริเวณนี้หายไปหมด ข้อนี้ทำให้เฉินมู่อิ๋งที่เตรียมตั้งท่าจะหนีเมื่อครู่เบาใจลง

ณ แดนจิตวิญญาณ หยางเจียงหยุนที่อาบน้ำเปลี่ยนอาภรณ์ใหม่แล้วเดินออกไปนั่งในห้องโถง เขาเหยียดยิ้มเยาะหยัน สุดท้ายจิตบรรพกาลนั่นก็หลอกเขาข้อหนึ่ง นั่นคือหลังจากมันหลอมรวมกับเขาแล้วมันก็ไม่อาจช่วยปกป้องเจ้าเด็กเซียนคนนั้นได้ ไม่รู้ว่าป่านนี้มันเป็นอย่างไรบ้าง อาจจะถูกเซียนคนอื่นๆ ฆ่าตายไปแล้วกระมัง หรือไม่ก็หนีหัวซุกหัวซุนอยู่เป็นแน่ แต่ต่อให้มันตกตายไปแล้วเขาก็ต้องเอาวิญญาณมันมาบดขยี้จึงจะหายแค้นที่มันทำให้แผนการของเขาพังไม่เป็นท่าเช่นนี้!

“จิงจ้าน” เขาเรียก จิงจ้านขานรับทันที “พะย่ะค่ะ”

“เจ้ากับข้าไปโลกพันเล็กลำดับที่ 2,900 ส่วนเฉินจื้อให้อยู่ที่นี่ดูแลดินแดน” หยางเจียงหยุนสั่ง จิงจ้านขานรับ “พะย่ะค่ะ”

“องค์ราชา” เฉินจื้อเรียกเสียงเบา เขาอยากติดตามไปด้วย แต่พอสบตากับดวงตาดุคมกริบเขาก็ย่นคอไม่กล้าพูดอะไรอีก “…”

หยางเจียงหยุนเมินเฉินจื้อแล้วเดินออกไป จิงจ้านรีบตามไป เฉินจื้อได้แต่งุนงงสงสัย เขาไปทำอะไรให้องค์ราชาไม่พอใจหรือ?

คิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก ตั้งแต่องค์ราชาตื่นขึ้นมาก็มองเขาราวกับเป็นศัตรูก็มิปาน! ฮือๆๆๆ…

จิงจ้านเดินตามเจ้านายไป เขารู้สึกว่าองค์ราชาน่ากลัวยิ่งกว่าเดิมหลายร้อยเท่านัก ทำให้เขาได้แต่เดินตามเงียบๆ ไม่กล้าพูดอะไรสักคำ หลอมรวมกับจิตบรรพกาลทำให้ขั้นพลังขององค์ราชาสูงขึ้นมากก็จริง แต่ก็มีข้อเสียไม่น้อยเลย นั่นคือ นิสัยที่เหี้ยมโหดเพิ่มขึ้นทำให้เขาหวั่นกลัวเสียจนอยากจะอยู่ให้ห่างๆ แต่ก็ไม่อาจทำเช่นนั้นได้

หยางเจียงหยุนเดินออกไปหน้าตำหนัก เขาเอาเรือเยว่กวง (月光)ออกมา ซึ่งเรือเยว่กวงนี้มีคุณสมบัติต่ำกว่าเรือล่องพิภพ แต่ก็สามารถล่องไปในผืนฟ้ากระจ่างดาวได้ อีกทั้งมีคุณสมบัติดีกว่าชิงชิงฉวน* เล็กน้อย

(ชิงชิงฉวน 星星船 เรือสตาร์ ชิงชิงฉวนนี้สามารถทะลวงกฎของโลกพันเล็ก ซึ่งก็คือจักรวาลขนาดเล็ก)

เขาลอยขึ้นไปบนเรือเยว่กวง จิงจ้านรีบตามขึ้นไป เขายืนนิ่งอยู่ข้างหลังองค์ราชา ก้มหน้าลงต่ำ แต่ก็แอบเหลือบตามององค์ราชานิดหนึ่ง องค์ราชาคิดจะไปโลกพันเล็กลำดับที่ 2,900 ด้วยตัวเอง แน่นอนว่าคงไปจัดการเหตุที่ทำให้แผนการล่มแน่แท้ เขาไม่กล้าถามเหตุที่ทำให้แผนการล้มเหลว ได้แต่รอให้องค์ราชาเป็นคนเอ่ยปากเองจะดีที่สุด ขืนถามไม่แน่ว่าอาจจะกลายเป็นที่รองรับโทสะก็ได้ บรื๊ออออ—

หยางเจียงหยุนใช้พลังบังคับเรือเยว่กวงพุ่งออกไปทันที เรือเยว่กวงก็พุ่งขึ้นสู่ผืนฟ้ากระจ่างดาวราวด้วยความเร็วสูงสุดทำให้เฉินจื้อเห็นเพียงแสงนวลอ่อนราวแสงจันทร์ทิ้งยาวเป็นสายขึ้นสู่ผืนฟ้ากระจ่างดาว การใช้เรือเยว่กวงแต่ละครั้งต้องใช้ทรัพยากรมากมายยิ่งนัก ไม่ใช่ว่าใครมีเรือเยว่กวงแล้วจะสามารถใช้ได้ดั่งใจ ต้องร่ำรวยหยกวิญญาณด้วยจึงจะทำให้เรือเยว่กวงสามารถแล่นไปได้ ซึ่งเรือเยว่กวงนี้ผลาญหยกวิญญาณอย่างยิ่ง!

หยางเจียงหยุนเดินไปนั่งที่เก้าอี้บนดาดฟ้าเรือ มองผืนฟ้ากระจ่างดาวสีหน้าบึ้งตึง จิงจ้านก้าวตามไปยืนอยู่ด้านหลังอย่างเงียบเชียบราวกับไร้ตัวตน

ณ ประตูสวรรค์ เฉินมู่อิ๋งที่นั่งรอมานานมาก นานเสียจนเขาแทบหลับเลยทีเดียว เขาจึงเปลี่ยนท่านั่งเป็นชันเข่าคู่ขึ้นมาแล้วก้มลงซบหน้ากับเข่าตัวเอง หลับตาลงนอนหลับ เหลือประสาทสัมผัสไว้สายหนึ่งเช่นเคย เทพคนอื่นๆ ก็มองเทพใหม่เป็นครั้งคราว อยากจะเข้าไปพูดคุยด้วยแต่เจ้าเด็กนั่นก็ระวังตัวแจยิ่ง ทำให้พวกเขาล้มเลิกความคิดที่จะคุยกับเจ้าเด็กนั่นก่อน รอไว้มันมาถามไถ่อะไรก็ค่อยเล่นตัวกับมันบ้างเถอะ เหอๆๆๆ…

จนกระทั่งเรือล่องเมฆาแล่นมาเทียบท่า สะพานเรือก็เปิดลงมา คนเรือร้องตะโกน “เรือมาแล้วๆ ใครจะไปก็รีบขึ้นมาเร็ว”

มีเทพสองสามคนเดินไปหาเรือลำนั้น เฉินมู่อิ๋งจึงลุกขึ้นเดินตามไป เทพคนอื่นๆ มองแล้วยิ้มเยาะ กระซิบกับสหายข้างๆ ว่า “หึ! เจ้าหนูนั่นคิดจะขึ้นเรือไป ตราบใดที่มันไม่มีหยกปราณสวรรค์ก็อย่าหวังเลยว่าจะได้ขึ้นเรือน่ะ”

“นั่นซิๆ โถ เจ้าหนู ช่างไม่รู้เรื่องรู้ราวเอาเสียเลย” คนข้างๆ พยักเพยิดกระซิบตอบ

เทพที่เดินนำหน้าอยู่จ่ายหยกแล้วเดินขึ้นเรือไป เฉินมู่อิ๋งเดินตามไป คนเรือก็ยื่นมือขวาง “10 หยก”

เฉินมู่อิ๋งจึงเอาหยกปราณสวรรค์ระดับต่ำออกมาจ่ายค่าเรือ คนเรือรับหยกไปแล้วเบนมือไปทำท่าเชื้อเชิญ เฉินมู่อิ๋งจึงเดินขึ้นเรือไป พวกเทพทั้งหลายถึงกับมองตาค้าง “อ๋า?”

“เจ้าหนูนั่นมีหยกรึ?”

“แสดงว่าเจ้าหนูนั่นต้องมีเส้นสายแน่นอน ไม่ใช่เด็กใหม่ที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร หรือว่ามันเป็นคนของสำนักโอสถจากโลกเบื้องล่าง?”

“เฮอะ! เป็ดสุกบินหนีไปเสียแล้ว*”

(เป็ดสุกบินหนีไปเสียแล้ว หมายถึง โอกาสหรือเรื่องที่ดีมาถึงมือแล้วก็หายไป พลาดโอกาสที่ดี)

“เฮ้อ…”

ฯลฯ เหล่าเทพคุยกันพักใหญ่ คนเรือมองๆ ไปไม่เห็นใครมาขึ้นเรือแล้วเขาจึงจะเดินขึ้นเรือไป แต่แล้วเขาก็หันไปมองใหม่เมื่อเพิ่งสังเกตเห็นว่าบรรยากาศที่ประตูสวรรค์เปลี่ยนไป มีไอเทพลอยอยู่บางเบามาก ซ้ำหยกปูพื้นยังกลายเป็นสีเขียวขุ่นไร้ประกายเหมือนที่เคยเป็น เขาถึงกับยอบตัวลงจับพื้นหยก “หือ?”

“ไม่ต้องหือต้องหาล่ะ เป็นฝีมือเจ้าเด็กหน้าใหม่ที่เพิ่งขึ้นเรือไปน่ะ” เทพคนหนึ่งบอก คนเรือถึงกับเบิกตากว้าง “หือ?”

“เป็นฝีมือเจ้าเด็กเทพใหม่นั่นแหละ มันดูดซับไอเทพในบริเวณนี้ไปเสียหมด ช่างเป็นตัวประหลาดอีกคนแล้ว” เทพคนเดิมบ่น คนเรือทำหน้าตารับรู้ ยืนขึ้นแล้วเดินขึ้นเรือไป จากนั้นก็เก็บสะพานเรือ เรือก็แล่นออกจากท่า

เฉินมู่อิ๋งถูกพาไปยังห้องพักใต้ท้องเรือ เขามองห้องเล็กๆ ที่มีเตียงหลังหนึ่ง โต๊ะเล็กๆ กับเก้าอี้ 2 ตัว กับฉากบังตาแล้วก็อ่างอาบน้ำเล็กๆ ตั้งอยู่หลังฉากบังตานั้น คนที่พาเขามานั้นเมื่อส่งแขกเข้าห้องแล้วก็จากไปทันที เฉินมู่อิ๋งจึงปิดประตู เดินไปนั่งที่เตียง เขาเหนื่อยจนอยากจะนอนหลับยาวๆ สักตื่นจึงถอดรองเท้าแล้วล้มตัวลงนอนบนเตียง ดึงผ้าห่มมาห่มตัวเหมือนดักแด้ เหลือประสาทสัมผัสสายหนึ่งเอาไว้เช่นเคย ใจคิดถึงอาจารย์หยางที่ตกตายไปอย่างเศร้าใจ ถึงอาจารย์หยางแรกๆ จะไม่ดีกับเขา แต่หลังๆ มาก็ดูแลเขาดียิ่ง เขาจึงเกิดความผูกพันกับอาจารย์หยางที่เปรียบเสมือนบิดาคนที่สองขึ้นมา แต่คนก็ตกตายไปแล้วเขาจึงได้แต่หวังว่าวันหน้าอาจจะเจออาจารย์หยางที่มาเกิดใหม่ในสักวันกระมัง เหมือนเช่นที่เขาพบท่านพ่อ ท่านแม่ ตาเฒ่าฮ่องเต้ องค์ชายเก้าที่มาเกิดใหม่ เขาหลับตาลงนอนหลับไป

เรือล่องเมฆาก็แล่นไปตามเส้นทาง เป้าหมายคือแดนเทพเป่ยต้าไห่

เวลาผ่านไป 1 วัน เฉินมู่อิ๋งก็ตื่นขึ้นมา เขาจึงลุกขึ้นบิดขี้เกียจแล้วมองรอบๆ ห้องเห็นตรงเหนืออ่างอาบน้ำมีอักขระเขียนอยู่ เขาจึงเดินไปอ่าน แน่นอนว่าตอนนี้เขาอ่านอักขระเทพได้แล้ว หลังจากบรรลุขั้น ถูกสายฟ้าสวรรค์ชำระล้างร่างแล้ว ร่างกายก็จะเปลี่ยนไปกลายเป็นร่างเทพที่แข็งแกร่งกว่าร่างเซียน ซ้ำยังได้ความรู้พื้นฐานในการอ่านอักขระเทพปลูกฝังลงในจิตวิญญาณด้วย ตรงนั้นเขียนอธิบายถึงวิธีการใช้อ่างอาบน้ำเอาไว้ เฉินมู่อิ๋งอ่านเสร็จแล้วก็เปิดท่อน้ำร้อนกับท่อน้ำเย็น ทำให้น้ำร้อนและน้ำเย็นไหลมารวมกัน ใครชอบน้ำร้อนก็เปิดน้ำร้อนมากหน่อย ใครชอบน้ำเย็นก็เปิดน้ำเย็นมากหน่อย วิธีการเช่นนี้ช่างสะดวกยิ่ง ไม่ต้องเรียกคนยกน้ำร้อนมาเท เขาไม่รู้ว่าวิธีการเช่นนี้ทางเรือล่องเมฆาได้ทำการปรับปรุงตามแบบห้องอาบน้ำของตำหนักไป๋หยุน ซึ่งเป็นที่อยู่ของตี้จวิน* ส่วนคนที่ออกแบบระบบน้ำร้อนน้ำเย็นนี้ก็คือตี้โฮ่ว**

(ตี้จวิน คือเทพผู้มีพลังแข็งแกร่งที่สุดในแดนเทพ เปรียบได้กับราชาสูงสุดของแดนเทพนั้นเอง เพียงแต่ตี้จวินจะยุ่งเกี่ยวกับเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับความเป็นตายของแดนเทพเท่านั้น ส่วนเรื่องหยุมหยิมเขาไม่ยุ่งเกี่ยวเลย

ตี้โฮ่ว คือฮูหยินของตี้จวิน นางเป็นเทพที่มีพลังแข็งแกร่งเทียบเท่าตี้จวิน อยากรู้เรื่องราวความรักของตี้จวินและตี้โฮ่ว เชิญอ่านนิยายเรื่อง สตรีน่าตาย ค่ะ)

เมื่อน้ำถึงค่อนอ่างเฉินมู่อิ๋งก็ปิดท่อน้ำร้อนน้ำเย็น ถอดอาภรณ์ออก แกะหน้ากากปลอมแปลงออกแล้วลงแช่น้ำ เขาแกะผ้าผูกผมออกแล้วจัดแจงสระผมไปด้วย ร่างกายได้แช่น้ำอุ่นทำให้รู้สึกผ่อนคลายยิ่งนัก หลังจากอาบน้ำสระผมเสร็จแล้วเขาก็ลุกออกจากอ่าง จัดแจงแต่งตัวใหม่ เขานั่งลงตรงหน้ากระจกจัดแจงแปะหน้ากากปลอมแปลงเข้าไป สำรวจรอยขอบของหน้ากากดีแล้วจึงลุกไปเปิดประตูห้องแล้วเดินขึ้นไปชั้นบนซึ่งเป็นโถงกว้าง มีโต๊ะวางเรียงรายคล้ายกับโถงของโรงเตี้ยมไม่มีผิด ด้านหนึ่งของผนังมีอักขระเขียนชื่ออาหารต่างๆ ติดเอาไว้เรียงยาวเหยียด เขามองชื่ออาหารบนผนังแล้วร้องสั่ง “บะหมี่ชามนึง”

“ขอรับๆ” เสี่ยวเอ้อร์รับคำแล้วเอาบะหมี่ที่แช่แข็งเอาไว้ออกมาอุ่นด้วยความร้อน แน่นอนว่าบะหมี่นี้เป็นของ ‘สำนักที่หนึ่ง’ ที่ทำขายไปทั่วแดนเทพ บะหมี่นี้ได้รับความนิยมอย่างมาก ทำเป็นชามๆ แช่แข็งเอาไว้ มี ‘ฉลาก’ บอกวันผลิต และวันหมดอายุเอาไว้ด้วย เวลาจะกินก็ง่ายมาก เอาไปอุ่นให้ร้อนๆ ก็กินได้แล้ว ทำให้บะหมี่ของสำนักที่หนึ่งนี้ขายดียิ่งนัก เรือล่องเมฆาจึงสั่งบะหมี่ของสำนักที่หนึ่งมาแช่แข็งเอาไว้บริการลูกค้า ส่วนสำนักที่หนึ่งเป็นสำนักที่เทียนโฮ่ว* ก่อตั้ง แน่นอนว่าสำนักของนางเป็น ‘ที่หนึ่ง’ จริงๆ เชี่ยวชาญการทำอาหารขายจนคนในสำนักที่หนึ่งล้วนอ้วนท้วนกันทุกคน

(เทียนโฮ่ว คือ ฮูหยินของเทียนจวิน เทียนจวินก็คือราชาของแดนเทพ

ลำดับอำนาจในแดนเทพแบ่งตามนี้ :-

  1. ตี้จวิน
  2. ตี้โฮ่ว
  3. ผู้อาวุโสจางอี้ปิน
  4. เทียนจวิน
  5. เทียนโฮ่ว
  6. ราชาแดนเทพทั้ง 4 แดน ราชาเผ่าเฟิ่งหวง ราชาเผ่ามังกร เจ้าสำนักศาสตรา และเจ้าสำนักโอสถ

ส่วนเรื่องราวความรักของเทียนจวินกับเทียนโฮ่ว อ่านได้ในเรื่อง สตรีอ้วนป่วนสวรรค์ ค่ะ เป็นแนวทะลุมิติเกิดใหม่ค่ะ)

“มาแล้วๆ” เสี่ยวเอ้อร์ยกบะหมี่ร้อนๆ ไปวางที่โต๊ะแล้วถอยไป เฉินมู่อิ๋งมองบะหมี่น้ำหอมฉุยชวนกิน เขาหยิบตะเกียบขึ้นมาแล้วคีบกิน คำแรกที่เข้าปาก เขารู้สึกว่าอร่อยมาก! อร่อยเสียจนเขาแทบจะกลืนลิ้นตัวเองลงไปเลยทีเดียว เขาจึงเป่าๆ กินๆ ยกชามซดน้ำอย่างห้ามใจตัวเองไม่ได้ เมื่อกินหมดแล้วเขาก็สั่งอีกชามทันที “บะหมี่อีกชาม”

“ได้ขอรับ” เสี่ยวเอ้อร์รับคำแล้วเอาบะหมี่ออกมาอุ่น จากนั้นก็ยกไปวางที่โต๊ะ “ชามที่ 2 นี้คิดเพิ่ม 10 หยกขอรับ ซึ่งชามแรกนั้นรวมกับค่าเรือแล้วขอรับ ทุกวันท่านลูกค้าจะสามารถกินอาหารโดยไม่ต้องจ่ายหยกเพิ่มมื้อละ 1 จานขอรับ จึงเป็น 3 จานต่อวันขอรับ หากว่าท่านกินเพิ่มต้องจ่ายของจานที่ 2 ขอรับ”

“อ่อ” เฉินมู่อิ๋งพยักหน้ารับรู้ เขาเอาหยกออกมาจ่าย เสี่ยวเอ้อร์รับไปแล้วถอยไป เฉินมู่อิ๋งก็กินบะหมี่ร้อนๆ แสนอร่อยต่อ ปกติแล้วเขากินแค่ชามเดียวก็อิ่ม แต่บะหมี่นี้อร่อยมากทำให้เขาอยากกินอีก เมื่อกินชามที่ 2 หมดเขาก็ถึงกับเรอออกมา “เอิ๊กกกก—”

“อร่อยจริงๆ” เขาชมแล้วลุกขึ้นเดินขึ้นไปชั้นบนซึ่งเป็นดาดฟ้าเรือ เขาเดินไปยืนตรงข้างกาบเรือ มองทิวทัศน์ไปเรื่อยๆ เขามองดูผืนน้ำใสแจ๋ว ดูสัตว์ทะเลแหวกว่ายไปมาอยู่ในน้ำ ความสวยงามนี้ทำให้เขามองอย่างเพลินตาเลยทีเดียว บนดาดฟ้าเรือมีเทพคนอื่นราวๆ เจ็ดแปดคน คนเหล่านั้นล้วนไม่สนใจคนอื่น พวกเขาบ้างนั่งบ้างยืนชมทิวทัศน์ ข้อนี้ทำให้เฉินมู่อิ๋งรู้สึกสบายใจที่ไม่มีใครมายุ่งกับเขา

{ไพลินวิญญาณ เจ้ารู้เรื่องเกี่ยวกับแดนเทพมากน้อยขนาดไหน?} เขาถามไพลินวิญญาณในห้วงจิต ไพลินวิญญาณจึงตอบ {ก็รู้มาบ้าง แต่ข้าไม่ได้มาจากแดนเทพนี้หรอกนะ ข้ามาจากเผ่าวิญญาณซึ่งอยู่ห่างไกลจากที่นี่มาก ในเมื่อเจ้าเป็นเทพแล้วข้าก็จะเล่าประวัติบรรพบุรุษของเจ้าให้ฟังละกัน}

เฉินมู่อิ๋งรอฟัง ตาก็มองทิวทัศน์เบื้องนอกไปด้วย ไพลินวิญญาณจึงเล่าว่า {บรรพบุรุษเจ้าเป็นชาวเผ่าวิญญาณ พวกเราไม่ใช่เทพแต่เป็นเผ่าวิญญาณที่มีพลังเทียบเท่ากับเทพ วิชาที่พวกเราเชี่ยวชาญก็คือวิชาที่เกี่ยวข้องกับวิญญาณ ไม่ว่าจะเป็นการกลืนวิญญาณ หลอมวิญญาณ มองวิญญาณ ค้นวิญญาณ เรื่องนี้เอาไว้เจ้าค่อยๆ เรียนรู้เถอะ กลับมาที่บรรพบุรุษเจ้าก่อน บรรพบุรุษเจ้าเป็นราชาวิญญาณ ข้าเป็นของวิเศษที่เกิดจากการหลอมวิญญาณ เผ่าเจ้ามีศัตรูตัวฉกาจก็คือเผ่าจิตวิญญาณ ซึ่งเผ่านี้ถือเป็นศัตรูตัวร้ายของพวกเราทีเดียว พวกมันควบคุมจิต หากใครถูกพวกมันควบคุมก็จะกลายเป็นทาสของพวกมัน พวกมันยึดครองแดนวิญญาณเมื่อหลายหมื่นปีก่อน เจ้านายข้าพาข้าหนีพร้อมกับฮูหยินของเขากับพวกบ่าวส่วนหนึ่ง นายท่านหนีไปจนถึงโลกพันเล็กลำดับที่ 2,900 ซึ่งก็คือโลกที่เจ้าเกิดนั่นแหละ}

เฉินมู่อิ๋งฟังเงียบๆ ไพลินวิญญาณเล่าต่อ {นายท่านหลบอาศัยอยู่ที่นั่นจนกระทั่งตายไป ฮูหยินก็ตายอยู่ที่นั่นเหลือคุณชายน้อยกับพวกบ่าว คุณชายน้อยเติบใหญ่ก็แต่งงานกับมนุษย์แล้วก็มีลูกหลานสืบทอดต่อๆ มา ความลับที่พวกเราไม่ใช่มนุษย์ถูกปกปิดเอาไว้จนในที่สุดคนในตระกูลก็ค่อยๆ ลืมเลือนความลับนี้ไป สายเลือดเผ่าวิญญาณก็ค่อยๆ เจือจางลงไปเรื่อยๆ ข้าก็อ่อนแอลงไปเรื่อยๆ เช่นกันเพราะถูกฝังไปพร้อมกับศพนายท่าน ไม่ได้ดูดกลืนวิญญาณ เวลาผ่านไปหลายหมื่นปีจนกระทั่งร่างกายของนายท่านผุสลายไปหมดแล้วข้าจึงเป็นอิสระอีกครั้ง ข้าเฝ้ารอมานานแสนนานอยู่ในหลุมศพ จนกระทั่งมีคนทำลายสุสานของนายท่าน ข้าจึงได้ออกมา คนพวกนั้นเป็นลูกหลานของนายท่านนี่แหละ พวกเขาไม่รู้ว่าตรงนั้นเป็นสุสานของบรรพบุรุษจึงขุดดินเพื่อปลูกเรือน เมื่อหลุมศพถูกขุดพวกเขาก็เจอข้าที่อยู่ในโลงหิน พวกเขาจึงเก็บข้าไปคิดว่าเป็นเพียงสมบัติไร้ค่าชิ้นหนึ่ง ข้าตามหาวิญญาณบ่าวของนายท่านจนเจอ แล้วก็ร่วมมือกับมันตามหาเชื้อสายของนายท่าน แต่กลับกลายเป็นว่ามันออกอุบายเพื่อหลอกเชื้อสายของนายท่านมาดูดกลืนวิญญาณเพื่อต่อวิญญาณมันไม่ให้สูญสลายไป}

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version