นิยายเรื่องนี้เป็นภาคต่อจากเรื่อง อาจารย์เย็นชากับศิษย์ชั่วช้า
เพื่อความสนุกและฟินสุดๆ
ควรอ่านเรื่อง เสนาบดีเจ้าจะหนีไปไหน(ภาคแดนมนุษย์)
ตามด้วยเรื่อง อาจารย์เย็นชากับศิษย์ชั่วช้า(ภาคแดนเซียน) ก่อนค่ะ
และสุดท้ายคือเรื่อง บุรุษน่าตาย(ภาคแดนเทพ) ค่ะ
ความเดิมจาก Chapter 51
บรรลุเป็นเทพ
เฉินมู่อิ๋งกำลังจะสู้กับศิษย์สำนักซ่อนจันทร์ พลัน! กระบี่ดำของเขาก็พุ่งเข้ามารับศึกแทนเสียแล้ว เพราะพวกเซียนพวกนั้นยังมัวตกตะลึงอยู่เลย มันจึงไม่โจมตีคนพวกนั้นตอนทีเผลอ เพราะเจ้านายไม่ได้สั่งให้มันฆ่า สั่งให้มันแค่ ‘จัดการ’ เท่านั้น มันจึงแค่ประมือกับเซียนเหล่านั้นเหมือนแมวหยอกหนูอย่างไรอย่างนั้น มันพุ่งมารับมือกับเซียนสาวที่คิดจะฆ่าเจ้านายมัน มันฟันเสียจนกระบี่เซียนของพวกนางแตกละเอียด ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!…
ซ้ำยังฟันกระบี่เซียนที่พวกนางขี่อยู่ ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!…
ทำให้พวกนางตกลงไปเบื้องล่างทันที “อ้า!”
ตุบ! ตุบ! ตุบ! ตุบ! ตุบ! ตุบ! พวกนางตกกระแทกพื้นดินอย่างอเนจอนาถยิ่ง เมื่อจัดการศัตรูให้เจ้านายแล้วกระบี่ดำก็บินไปอยู่ข้างๆ เจ้านายส่งเสียง “วิ๊ง!”
“ดีๆ ทำดีมาก” เฉินมู่อิ๋งชมมัน ขณะเดียวกันเขาก็รู้สึกถึงพลังจากไพลินวิญญาณที่ส่งมาให้เขา พลังกลุ่มนี้ไหลจากติ่งหูซ้ายไปรวมกันที่ท้องน้อยหมุนวนอยู่ครู่หนึ่งแล้วพุ่งขึ้นไปตามกระดูกสันหลัง พุ่งขึ้นไปที่หน้าผาก ทำให้กระดูกหน้าผากที่ยังเหลืออีกนิดเปลี่ยนเป็นกระดูกเซียนทันที กระบี่เทพมารก็ไม่ได้ดึงพลังนั้นมาแม้แต่น้อย มันต้องการให้เจ้านายของมันบรรลุขั้นเช่นกัน
ทันทีที่กระดูกและเลือดเนื้อของเฉินมู่อิ๋งเปลี่ยนเป็นเซียนทั้งตัว ร่างเขาก็เปล่งแสงสีน้ำเงินออกมา แสงนี้ทำให้ทุกคนมองเป็นตาเดียว “นั่น!”
“เกิดอะไรขึ้น?”
เฟยเทียนก็มองไปเช่นกัน นางเห็นเมฆบนฟ้าหมุนวนแล้วรวมตัวกันหนาแน่นยิ่ง ทำให้ท้องฟ้าในบริเวณนี้มืดครึ้มลงทันตา ราวกับเป็นกลางคืนอย่างไรอย่างนั้น ฟ้าร้องดังครืนนนน—
สายฟ้าแลบแปร๊บปร๊าบอยู่ในกลุ่มเมฆ ปรากฎการณ์เช่นนี้ทำให้ผู้คนตกตะลึงแตกตื่น “เกิดอะไรขึ้น!?”
มวลเมฆหมุนวนราวกับน้ำวน เฟยเทียนมองแล้วยิ้ม พึมพำเสียงเบา “ในที่สุดนังหนูอิ๋งก็จะบรรลุเป็นเทพแล้ว! ดีจริงๆ ดีจริงๆ”
นางเอาถุงคุนเฉียนออกมาใบหนึ่งแล้วโยนให้ “อิ๋งเอ๋อร์ เจ้ารับนี่ไป เก็บไว้ให้ดีๆ ล่ะ”
เฉินมู่อิ๋งรับถุงใบนั้นมาอย่างงงๆ เขารีบเก็บมันใส่แหวนคุนเฉียนเอาไว้ก่อน ผู้คนมองดูท้องฟ้าแล้วพูดกันว่า “หรือว่าสวรรค์จะช่วยลงทัณฑ์นางมาร!?”
“เฮอะ! สวรรค์ลงทัณฑ์บิดาเจ้าซิ” เฟยเทียนด่า “ศิษย์ข้ากำลังจะกลายเป็นเทพแล้วต่างหากล่ะ”
“เป็นเทพ!” ผู้คนตกตะลึงอึ้งงันไป พวกเขามองมวลเมฆที่หมุนวนราวกับน้ำวนอย่างตกตะลึงยิ่ง เซียนหลายๆ คนที่เคยเห็นปรากฎการณ์ประตูสวรรค์เปิดออกย่อมรู้ดีว่านี่คือปรากฎการณ์ที่ประตูสวรรค์กำลังจะเปิด!
สายฟ้าผ่า เปรี้ยง! ลงมาใส่เฉินมู่อิ๋งที่ตัวเปล่งแสงสีน้ำเงินลานตา สายฟ้าเหล่านั้นถูกดูดหายไปไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวที่จะเล็ดลอดออกไป ทำให้เฟยเทียนถึงกับตะลึงงัน “โอ้!”
สายฟ้าผ่าลงมาอีก เปรี้ยง! แล้วก็อีก เปรี้ยง! สายฟ้าถูกดูดหายไปไม่เหลือหลอ ทำให้เฟยเทียนยิ้มชอบใจ “โอ้! ดีๆ”
เฉินมู่อิ๋งไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดแม้แต่น้อย รู้สึกว่าร่างกายกำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เหมือนผลัดกระดูกล้างวิญญาณอย่างไรอย่างนั้น ไพลินวิญญาณร้องเรียก “เสี่ยวเฮย มานี่”
กระบี่ดำพุ่งเข้าไปตรงหน้าผากเจ้านายทันที มันหายวับไป เฉินมู่อิ๋งยกมือลูบๆ ตรงหน้าผากที่รู้สึกเจ็บๆ ตึงๆ เพราะแรงที่พุ่งเข้ามาเมื่อกี้ เขามองกระบี่ดำที่อยู่ในห้วงจิต มันลอยอยู่ใกล้ๆ กับร่างจิตของไพลินวิญญาณ
สายฟ้าผ่าลงมาอีก เปรี้ยง! ผู้คนตกตะลึงปากอ้าตาค้าง “4 สายแล้ว!”
สายฟ้าผ่าลงมาอีก เปรี้ยง! เปรี้ยง! เปรี้ยง! เปรี้ยง! เปรี้ยง!…
คราวนี้ผ่าลงมานับไม่ถ้วนเลยทีเดียว ผ่าเสียจนบริเวณนี้เกิดแสงวูบวาบ มีเสียงดังก้องราวกับเกิดวิกฤติการณ์โลกาวินาศอย่างไรอย่างนั้น ผ่าเสียจนพวกเซียนทั้งหลายถอยกรูดไปไกลเลยทีเดียว
“ใช่ประตูสวรรค์เปิดที่ไหนกัน! นี่มันสวรรค์ลงทัณฑ์ต่างหาก!” ศิษย์สำนักซ่อนจันทร์คนหนึ่งพูดขึ้นมา “เจ้าเด็กนั่นต้องถูกสวรรค์ลงทัณฑ์จนตกตาย! ตายไปเสีย! ตาย! ตาย! ตาย!”
เซียนหลายๆ คนเริ่มคล้อยตามศิษย์สำนักซ่อนจันทร์ บางทีนี่อาจจะเป็นสวรรค์ลงทัณฑ์ก็ได้ เจ้าเด็กนั่นฆ่าอาจารย์ตัวเอง สวรรค์คงทนดูไม่ไหวจึงได้คิดลงทัณฑ์มันให้ตกตาย!
ฟ้าผ่าเสียจนฟ้าสะเทือนแผ่นดินแทบทลาย ผ่าอยู่นานมาก ผ่าจนคนอื่นเริ่มเชื่อแล้วว่า นี่คือ ‘สวรรค์ลงทัณฑ์’ หาใช่ ‘ประตูสวรรค์เปิด’ ไม่ มีเพียงเฟยเทียนคนเดียวเท่านั้นที่ยิ้มชอบใจ “ศิษย์ข้าต้องแข็งแกร่งกว่าใครแน่นอน ฮ่าๆๆๆ…”
จนกระทั่งสายฟ้าหยุดผ่า กลางน้ำวนมวลเมฆปรากฏแสงส่องลงมา แสงนั้นดูดร่างของเฉินมู่อิ๋งที่เปล่งแสงสีน้ำเงินลอยขึ้นไป ผู้คนตกตะลึงเสียจนบื้อใบ้ไปหมด มีคนหนึ่งหลุดอุทานออกมา “เป็นประตูสวรรค์จริงๆ!”
แสงนั้นหดสั้นไปเรื่อยๆ จนกระทั่งหายวับไป ร่างของเฉินมู่อิ๋งก็หายไปเช่นกัน มวลเมฆครึ้มสลายไปทันใด ท้องฟ้ากลับมาสว่างอีกครา เฟยเทียนหัวเราะร่า “ฮ่าๆๆๆ มันกลายเป็นเทพแล้วดีจริงๆ ดีจริงๆ”
ผู้คนยังคงตกตะลึงอึ้งงันไป เฟยเทียนหัวเราะแล้วลอยลงไปยืนบนพื้นยอดเขา จากนั้นนางก็วาดผนึกอาคมสีดำออกมาครอบคลุมยอดเขาอีกครั้ง นางไม่สนใจพวกเซียนเหล่านั้นเลยสักนิด พวกมันล้วนเป็นมดปลวกสำหรับนาง เพียงแต่เจ้าคนๆ นั้น ที่แท้แล้วเจ้าคนๆ นั้นเป็นร่างแยกของเผ่าจิตวิญญาณหรือนี่!
นางไม่รู้ว่ามันส่งร่างแยกนั้นมาเพื่อการใด แต่หากไม่ส่งผลกระทบถึงนางและครอบครัวนางก็คร้านจะสนใจ พวกเซียนกว่าจะหายตกตะลึงก็ผ่านไปพักใหญ่ กว่าพวกมันจะตั้งสติได้ ก็คงผ่านไปอีกนานทีเดียว นางเดินผ่านเขตอาคมรอบกระท่อมเข้าไป เดินเข้าไปในห้องนอนเห็นสามีกับลูกๆ กำลังหลับกันอยู่ นางจึงเดินไปนั่งลงบนเตียงอย่างแผ่วเบายิ่ง แล้วเอนตัวลงนอนข้างลูกชายคนโต กอดลูกเอาไว้อย่างมีความสุข
ส่วนเซียนพวกนั้น เดี๋ยวพวกมันหมดแรงแล้วก็จากไปเองนั่นแหละ พวกมันก็ยังคงทำอะไรนางไม่ได้อยู่ดี
ณ กลางฟ้ากระจ่างดาวผืนหนึ่ง มีดินแดนกว้างใหญ่อยู่กลางฟ้ากระจ่างดาว ดินแดนแห่งนี้คือดินแดนของเผ่าจิตวิญญาณ ใจกลางดินแดนมีตำหนักโอ่อ่าหลังใหญ่โต เรียงรายกันอยู่ ดวงแสงสีม่วงอมดำพุ่งลิ่วไปยังตำหนักหลังหนึ่ง แล้วรวมเข้ากับร่างที่นอนอยู่บนเตียงกลางห้อง ตู้ม!
เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหวราวกับฟ้าจะถล่มแผ่นดินจะทลาย ทำให้เฉินจื้อกับจิงจ้านที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าห้องถึงกับสะดุ้งโหยง!
“องค์ราชา!” พวกเขาอุทานพร้อมกัน รู้สึกถึงกลิ่นอายกดดันที่แผ่ออกมาจากในห้อง กดดันเสียจนพวกเขาเข่าทรุดลงไป ปึก! ปึก! ปึก! ปึก!
เข่าทรุดลงไม่พอ ตัวยังถูกกดเสียจนต้องหมอบติดพื้นแล้ว ร่างกายพวกเขาราวกับจะถูกบดให้แหลกละเอียด เกิดความเจ็บปวดไปทั้งร่าง ทำให้พวกเขาเปล่งเสียงร้องออกมา “อ๊ากกกก—”
“อ๊ากกกก—”
พวกเขาพยายามฝืนยันตัวขึ้นแต่ก็ทำไม่ได้เลย
ภายในห้อง ร่างที่นอนอยู่บนเตียง ลืมตาขึ้น ดวงตาคมกริบราวกับกระบี่มองไป เขายันตัวลุกขึ้นนั่ง สีหน้าเหี้ยมเกรียมยิ่ง! ทำให้ใบหน้าที่หล่อเหลาราวกับเทพบุตรบึ้งตึงยิ่งนัก
“ชาติก่อนก็เป็นเจ้าเด็กเฉินมู่อิ๋งทำข้าเสียแผน ซ้ำยังทำให้ข้ารู้สึกหลงรักบุรุษอีก! ชาตินี้ก็เป็นเจ้าเด็กชื่อเฉินมู่อิ๋งอีกแล้ว ที่ทำให้ข้าเสียแผน จนต้องหลอมรวมกับจิตบรรพกาล ซ้ำยังทำให้ข้าหลงรักมันอีก ชื่อเฉินมู่อิ๋งนี้ช่างเป็นเสนียดกับข้าเสียจริง!” เสียงทุ้มกังวานไพเราะปานระฆังชั้นดีดังออกมาจากริมฝีปากสีแดงระเรื่อ แต่น้ำเสียงนั้นหากใครฟังเป็นต้องขนหัวลุกแน่นอน นั่นเป็นน้ำเสียงที่โกรธจัดจนโทสะท่วมฟ้าแล้ว!
“ข้า หยางเจียงหยุน (杨江云) จะไม่มีทางปล่อยทั้งเจ้าเด็กเฉินมู่อิ๋งคนนั้นกับเจ้าเด็กเฉินมู่อิ๋งคนนี้ไปแน่! ข้าจะต้องฆ่ามันให้ได้!” หยางเจียงหยุนตะโกนอย่างอาฆาตแค้น เขาที่เป็นบุรุษทั้งกายทั้งใจกลับเกิดจิตพิศวาสหลงรักบุรุษด้วยกันเพียงเพราะเจ้าเด็กมนุษย์อ่อนแอคนหนึ่งกับเซียนอ่อนแออีกคนหนึ่งที่มีชื่อเหมือนกันว่า ‘เฉินมู่อิ๋ง’ แน่นอนว่าเขาย่อมไม่ปล่อยพวกมันไปแน่นอน เจ้าเซียนคนนั้นย่อมอยู่ที่โลกพันเล็กลำดับที่ 2,900 แน่นอน ส่วนเจ้าเด็กมนุษย์เฉินมู่อิ๋งนั้น มันคงตายและไปเกิดใหม่นานแล้ว แต่ต่อให้มันไปเกิดที่ใดเขาก็จะตามหาตัวมันให้เจอและฆ่ามันให้ตายด้วยน้ำมือของเขาเอง ทั้งยังจะทำลายวิญญาณพวกมันให้สิ้นซากด้วย โทษฐานที่ทำให้องค์ราชาผู้ยิ่งใหญ่อย่างเขาเกิดจิตวิปริตผิดเพี้ยนกลายเป็นรักชอบบุรุษขึ้นมา
เขาสำรวจดวงจิตตัวเองพบว่ามีวิญญาณอาฆาตติดมาด้วย เขาจึงทำลายวิญญาณอาฆาตนั้นในพริบตาเดียว โพล๊ะ!
วิญญาณอาฆาตสูญสลายไป แต่ก็ทำให้เขาเกิดอาการดวงจิตบาดเจ็บเล็กน้อยเนื่องเพราะวิญญาณอาฆาตนี้เกิดจากจิตของเขาเอง เขากระอักเลือดออกมาคำหนึ่ง เลือดสาดพ่นเปื้อนริมฝีปากและอาภรณ์ เขายกแขนเสื้อขึ้นเช็ดเลือดแล้วร้องสั่งว่า “เตรียมน้ำร้อน”
“พะ…พะ…” เฉินจื้อพยายามจะขานรับ แต่ก็ขานไม่ค่อยออก แรงกดดันนั้นทำเขาแทบเปล่งเสียงไม่ได้เลย หยางเจียงหยุนรู้สึกตัวจึงเก็บกลิ่นอายกดดันกลับมา เฉินจื้อกับจิงจ้านจึงรู้สึกตัวเบาขึ้น พวกเขารีบลุกขึ้นยืน ขานรับพร้อมกันว่า “พะย่ะค่ะ”
เฉินจื้อรีบเข้าไปในห้องอาบน้ำ ใช้พลังทำให้น้ำทั้งสระร้อนขึ้น แล้วจัดเตรียมเครื่องอาบน้ำให้องค์ราชา ไม่กี่อึดใจเขาก็เตรียมเสร็จแล้ว จึงกุมมือร้องบอกอยู่ที่ประตูอีกด้านซึ่งเชื่อมต่อกับห้องนอนขององค์ราชา “น้ำร้อนแล้วพะย่ะค่ะ”
“อืม” หยางเจียงหยุนพยักหน้า ลุกออกจากเตียง เดินไปเปิดประตู เดินเข้าไปในห้องอาบน้ำอันกว้างใหญ่ เห็นเฉินจื้อยืนกุมมือคารวะอยู่จึงมองอย่างเย็นชา เฉินจื้อถูกกลิ่นอายกดดันจนเข่าทรุดลงไปอีกครั้ง ปึก! ปึก!
เขารู้สึกว่าพลังขององค์ราชาเพิ่มขึ้นมากมายมหาศาลยิ่งนัก ทำให้เขาหลุดอุทานออกมาว่า “หลอมรวมแล้ว!”
“ใช่! หลอมรวมแล้ว” หยางเจียงหยุนพยักหน้า สีหน้าเย็นชายิ่ง จิตบรรพกาลทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้นก็จริง แต่มันก็ทำให้จิตใจเขาเปลี่ยนเป็นเหี้ยมโหดขึ้นหลายเท่าเช่นกัน เขาอุตส่าห์วางแผนสร้างร่างแยกนำจิตบรรพกาลกับจิตวิญญาณของเขาใส่รวมไว้ด้วยกันเพื่อกำจัดจิตบรรพกาลออกไป แผนการของเขาเกือบจะสำเร็จอยู่แล้วเชียว ถ้าไม่เป็นเพราะชาติที่แล้วเจ้าเด็กมนุษย์อ่อนแอเฉินมู่อิ๋งคนนั้นทำให้เขาเสียแผน เขาคงกำจัดจิตบรรพกาลออกไปได้แล้วแท้ๆ เขาฝึกวิชา ‘จิตไร้รัก’ เพื่อกำจัดจิตบรรพกาล ชาติที่แล้วก็เกือบจะสำเร็จแล้วเชียว หากว่าเขาไม่เจอเจ้าเด็กเฉินมู่อิ๋งคนนั้น เขาก็คงกลายเป็นฮ่องเต้ที่ไม่มีฮองเฮาหรือนางสนม ใช้ชีวิต ‘ไร้รัก’ ไปจนตาย เมื่อไร้ความรัก จิตบรรพกาลก็จะถูกขังอยู่ในร่างแยกร่างนั้นไปตลอด ส่วนจิตวิญญาณของเขาก็จะกลับสู่ร่างหลักโดยแยกจากจิตบรรพกาลไปตลอดกาล
แต่นี่เจ้าเด็กเฉินมู่อิ๋งหน้าตางดงามคนนั้นทำให้เขาเกิดจิตรักใคร่ปรารถนา ทำให้จิตบรรพกาลไม่อาจแยกจากจิตวิญญาณของเขาได้ ซ้ำยังเกิดวิญญาณอาฆาตขึ้นเสียอีก ดังนั้นเขาจึงหลอมสร้างร่างแยกขึ้นมาใหม่อีกครั้ง
นำจิตบรรพกาล วิญญาณอาฆาตและจิตวิญญาณของเขาใส่ไว้ในร่างแยกอีกครั้ง จากนั้นก็ส่งร่างแยกไปเกิดยังโลกแห่งนั้นอีกหน ที่เลือกโลกแห่งนั้นก็เพราะว่าง่ายต่อการส่งร่างแยกไปนั่นเอง วิญญาณอาฆาตทำให้บิดาเกลียดชังเขา นี่ก็เป็นแผนการหนึ่งเพื่อให้ตัวเองถูกเกลียดชังจากผู้คน เมื่อถูกเกลียดชัง จิตใจก็จะไร้ความรัก ยิ่งลิขิตให้ชะตาของร่างแยกพบเซียนนำพาไปฝึกฝน จิตใจก็จะยิ่งไร้รักมากยิ่งขึ้น
แผนของเขาใกล้จะสำเร็จเต็มที แต่แล้วเจ้าเด็กเฉินมู่อิ๋งคนนั้นก็โผล่มาทำให้แผนการของเขาพังพินาศไม่มีชิ้นดี แผนฝึกฝน ‘จิตไร้รัก’ พังไม่เป็นท่า ซ้ำยังทำให้เขาหลงรักเจ้าเด็กคนนั้นขึ้นมาอีก เพียงเพราะว่ามันมีชื่อว่า ‘เฉินมู่อิ๋ง’ เหมือนกับเจ้าเด็กมนุษย์หล่อเหลาคนนั้น ซ้ำร้ายเขายังยินยอมหลอมรวมกับจิตบรรพกาลเพียงเพราะอยากจะปกป้องเจ้าเด็กเซียนคนนั้นเสียอีก! นี่มันช่างบัดซบสิ้นดี!
แผนการของเขาพังไม่เป็นท่าก็เพราะเจ้าเด็กเฉินมู่อิ๋ง 2 คนนั่น! น่าตายนัก พวกมันล้วนน่าฆ่าให้ตาย! สมควรสับให้เป็นหมื่นๆ ชิ้น บดขยี้วิญญาณพวกมันให้เป็นผุยผง!
เฉินจื้อที่ได้ยินเช่นนั้นก็ปากอ้าตาค้างเติ่ง! หลอมรวมแล้ว! เช่นนั้นก็หมายความว่าแผนการขององค์ราชาพังพินาศไปแล้ว!
“เฉินจื้อ เจ้าออกไปเสีย” หยางเจียงหยุนสั่งพลางสะบัดมือทีหนึ่ง เฉินจื้อก็ปลิวกลิ้งออกไปทันที “หว๋าาาาา…”
เขากลิ้งออกไปจนพ้นห้องอาบน้ำ ประตูก็ปิดลงตามหลัง เขาตะเกียกตะกายลุกขึ้นมาอย่างมึนงง ไม่เข้าใจว่าตัวเองทำอะไรให้องค์ราชาไม่พอใจหรือ? ฮือๆๆๆๆ…
จิงจ้านมองเฉินจื้อที่ถูกโยนออกมา เขาจึงเข้าไปกระซิบกระซาบข้างๆ “เจ้าไปทำให้อะไรให้องค์ราชาโมโหรึ?”
“ข้าไม่ได้ทำอะไรเสียหน่อย” เฉินจื้อกระซิบตอบ เขายังงงๆ ไม่หายว่าตัวเองทำอะไรให้องค์ราชาไม่พอใจหรือ?
หยางเจียงหยุนไล่เฉินจื้อออกไปเพียงเพราะแซ่ของมันที่ออกเสียงเหมือนกับเจ้าเด็กสมควรตาย 2 คนนั่น ‘เฉินมู่อิ๋ง!’ เขาเห็นเจ้าเฉินจื้อแล้วพาลนึกถึงเจ้าเด็ก 2 คนนั้นขึ้นมาทันที นึกแล้วก็โมโหยิ่งนัก ดังนั้นจึงพาลไม่อยากเห็นเจ้าเฉินจื้อไปด้วย หากว่าเฉินจื้อรู้ว่าสาเหตุเป็นเพราะแซ่ของตัวเองเขาคงอยากขออนุญาตบรรพบุรุษในหลุมศพทั้งหลายขอเปลี่ยนแซ่ชั่วคราวจนกว่าองค์ราชาจะหายโมโหนั่นแหละ
“ว่าแต่องค์ราชาตื่นขึ้นมาแล้ว เช่นนี้หมายความว่าแผนการสำเร็จแล้วซินะ?” จิงจ้านกระซิบถาม เฉินจื้อด่า “สำเร็จกับผีซิ! หลอมรวมแล้วต่างหากเล่า!”
“หลอมรวมแล้ว!” จิงจ้านตกใจเสียจนเข่าอ่อนยวบ แผนการณ์ที่องค์ราชาวางเอาไว้ผิดแผนไปได้อย่างไร!?
ณ ประตูสวรรค์ เฉินมู่อิ๋งผ่านลำแสงจ้าสว่างเสียจนเขาต้องหลับตาลง จนกระทั่งได้ยินเสียงดังแว่วๆ ว่า “โอ้! เทพบรรลุขึ้นมาใหม่!”
เขาจึงลืมตาขึ้นมอง พบว่าตัวเองยืนอยู่บนพื้นหินสีเขียวที่สุกสว่างเป็นประกายราวกับมรกตน้ำงาม พื้นที่นี้มองไปกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา เขาเห็นคนกลุ่มหนึ่งมีไอสีขาวจางๆ ล้อมรอบตัวคนเหล่านั้น ไอสีขาวนี้คล้ายกับกลิ่นอายของอาจารย์กู่เสียนฟางที่เป็นเทพไม่มีผิด เช่นนั้น ‘คน’ เหล่านี้ย่อมเป็นเทพเหมือนกับอาจารย์กู่แน่นอน
“หือ? แสงสีน้ำเงิน?” คนหนึ่งในกลุ่มคนเหล่านั้นอุทานออกมา คนอื่นๆ ก็มองจ้องเช่นกัน “ไยจึงเป็นสีน้ำเงิน? หากเป็นธาตุน้ำย่อมเป็นสีฟ้ามิใช่รึ?”
“หรือว่าจะเป็นเทพชั้นสูง?”
“เจ้าจะบ้ารึ เขาเป็นเทพใหม่จะเป็นเทพชั้นสูงได้อย่างไร?”
“นั่นซิ”
“หรือว่าเป็นพลังธาตุน้ำที่ผิดปกติ?”
“ผิดปกติอย่างไร?”
“อย่างเช่นธาตุน้ำ แต่กลับกลายเป็นน้ำแข็งเหมือนอย่างเทพคนนั้นเมื่อปีก่อนนู้นอย่างไรล่ะ”
“อืม ก็อาจเป็นได้ แต่ว่าของเทพคนนั้นเป็นสีฟ้าจางๆ จนแทบจะเป็นสีขาวไม่ใช่รึ”
“อันนี้ก็อาจจะผิดปกติจากสีฟ้ากลายเป็นสีน้ำเงินอย่างไรล่ะ”
“อืม”
ฯลฯ เสียงพูดคุยดังหึ่งๆ เฉินมู่อิ๋งที่ถูกจ้องมองจึงกวาดตามองคนเหล่านั้นแล้วมองตัวเอง เขาพบว่ารอบตัวเขาเปล่งแสงสีน้ำเงินออกมา เขาจึงคิดเก็บ แสงสีน้ำเงินก็หายวับไปทันที
“น้องชาย” บุรุษคนหนึ่งเรียกพลางเดินเข้ามาใกล้ เฉินมู่อิ๋งมองบุรุษคนนั้นอย่างระวังตัว บุรุษคนนั้นยิ้มแย้มให้อย่างเป็นมิตรแล้วพูดว่า “ข้าชื่อจางเย่าหยาง (张耀炀) ข้าเป็นเทพจากแดนเทพเป่ยต้าไห่ (北大海 มหาสมุทรเหนือ)”
“แดนเทพเป่ยต้าไห่?” เฉินมู่อิ๋งทวนคำอย่างงงๆ จางเย่าหยางถาม “น้องชายมาจากที่ไหนรึ?”
เฉินมู่อิ๋งไม่ตอบ มองคนๆ นั้นอย่างระวังตัว จางเย่าหยางยิ้มแล้วอธิบายว่า “น้องชายเป็นเทพใหม่เพิ่งบรรลุผ่านประตูสวรรค์มา คงจะยังงงๆ อยู่กระมัง มาเถอะ มานั่งตรงนี้ซิ ข้าจะอธิบายเรื่องแดนเทพให้เจ้าฟัง”
เฉินมู่อิ๋งไม่ได้เดินตามไป เขาทำเพียงยืนมองคนๆ นั้นอยู่ตรงนั้น ทำให้จางเย่าหยางถึงกับเกาหัวแกรกๆ “เจ้าช่างระวังตัวเสียจริง ข้าไม่ทำอะไรเจ้าหรอกน่า เอางี้ เจ้าฟังนะ แดนเทพแบ่งเป็น 5 ทวีปใหญ่ มีแดนเทพจงยางต้าไห่ (中央大海 มหาสมุทรกลาง) เป็นศูนย์กลาง แล้วก็มีแดนเทพเป่ยต้าไห่ หนานต้าไห่ (南大海 มหาสมุทรใต้) ตงต้าไห่ (东大海 มหาสมุทรตะวันออก) แล้วก็ซีฟางต้าไห่ (西方大海 มหาสมุทรตะวันตก) แต่ละแดนเทพมีเมืองย่อยอีกนับไม่ถ้วน แต่ละเมืองมีราชาปกครอง แต่ละเมืองก็มีกองกำลังของตัวเอง ส่วนทั้งห้าดินแดนก็มีกองกำลังเป็นของตัวเอง อย่างเช่นข้าอยู่ในกองกำลังแดนเทพเป่ยต้าไห่ ข้ามารออยู่ที่นี่ก็เพื่อคัดเลือกเทพใหม่เข้าร่วมกองกำลังเป่ยต้าไห่”
“ทำไมต้องเข้าร่วมกองกำลังด้วยล่ะ?” เฉินมู่อิ๋งถาม จางเย่าหยางจึงอธิบายว่า “ก็เพื่อที่จะได้รับทรัพยากรในการฝึกฝนพลังน่ะซิ หากเข้าร่วมกับกองกำลังก็จะได้รับทรัพยากรฝึกฝน เพียงแต่ต้องแลกกับการทำงานปกป้องดินแดน ก็คล้ายๆ กับทหารนั่นแหละ”
“อ่อ” เฉินมู่อิ๋งพยักหน้าเข้าใจ แล้วบอกว่า “เช่นนั้นขอข้าคิดก่อนล่ะกัน”
เขาบอกแล้วก็เดินห่างออกไปทันที จางเย่าหยางจึงไม่ตามไปคุยด้วยอีก เจ้าเด็กนั่นท่าทางก็บอกชัดแล้วว่าไม่ไว้ใจใครง่ายๆ ช่างเป็นเด็กที่ระวังตัวเสียจริง เฮ้อ…
เฉินมู่อิ๋งเดินห่างออกมาแล้วก็แอบเอาถุงที่อาจารย์เฟยเทียนให้มาออกมาดู เขาเห็นหินสีเขียว ข้างในหินมีแสงระยิบระยับแวววาว แสงนี้เหมือนกับแสงระยิบระยับที่เขาเห็นอยู่รอบๆ ตัว มันลอยอยู่ในอากาศ เมื่อเขาสูดลมหายใจเข้าไป แสงระยิบระยับเหล่านั้นก็ลอยเข้าไปในจมูกของเขาด้วย แสงพวกนั้นไหลลงไปผ่านปอดแล้วไหลไปรวมตัวกันอยู่ตรงท้องน้อย เขารู้สึกว่าตรงจุดตันเถียนของเขากลายเป็นพื้นที่ขนาดใหญ่แห่งหนึ่งที่แสงระยิบระยับเหล่านั้นเข้าไปรวมตัวกันอยู่ตรงจุดนั้น เขายังไม่รู้ว่าสิ่งนั้นเรียกว่า ‘จุดรวมกำเนิด’
ไพลินวิญญาณเห็นว่าเจ้านายมีท่าทีงุนงงไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย มันจึงบอก {หินสีเขียวนั่น เรียกว่าหยกปราณสวรรค์ ก้อนเล็กนั้นคือหยกปราณสวรรค์ระดับต่ำ ก้อนใหญ่นั่นคือหยกปราณสวรรค์ระดับกลาง นางมารผู้นั้นใจกว้างกับเจ้านายไม่น้อยเลย นางให้หยกปราณสวรรค์กับเจ้า อ่อ หยกปราณสวรรค์ก็คือเงินของแดนเทพนี่แหละ ส่วนแสงวิบๆ นั่นก็คือไอเทพอย่างไรล่ะ ไอเทพนี้ก็คล้ายๆ กับพลังฟ้าดินนั่นแหละเพียงแต่มันบริสุทธิ์มากกว่าพลังฟ้าดิน ไอเทพนี้มีเฉพาะในแดนเทพเท่านั้น หากเจ้าไปแดนมารก็จะเห็นไอมารคล้ายๆ เช่นนี้เพียงแต่ว่าเป็นสีดำ}
{ไอมาร ข้าเคยเห็นแล้วตอนที่พี่สาวมังกรเอาตำรามารให้ข้าดู ข้ายังดูดกลืนไอมารเข้าไปด้วยซ้ำ} เฉินมู่อิ๋งบอก ไพลินวิญญาณอึ้งไป {นับว่าเจ้าโชคดีที่มีพลังของข้าขจัดไอมาร ไม่เช่นนั้นไอมารจะทำให้เจ้าวิกลจริตเข้าสักวันแน่ๆ}
{อืม พี่สาวมังกรก็บอกคล้ายๆ แบบนี้เหมือนกัน} เฉินมู่อิ๋งคุยกับไพลินวิญญาณอยู่ในห้วงจิต {ข้าว่าข้าไปจากที่นี่ดีกว่า}
{เดี๋ยวเจ้านาย เจ้าอย่าใช้เสี่ยวเฮยในแดนเทพดีกว่า ไม่เช่นนั้นคนอื่นอาจเข้าใจผิดได้ว่าเป็นกระบี่มาร ทีนี้ล่ะเจ้าได้ถูกตามล่าแน่} ไพลินวิญญาณเตือน เฉินมู่อิ๋งจึงถาม {แล้วจะไปจากที่นี่ได้อย่างไร?}
{ข้าจำได้ว่ามีเรือล่องเมฆานะ แต่ไม่รู้ว่าเรือล่องเมฆานี้จะมาที่นี่เมื่อไหร่ เจ้าก็คอยก่อนเถอะ} ไพลินวิญญาณบอก เฉินมู่อิ๋งจึงส่งเสียงรับ {อืม}
เขานั่งลงตรงนั้นแล้วรอคอยเรือล่องเมฆา คนอื่นๆ ก็ไม่เข้าไปใกล้เจ้าเทพใหม่นัก เพราะเห็นมันระวังตัวแจทีเดียว ทำอย่างกับพวกเขาจะหลอกมันไปขายอย่างนั้นแหละ เฮอะ! เด็กใหม่เช่นนี้ต้องปล่อยให้มันติดแหง็กอยู่ที่นี่นานๆ หน่อย พอมันทนไม่ไหวเดี๋ยวมันก็ขอเข้าร่วมกองกำลังเองนั่นแหละ ถึงตอนนั้นค่อยเข้าไปคุยกับมันก็ยังไม่สาย ฮี่ๆๆๆ