ตอนที่ 199-3
ตรงหน้ามีผู้สูงส่ง! สุนัขมากลวดลาย!
พูดจบแล้ว นางก็มองไปทางซือมั่วอีกครั้ง หัวเราะหยันตนเอง “เจ้าพูดไม่ผิด ข้ายังใจอ่อนเกินไป”
ซือมั่ววางเนื้อผลไม้ที่ปอกเสร็จแล้วในมือลง เงยหน้ามองนาง ดวงตาสีอำพันมีรอยยิ้ม “ไม่ต้องสนใจคนมอง ทำตามใจไปก็ดีแล้ว”
ในบางมุม มู่ชิงเกอไม่สามารถเทียบกับความโหดเหี้ยมของซือมั่วได้จริงๆ
ถึงแม้ว่านางจะลงมืออย่างเหี้ยมโหดไม่ไว้นํ้าใจ แต่ว่าก็ยังมีขีดจำกัดของตนเอง นางคิดว่าผู้บริสุทธิ์ คนที่ไม่เป็นพิษเป็นภัย ไม่ต้องสังหาร
คนที่สมควรตาย นางก็จะตัดรากถอนโคน ทำให้พวกเขาพกพาความหวาดกลัวไปจนตาย แม้แต่ภพข้างหน้า ก็ต้องหวาดกลัวนาง
มู่ชิงเกอไม่เคยคิดจะให้ตัวเองถูกฆ่าและก็ไม่เคยคิดจะให้ตัวเองกลายเป็นเครื่องจักรสังหาร
ทุกอย่างล้วนแต่อยู่ในขีดจำกัดของนาง
“ออกเดินทางเถอะ” มู่ชิงเกอยืดเอวขึ้น เอ่ยกับทั้งสามคน
“รอเดี๋ยว” ซือมั่วหยุดเอาไว้ เขายื่นเนื้อผลไม้ที่ปอกเปลือกแล้วไปที่ตรงหน้าของมู่ชิงเกอ ไม่สนใจท่าทางของกู่หยาและกู่เย่ เอ่ยอย่างเย้ายวนใจว่า “กินผลไม้ ก่อนเถอะ”
ในดวงตาดูเหมือนกำลังพูดว่า ข้าอุตส่าห์ปอกผลไม้ให้เจ้าอย่างยากลำบาก เหตุใดเจ้าจึงไม่กิน?
มู่ชิงเกอมุมปากกระตุก กวาดสายตามองไปทางกู่หยาและกู่เย่ที่แสดงท่าทีเหมือน ‘เห็นผี’ นั้นแล้ว ก็รีบคว้าเนื้อผลไมhในมือของซือมั่วและกลืนเข้าไปในปากอย่าง รวดเร็ว
“ช้าๆ หน่อย” ท่าทางที่นางกลืนทำให้ซือมั่วค่อยๆ เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ยื่นผ้าเช็ดหน้าของเขาออกไป ก่อนที่เขาจะเช็ดให้ด้วยตัวเขาเอง มู่ชิงเกอก็รีบแย่งมาแล้วเช็ดนํ้าผลไม้ที่ไหลซึมตรงมุมปาก นางไม่ยินยอมที่จะเป็นเด็กน้อยต่อหน้าของซือมั่ว ถูกลูกน้องของเขามองเห็นเขาเช็ดปากให้ตนเอง
นี่อะไร เขายังต้องการรักษาหน้าอยู่หรือไม่?
หลังจากพยายามกลืนเนื้อผลไม้ลงไปแล้ว มู่ชิงเกอถึงได้ตะโกนออกมา “ออกเดินทางเถอะ!”
ทั้งสี่คนออกจากเมืองเยว่เฉิงมุ่งไปยังหอหลอมศาสตราที่อยู่ในป่าเหยียน ในครั้งนี้มู่ชิงเกอไม่ได้ลงมือเองอีก และก็ไม่ได้เปิดเผยตัวตน แต่กลับให้กู่หยาและกู่เย่ทำแทนทั้งหมด
หอหลอมศาสตราถูกพวกเขาลบออกจากประวัติศาสตร์ของแผ่นดินหลินชวนอย่างสิ้นเชิง ส่วนคนที่มีรายชื่อยกเว้น ก็ทำตามคำสั่งของมู่ชิงเกอ ล้วนแต่ไม่ได้ฆ่า แต่กลับลอบส่งไปที่ค่ายทหารตระกูลมู่ในแคว้นฉิน
ถูกแล้ว นํ้าปุ๋ยดีไม่ควรไหลออกไปที่นาของคนอื่น
นักหลอมอาวุธเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่ช่างฝีมือด้านนอกจะสามารถเทียบได้
ขอเพียงพวกเขายินยอม ก็ล้วนแต่สามารถช่วยเหลือกองทัพตระกูลมู่ได้ ถ้าหากว่าไม่ยินยอมก็สามารถจากไปเองได้ แต่หากมีใครกล้าลอบสร้างเรื่อง เช่นนั้นจุดจบ ของตระกูลหลาน สำนักหมื่นอสูรและหอหลอมศาสตรา ก็จะเป็นจุดจบของพวกเขา
มู่ชิงเกอไม่ใช่คนมีเมตตา แต่เป็นการให้โอกาสใหม่แก่พวกเขา
ก็เหมือนกับแรกเริ่มที่นางไม่ได้กำจัดฉินอี้เหยา นางไม่สนใจว่าฉินอี้เหยาจะกลับมาหานางเพื่อล้างแค้นหรือไม่ คนเหล่านั้นก็เช่นเดียวกัน นางไม่ฆ่าก็เพราะคิดว่าสิ้นเปลืองที่จะฆ่า
หากว่าภายในพวกเขามีคนที่คิดจะฆ่านางเพื่อล้างแค้น นางก็จะเล่นด้วยจนถึงที่สุด!
ฆ่าล้างตระกูลหลานก็เพราะว่าพวกเขามีความสัมพันธ์ทางสายเลือด ความแค้นของตระกูลก็เพียงพอที่จะทำให้คนเป็นบ้าได้แล้ว นางจะต้องออกจากหลินชวน ดังนั้นไม่อาจจะทิ้งชนวนความแค้นไว้ให้ตระกูลมู่ได้
ทำลายสำนักหมื่นอสูร เหตุผลก็คล้ายกันกับของตระกูลหลาน เพียงแต่ ความสัมพันธ์ในสำนักหมื่นอสูรมีความซับซ้อนกว่าของตระกูลหลานอยู่บ้าง นอกจากความสัมพันธ์ทางสายเลือดแล้ว ในพวกเขาก็ยังมีคนจากตระกูลอื่นๆ เข้าร่วม และที่สำคัญที่สุดก็คือคนของสำนักหมื่นอสูรไม่ได้ให้ความรู้สึกที่แสดงว่าเป็นคนบริลุทธิ์แก่มู่ชิงเกอเลย
หลังจากออกจากเทียนตูหนึ่งวันหนึ่งคืนแล้ว ในเมืองที่เต็มไปด้วยเลือดและตระกูลหลานล่มสลายเป็นวันที่สอง มู่ชิงเกอก็ถูกซือมั่วนำกลับมาที่ตำหนักหลีกง
กลับมาถึงตำหนักหลีกง มู่ชิงเกอก็ไม่ได้ปล่อยให้เวลาเสียเปล่า รีบเก็บตัวฟื้นพลังในทันที
แม้แต่ซือมั่วก็ไม่ให้โอกาสได้ใกล้ชิด ทำให้เขาจากไปอย่างไม่ค่อยพอใจ
มู่ชิงเกอเข้าไปในช่องว่าง นางเพิ่งจะปรากฏตัวขึ้นในช่องว่าง เหมิงเหมิงกับหยวนหยวนก็รีบพุ่งเข้ามา “เจ้านาย ในที่สุดท่านก็มา!”
“ลูกพี่ท่านแม่ หยวนหยวนเป็นห่วงท่านมาก!”
เด็กสองคน ห้อยตัวบนมู่ชิงเกอทั้งซ้ายและขวาเล่นชิงช้า
มู่ชิงเกอมองพวกเขาแวบหนึ่ง นัยน์ตาฉายแววขออภัยเอ่ยว่า “พวกเจ้าทั้งสองคนไม่เป็นไรใช่ไหม”
หยวนหยวนส่วยหน้า โบกกำปั้นน้อยๆ ของตัวเอง ใบหน้าเล็กขาวนวลฉายแววแค้นเคืองเอ่ยว่า “เจ้าเฒ่านั่น กลับกล้าที่จะคิดครอบครองตัวข้า! หากครั้งหน้าได้พบเจอ ข้าจะไม่ปล่อยเขาเอาไว้อย่างแน่นอน! ยังมีเหล่าคนที่กล้าทำร้ายลูกพี่ท่านแม่อีก หยวนหยวนอยากจะเผาพวกเขาทั้งหมด”
การปกป้องของหยวนหยวนทำให้ในใจของมู่ชิงเกอเกิดความอบอุ่นขึ้น นางลูบๆ หัวของหยวนหยวน เอ่ยกับเขาว่า “แต่ว่า เจ้าคงไม่มีโอกาสแล้วล่ะ พวกเขาตาย หมดแล้ว”
“อ้า!” หยวนหยวนรู้สึกผิดหวังและตะโกนออกมา แต่ก็รีบโห่ร้องขึ้นมา เอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “ลูกพี่ท่านแม่หยวนหยวนสัญญาว่าจะตั้งใจฝึกฝน ต่อไปจะต้องคุ้ม ครองลูกพี่ท่านแม่ให้ได้ไม่ให้ลูกพี่ท่านแม่ถูกรังแกอีก!”
มู่ชิงเกอยิ้มกว้าง
นางมองไปทางเหมิงเหมิง เอ่ยถามว่า “หยินเฉินเป็นอย่างไรบ้าง?”
เหมิงเหมิงเก็บรอยยิ้มกลับ เอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “หยินเฉินในครั้งนี้นั้นเกือบจะตายจริงๆ แต่ว่าโชคยังดีที่เขาได้ดื่มเลือดของเจ้านาย”
“เลือดของข้า?” มู่ชิงเกอรู้สึกประหลาดใจ เหมิงเหมิงพยักหน้า “เพราะว่าเจ้านายกับเขานั้นมีความสัมพันธ์แบบพันธะสัญญา ดังนั้นในเลือดของเจ้านายจึงมีพลังการฟื้นฟู สามารถรักษาลมหายใจของหยินเฉินเอาไว้ได้”
นัยน์ตาของมู่ชิงเกอเปล่งประกาย เอ่ยในทันทีว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าสามารถเอาเลือดให้เขาอีกได้”
แต่ว่าเหมิงเหมิงกลับส่ายหน้าเอ่ยว่า “ไม่ต้องแล้ว หยินเฉินในตอนนี้กำลังทะลวงผ่านเคราะห์เป็นตาย เพื่อกลายเป็นสัตว์อสูรเทวะ ไม่แน่ รอเจ้านายเข้ามาอีกครั้ง ก็สามารถพบเจอกับหยินเฉินในโฉมใหม่”
“จริงหรือ!” มู่ชิงเกอเอ่ยอย่างยินดี
เคราะห์เป็นตายไม่เพียงแต่เป็นปมในใจของหยินเฉิน แต่เป็นปมในใจของนางเช่นเดียวกัน
นางคิดไม่ถึงเลยว่าผ่านศึกเป็นตายในช่องว่างแห่งการทดสอบจะสามารถทำให้ความตั้งใจของหยินเฉินเป็นจริงได้บางทีนี่อาจเป็นเงื่อนไขของเคราะห์เป็นตาย! มีบางเวลามีเพียงทะลุขีดความสามารถเท่านั้นถึงจะสามารถกลายเป็นผีเสื้อได้
ความคิดของมู่ชิงเกอแผ่กระจายออกไป ค่อยๆ รู้สึกว่า พลังจิตภายในร่างกายของตนเองเกิดความเคลื่อนไหวที่แปลกประหลาด
ท่าทางของนางเปลี่ยนไป เอ่ยกับเหมิงเหมิงและหยวนหยวนในทันทีว่า “ข้าจะเก็บตัวฟื้นฟูพลังจิต” พูดแล้วก็หายตัวไปจากตรงหน้าของพวกเขา
“อ้า! เจ้านาย ข้ายังมีเรื่องที่สำคัญ สำคัญมากจะบอกท่าน!” เหมิงเหมิงชะงัก ร้องตะโกนไปทางที่มู่ชิงเกอหายไป
แต่น่าเสียดาย ภายในช่องว่างมู่ชิงเกอไม่อยู่แล้ว
เหมิงเหมิงกระทืบเท้าอย่างโกรธเกรี้ยว เอ่ยเบาๆ ว่า “เจ้านายนี่ก็รีบอะไรกันนักหนา?”
ในตอนที่ปรากฏตัวอีกครั้ง นางก็ได้กลับมาในห้องของตำหนักหลีกงแล้ว
ไม่ได้เลือกที่จะฟื้นฟูพลังในช่องว่างเพราะกังวลว่าซือมั่วจะมีเรื่องตามหานาง ส่วนนางไม่อยู่แล้วจะทำให้เขาร้อนใจ
‘ถึงกลับเริ่มคิดแทนคนอื่นแล้ว’ มู่ชิงเกอยิ้มๆ ส่ายหน้า สำรวมจิตใจ หลับตาลง
มู่ชิงเกอที่เข้าสู่การทำสมาธิ ดูเหมือนว่าจะได้เข้ามายังจักรวาลอันกว้างใหญ่ ดวงดาวเต็มท้องฟ้า เป็นจุดชีพจรของนาง เส้นเชื่อมต่อระหว่างดวงดาวก็คือทาง เชื่อมของชีพจรนาง นางรู้สึกว่าพลังจิตในทางเชื่อมชีพจรนั้นแห้งเหือด เมื่อ ครุ่นคิดก็เริ่มดึงพลังจิตเข้าสู่ร่าง พลังจิตระหว่างฟ้าดินไหลไปตามทางเชื่อมของชีพจรของนาง เติมเต็มพลังจิตที่หายไปของนาง ผ่านไปไม่นานนางก็รู้สึกถึงพลังจิตที่ถูกเติมเต็ม ความรู้สึกว่าพลังจิตแห้งหายค่อยๆ หายไป ภายในเส้นเชื่อมต่อระหว่างดวงดาวของนางถูกเติมเต็มไปด้วยพลังจิตสีม่วง ดูสวยงามลึกลับและเหนียวแน่น
ทันใดนั้น นางก็พบว่าในการเคลื่อนไหวของดวงดาวนั้น มีพลังจิตสีเทาปนอยู่กับพลังจิตสีม่วงแผ่กระจายไปทั่วทางเชื่อมของชีพจรของนาง