Skip to content

พลิกปฐพี 199-4

ตอนที่ 199-4

ตรงหน้ามีผู้สูงส่ง! สุนัขมากลวดลาย!

หลังจากผ่านไปหนึ่งสัปดาห์ ก็ตกเข้าไปอยู่ในจุดตันเถียนสีม่วงของนาง

จุดตันเถียนของนาง มีสีม่วงดุจดั่งภาพลวงตา

อยู่ดีๆ พลังจิตสีเทาก็แทรกเข้าไป ทำให้จุดตันเถียนที่เงียบสงบเกิดการสั่นไหว การเข้าร่วมของพลังจิตสีเทา กระตุ้นให้พลังจิตสีม่วงเกิดความปั่นป่วน ดูเหมือนจะขับไล่พลังจิตสีเทาที่เป็นส่วนเกินนี้ออกไป

แต่ว่าพลังจิตสีเทานั้นดูดื้อดึง มันไม่ได้สนใจในความปั่นป่วนของพลังจิตสีม่วง แต่กลับรีบทำตัวให้สมดุลภายในจุดตันเถียนของมู่ชิงเกอ พลังจิตสีเทายิ่งมากขึ้นเท่าไหร่ พลังจิตสีม่วงในจุดตันเถียนก็ยิ่งบ้าคลั่ง

การต่อสู้ครั้งนี้แผ่จากจุดตันเถียนไปทั่วร่างของมู่ชิงเกอ ทำให้ทั้งตัวของนางที่กำลังหลับตาอยู่สั่นขึ้นมาอย่างควบคุมไม่อยู่

‘เกิดอะไรขึ้น?’

มู่ชิงเกอปิดตาสนิท ระงับความสั่นไหวไม่อยู่ เม็ดเหงื่อซึมออกมาจากหน้าผาก แผ่นหลังก็เปียกชื้นไปทั้งผืน บนผิวของนางพลังจิตพุ่งออกมาเป็นตุ่มเล็กๆ พลังจิตที่บ้าคลั่งเหล่านั้นดูเหมือนอยากจะพุ่งออกมาจากผิวของนาง

ความเจ็บปวดเช่นนี้ ยากที่จะอธิบายได้ หากจะฝืนวิเคราะห์ ก็สามารถใช้ได้เพียงคำเดียว ‘ลอกหนัง เปลี่ยนกระดูก!’

ตำหนักหลีกง อยู่ดีๆ ซือมั่วก็ร้อง ‘อึม’ ขึ้นมา ดวงตาสีอำพันของเขามองไปทางห้องที่มู่ชิงเกออยู่ เงาร่างแวบหายไปจากที่เดิม

ในตอนที่ปรากฏตัว เขาก็ไปปรากฏตัวอยู่ที่ตรงหน้าของมู่ชิงเกอ มองนางที่กำลังประสบกับความเจ็บปวด

‘เสี่ยวเกอเอ๋อร์ เจ้ากำลังจะทะลวงชั้น รักษาสติของเจ้าให้ดี คงจุดชีพจรให้มั่นคง ไม่อาจรีบร้อนได้!’ ซือมั่วส่งกระแสจิตไปให้มู่ชิงเกอ เมื่อได้ยินเสียงของซือมั่ว ลมหายใจของมู่ชิงเกอก็สงบลง คิ้วที่ขมวดแน่นของนางก็คลายออก เห็นลมหายใจของมู่ชิงเกอสงบลงมา ท่าทีที่ดูร้อนใจของซือมั่วก็ผ่อนคลายลง

พูดแล้วก็น่าตลกเพราะเวลาตัวเขาเองจะข้ามชั้นก็ไม่เคยต้องเป็นกังวลใจเช่นนี้ แต่อยู่ต่อหน้าหญิงผู้นี้ กลับสูญเสียสติ กระวนกระวาย ซือมั่วที่เดิมควรจะไปโคจรพลังให้มั่นคง ก็ไม่ได้จากไปไหน แต่กลับอยู่ข้างกายของมู่ชิงเกอ เพื่อป้องกันไม่ให้นางเกิดเหตุไม่คาดฝันในการทะลวงชั้น ซือมั่วภายนอกดูไม่เป็นอะไร

แต่การฝืนใช้วิชาต้องห้ามแห่งการหวนคืนนั้นก็จะต้องถูกพลังสะท้อนกลับทำให้พลังที่มีอยู่หายไปหมื่นปี จากนั้น ก็ยังฝืนใช้พลังทั้งหมดโจมตีราชาปีศาจไปอีกหนึ่งฝ่ามืออีก แล้วสุดท้ายยังเร่งรีบกลับมา เพื่อคุ้มครองมู่ชิงเกอ ช่วยนางล้างแค้น

ร่างกายของเขาปั่นป่วนไปนานแล้ว รอยแผลเก่าก่อนก็มาถึงจุดวิกฤติ

ในตอนนี้ หากให้เลือกระหว่างตัวเขาเองกับมู่ชิงเกอ เขาก็ยังคงเลือกนาง วางการรักษาตัวเองไปชั่วครู่ การคุ้มครองนี้กินเวลาไปสามวันสามคืน

ในช่วงเวลาที่มู่ชิงเกอทะลวงชั้นนั้น ในที่สุดกองทัพแคว้นหรงก็ไปถึงสำนักหมื่นอสูรและหอหลอมศาสตรา

แต่ว่าสิ่งที่ต้อนรับพวกเขากลับเป็นซากร่างและกองเลือดที่เต็มไปทั่วพื้น

สำนักหมื่นอสูรล่มสลายแล้วหรือ?

หอหลอมศาสตราล่มสลายแล้วหรือ?

เป็นใครกันที่สร้างปาฏิหาริย์นี้?

แม่ทัพของแคว้นหรงรีบส่งข่าวกลับไป ส่วนกองทัพของแคว้นหรงเมื่อมองเห็นฉากที่เต็มไปด้วยเลือดนี้แล้วก็อดไม่ได้ที่จะอาเจียนออกมา

โหดเหี้ยมเกินไปแล้ว!

นองเลือดเกินไป!

รุนแรงเกินไป!

แม่ทัพของแคว้นหรงดูเหมือนว่าเกือบจะวิ่งหนีออกจากสถานที่ทั้งสอง

นับจากวันนี้ไปสำนักหมื่นอสูรและหอหลอมศาสตราก็กลายเป็นเรื่องที่ผ่านไป สำนักที่เคยเป็นของพวกเขา กลายเป็นสถานที่ต้องห้ามของผู้คน

แน่นอนว่ายังมีตระกูลหลานอีก

สิ่งที่ไม่เหมือนอย่างเดียวก็คือ ตระกูลหลานไม่มีแล้ว แต่ของทั้งหมดที่เป็นของตระกูลหลานกลายเป็นชิ้นเค้กที่หอมหวาน

ราชวงศ์เและตระกูลต่างๆ ล้วนแต่จ้องมอง แต่ก็ยังรักษาความสงบเอาไว้

พวกเขาล้วนแต่สนใจในการเคลื่อนไหวของตำหนักหลีกง ขอแค่ที่นั้นไม่ได้ออกคำสั่ง ถึงแม้ว่าของทั้งหมดของตระกูลหลานจะยั่วยวนแค่ไหน พวกเขาก็ไม่กล้าลงมือ!

ผ่านไปสิบวัน ในที่สุดมู่ชิงเกอก็ก้าวข้ามระดับพลังชั้นสีม่วงชั้นสูงสุด

พลังของนางเพิ่มขึ้นไม่หยุด ในตอนที่ระดับพลังของนางอยู่ๆ ก็ปะทุขึ้นนั้น ก็เหมือนกับว่าไอพลังส่วนใหญ่ในตำหนักหลีกงจะถูกกลืนหายไปหมด ถูกดูดกลืนไปที่นาง

ระดับพลังชั้นสีม่วงขั้นสูงสุด ขั้นกักเก็บขั้นต้น ขั้นกักเก็บขั้นกลาง ขั้นกักเก็บขั้นสูง…ขั้นกักเก็บขั้นกลาง!

ระดับที่เพิ่มขึ้นไม่หยุด ในตอนที่พลังจิตที่ทะยานขึ้นไป อยู่ขั้นกักเก็บขั้นสูงนั้น ก็ถูกมู่ชิงเกอกดกลับมา กดให้สมดุลอยู่ในขั้นกักเก็บขั้นกลาง

ฉากๆ นี้ทำให้ซือมั่วยิ้มออกมา เสี่ยวเกอเอ๋อร์ของเขาไม่เคยทำให้เขาผิดหวังเลยจริงๆ เมื่อทำให้ระดับพลังสมดุลแล้ว มู่ชิงเกอก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้น สบเข้ากับดวงตาสีอำพันของซือมั่ว

“ขอบคุณ” สองคำนี้เป็นคำจากใจจริง

ในระหว่างที่นางก้าวข้ามขั้นนั้น มีหลายครั้งที่เผชิญหน้ากับอันตราย ก็ล้วนเป็นเพราะซือมั่วคอยคุ้มครองถึงผ่านมาได้ ถึงแม้ว่านางจะหลับตา แต่ก็สามารถสัมผัสได้ถึงซือมั่วที่คอยเฝ้าระวังอยู่ข้างกายของนางตลอดระยะเวลาการก้าวข้ามขั้น

“ระหว่างข้ากับเจ้าไม่ต้องเอ่ยคำว่าขอบคุณ” มุมปากของซือมั่วเผยรอยยิ้มจางๆ ยกมือขึ้นลูบผมของมู่ชิงเกอ แขนเสื้อยาวตกลงมาไล้ไปกับแก้มของมู่ชิงเกอ มู่ชิงเกอกะพริบตา ยืนขึ้น แล้วเอ่ยกับเขาว่า “ข้าไม่เป็นไรแล้ว เจ้าไปพักผ่อนหน่อยเถอะ”

ซือมั่วส่ายหน้า “ไม่รีบ” เขาจับมือของมู่ชิงเกอขึ้นมา พานางเดินออกไปนอกห้อง

บนแท่นของตำหนักหลีกง สามารถมองไปเห็นทิวทัศน์ของภูเขาและทะเลเมฆ

“ตอนนี้ เจ้าได้เข้าสู่ขั้นกักเก็บแล้ว ข้ามีคำบางคำจะพูดกับเจ้า” ซือมั่วเอ่ยอย่างจริงจัง มู่ชิงเกอตั้งสติ ตั้งใจฟัง

“ขั้นกักเก็บเป็นระยะเวลาที่ค่อนข้างพิเศษในช่วงระดับพลัง ในความเป็นจริง ขั้นกักเก็บไม่สมควรมีระดับขั้นแบ่ง ก่อนหน้านี้ที่เจ้าใช้แรงกดกลับไปนั้น ในจุดๆ นี้ ทำได้ดีมาก” ซือมั่วเอ่ยกับมู่ชิงเกอ

มู่ชิงเกอขมวดคิ้วอย่างสงสัย ท่าทางดูเหมือนว่าจะไม่เข้าใจ

อะไรคือไม่สมควรมีระดับขั้นแบ่ง?

นางใช้แรงกดกลับไปก็เป็นเพียงเพราะไม่คาดหวังให้ตนเองเพิ่มระดับเร็วเกินไปซึ่งอาจจะทำให้รากฐานไม่สมดุล แล้วส่งผลกระทบต่อการฝึกฝนขั้นต่อไปก็เท่านั้น

หรือว่านางบังเอิญทำอะไรถูก?

ซือมั่วอธิบายว่า “ในหลินชวน ระดับพลังขั้นสีม่วงก็คือขั้นสูงสุด แต่ก็มีจุดเปลี่ยน คนที่สามารถเข้าไปสู่ขั้นกักเก็บจากระดับพลังขั้นสีม่วงนั้นมีน้อยมาก นี่จำเป็นต้องมีโชคชะตา ส่วนหลังจากเข้าสู่ขั้นกักเก็บแล้ว สิ่งที่จำเป็นต้องทำก็คือการสะสมพลังจิต ไม่หยุดที่จะกดมันลงไป ไม่ใช่การคิดข้ามระดับขึ้นไปอย่างรวดเร็ว เจ้าจะต้องออกจากหลินชวน ก็ต้องรีบใช้เวลาที่มี รีบสะสมพลังจิต ถึงแม้ว่าระดับพลังของเจ้าจะไม่เปลี่ยนก็ไม่ต้องรีบร้อน ในตอนที่เจ้าออกจากหลินชวนเดินทางเข้าไปในโลกแห่งยุคกลางนั้น เจ้าก็จะรู้เองว่าทำเช่นนี้แล้วดียัง ไง”

“ดีอย่างไร?” เมื่อได้ยินถึงข้อดี ดวงตาของมู่ชิงเกอก็เปล่งประกาย

แต่ว่า ซือมั่วกลับไม่ได้บอกเรื่องสำคัญทั้งหมดออกไป

“ภายหน้าเจ้าจะรู้เอง’’

มู่ชิงเกอยังคิดจะไต่ถาม แต่เงาร่างสองสายกลับปรากฏขึ้นมากลางอากาศก่อน ลอยลงมาที่เบื้องหน้าของซือมั่วและมู่ชิงเกอ

กู่หยาและกู่เย่ใช้เวลาในช่วงนี้ไล่ตามฆ่าล้างปลาที่หลุดรอดไปจากแหของสามขุมอำนาจ แล้วก็ยังมีอีกภารกิจที่ต้องจัดการ ตอนนี้พวกเขาทำเสร็จแล้วกลับมา เข้ามารับคำสั่ง

แต่ว่า ในตอนที่พวกเขามองเห็นซือมั่วนั้น ลมหายใจของทั้งสองคนก็กลายเป็นเยียบเย็น

ลมหายใจในร่างกายของท่านประมุขดูปั่นป่วน แม้แต่พวกเขาก็ยังสัมผัสได้!

ซือมั่วส่ายหน้า ห้ามไม่ให้พวกเขาพูดจาไร้สาระ เพียงแต่เอ่ยว่า “จัดการดีแล้วหรือยัง?”

กู่หยาและกู่เย่สูดหายใจเข้าลึกๆ กู่หยาหยิบแหวนวงหนึ่งออกมา ใช้สองมือยื่นส่งให้

ซือมั่วรับแหวนมา หันกายมอบให้แก่มู่ชิงเกอ

“แหวน?” มู่ชิงเกอมองแหวนอย่างแปลกใจแล้วเอ่ย ซือมั่วยิ้มพยักหน้าเบาๆ “เจ้ามัวแต่สนใจฆ่าคน กลับลืมไปแล้วว่าขุมกำลังทั้งสามสืบทอดมาเป็นพันปีหรืออาจจะนานกว่านั้น แน่นอนว่าต้องมีของดีๆ อยู่บ้าง ข้า ให้กู่หยาและกู่เย่ช่วยเจ้าเอามันมา”

มู่ชิงเกอตกตะลึง ผู้ชายคนนี้ช่างใส่ใจจริงๆ! ถึงกลับ—ช่วยนางลอกคราบบ้านคนอื่นด้วย!

ตรงไปตรงมา—–

จุ๊บ!

มู่ชิงเกอยกเท้าขึ้นจูบเข้าที่แก้มของซือมั่วเบาๆ ต่อหน้ากู่หยาและกู่เย่อย่างไม่เกรงใจ จากนั้นก็รับแหวนมาจากมือของเขา

ในตอนที่นางสัมผัสได้ถึงสายตาอันรุ่มร้อนของซือมั่ว แล้วก็ยังมีอาการตกตะลึงของกู่หยาและกู่เย่แล้ว ก็แกล้งไอออกมาอย่างกระดากอาย เอ่ยว่า “ใช่แล้ว รางวัล!”

พูดแล้ว นางก็มองทั้งสามคนแวบหนึ่ง ทิ้งไว้หนึ่งประโยคว่า “ดูแล้วพวกเจ้ายังมีธุระ ข้าไม่ขอรบกวนแล้ว” จากนั้นก็หนีไปอย่างกระดากอาย

ซือมั่วมีรอยยิ้ม มองมู่ชิงเกอจากไป

รอจนนางไปไกลแล้ว รอยยิ้มที่มุมปากของเขาก็ถูกเก็บเข้ามา ใบหน้าซีดขาว ถอนหายใจออกมา

“ท่านประมุข!”

“ท่านประมุข!”

กู่หยาและกู่เย่เอ่ยออกมาอย่างร้อนใจ

ซือมั่วมองไปที่พวกเขา ดวงตาสีอำพันฉายแววเคร่งขรึมและตักเตือน เอ่ยกับพวกเขาว่า “จำเอาไว้ว่าห้ามพูดจาเหลวไหลต่อหน้าเสี่ยวเกอเอ๋อร์อย่างเด็ดขาด”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version