Skip to content

พลิกปฐพี 200-1

ตอนที่ 200-1

ไข่สีรุ้งล่ะ? เจ้านาย ข้ามีความลับจะบอก!

ตีนเขาตำหนักหลีกง มุมปากของหวงฝู่ฮ่วนเผยรอยยิ้มขมขื่นบางๆ เงยหน้ามองตำหนักบนเทือกเขาที่ถูกหมู่เมฆบดบังเอาไว้ อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา

ทันใดนั้นที่เบื้องหลังของเขาก็มีเสียงฝีเท้าดังเข้ามา

หวงฝู่ฮ่วนถอนสายตากลับ หันกายไปยิ้มแล้วเอ่ยกับคนที่มาว่า “ข้าก็ว่าแล้วว่าวันนี้ต้องพบกับเจ้า”

เฉินนี้เฉิงหยุดฝีเท้า ใบหน้าคมเข้มฉายแววสงสัย

หวงฝู่ฮ่วนยิ้ม หยิบกระเป๋าจัดเก็บมาโบกไปมาตรงหน้าของเฉินปี้เฉิง “มีพระราชโองการ ให้มาส่งมอบของ สมบัติมีค่าไปที่ตำหนักหลีกงเพื่อถามข่าวความเป็นไป เรื่องนี้ค่อนข้างน่าอายอยู่บ้าง มีเจ้าไปด้วยค่อยกระดากใจน้อยลงหน่อย”

เฉินนี้เฉิงนิ่งเงียบลงแล้วค่อยเอ่ยว่า “เหตุใดเจ้าถึงรู้ว่าข้าจะต้องมา?”

“คุณชายมู่กลายเป็นผู้หญิงอย่างกะทันหัน แต่ก่อนที่ข้าคาดเดาไว้ก็ไม่ถูกต้องแล้ว ข้าคิดว่า เจ้ากับข้าเป็นเหมือนกันล้วนต้องการคำตอบ” หวงฝู่ฮ่วนยิ้มๆ

เฉินปี้เฉิงหลุบตาลงดูเหมือนจะยอมรับคำพูดของหวงฝู่ฮ่วนอย่างไร้เสียง

เขาเดินผ่านหวงฝู่ฮ่วนไปข้างหน้า เดินไม่กี่ก้าวก็หยุดลงอีก หันมาเอ่ยกับหวงฝู่ฮ่วนว่า “ที่ข้ามาก็เพื่อคิดจะขอให้มหาปราชญ์รับข้าเป็นศิษย์’

จากนั้นก็ก้าวอาดๆ ขึ้นไปยังเขตแดนของตำหนักหลีกง หวงฝู่ฮ่วนชะงัก ในหัวครุ่นคิดถึงคำพูดของเฉินปี้เฉิง อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว เจ้าบ้าเฉินผู้นี้ดูเหมือนกำลังอธิบายต่อเขาว่าไม่ว่ามู่ชิงเกอจะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง เขาก็ไม่สนใจ ที่เขามาก็ เพียงเพื่อพบมหาปราชญ์เท่านั้น?

หวงฝู่ฮ่วนขมวดคิ้วสูงขึ้น

พูดในใจว่า ‘เป็นใครกันที่เคยพูดว่า หากจะต้องเลือกภรรยา เขาจะต้องเลือกอย่างคุณชายมู่?’ อา ถึงแม้จะมีเหตุผลที่แปลกประหลาดไปบ้างก็ตาม เพียงเพราะมู่ชิงเกอแข็งแกร่งกว่าเขา เอาชนะเขาได้

ส่ายหน้าอย่างหมดวาจาจะกล่าว หวงฝู่ฮ่วนสะบัดชายเสื้อเดินตามไป

ที่จริงเขารับปากกับเสด็จพ่อว่าจะขึ้นไปตำหนักหลีกงในเวลานี้ ก็เป็นเพราะเรื่องกราบอาจารย์?

ถามข่าวมู่ชิงเกอนั้นเป็นความจริงแต่ก็ถือว่าเป็นข้ออ้าง ทั้งสองคนยืนอยู่ตีนเขา รายงานถึงจุดประสงค์ที่มา บนยอดเขา กู่หยาเคาะเปิดประตูห้องของมู่ชิงเกอ

มู่ชิงเกอมองเขาอย่างสงสัย

กู่หยาเอ่ยว่า “หวงฝู่ฮ่วนกับเฉินปี้เฉิงมาขอเข้าพบที่ตีนเขา”

“พวกเขา?” มู่ชิงเกอรู้สึกประหลาดใจ คิดไม่ถึงว่าหลังจากเรื่องนี้ผ่านไปแล้วคนที่ขึ้นมาตำหนักหลีกงก่อนจะเป็นพวกเขาทั้งสอง

หวงฝู่ฮ่วนนั้นยังง่ายจะเข้าใจ มีความกดดันจากราชวงศ์ พวกเขาต้องรีบได้รับข่าวจากตำหนักหลีกงแต่ว่า เฉินปี้เฉิง…กลับสามารถกระตือรือร้นได้ถึงขนาดนี้เชียวหรือ? นี่ก็ดูแปลกไปบ้าง

คิดแล้วคิดอีก มู่ชิงเกอก็เอ่ยกับกู่หยาว่า “พบไม่พบ เหตุใดจึงต้องมาถามข้า?” ความหมายในคำพูดก็คือไป ถามซือมั่วน่ะดีแล้ว เพราะเขาถึงเป็นเจ้าของตำหนักหลีกง

แต่ว่า กู่หยากลับเอ่ยว่า “ท่านประมุขเก็บตัวฝึกฝนแล้ว”

อา!

ซือมั่วเก็บตัวฝึกฝน?

เหตุใดจึงกะทันหันถึงขนาดนี้? มู่ชิงเกอขมวดคิ้วขึ้น ขบริมฝีปากโดยไม่รู้สึกตัว น้อยมากที่นางจะเห็นซือมั่วเก็บตัวฝึกวิชา ครั้งนี้ไม่เอ่ยไม่กล่าวก็เก็บตัวเสียแล้วหรือ?

จากนั้นนางก็คิดขึ้นว่าก่อนหน้านี้ซือมั่วเคยพูดว่าสถานที่ ที่ต้องไปนั้นห่างไกลจากหลินชวนมาก ครั้งนี้เขากลับมาอย่างกะทันหัน ทั้งยังช่วยนางฆ่าคนกวาดล้างตระกูล เกรงว่าคงสูญเสียพลังไปไม่น้อย หลังจากกลับมาแล้วก็ ยังไม่ทันได้พักผ่อนก็ต้องคอยคุ้มครองนางข้ามผ่านระดับ ตอนนี้ไปเก็บตัวก็ถือว่าสมควรแก่เหตุผลแล้ว

ระหว่างครุ่นคิด มู่ชิงเกอก็อธิบายถึงสาเหตุที่ซือมั่วต้องเก็บตัวฝึกฝนให้ตนเองขึ้นในใจ

นางพยักหน้าอย่างเข้าใจ เอ่ยกับกู่หยาว่า “ในเมื่อเขาเก็บตัวแล้ว พวกเขาสองคนขึ้นมาก็ไม่พบคนอยู่ดี ให้พวกเขาไปเถอะ”

กู่หยากลับไม่ได้หันกายจากไป แต่เอ่ยกับนางว่า “พวกเขาทั้งสองคนไม่ได้มาพบท่านประมุข”

ไม่ได้มาพบซือมั่ว?

มู่ชิงเกอชะงัก ตอบสนองกลับมาแล้วก็ใบหน้าดำคลํ้าไปชั่วขณะ “เช่นนั้นเจ้าก็พูดตรงๆ สิว่าพวกเขามาพบข้า นี่มันจะยากสักเท่าไหร่กันเชียว? เหตุใดจึงต้องอ้อมค้อมด้วย”

พูดจบก็เผยสีหน้าเบื่อหน่ายส่ายหน้า “กู่หยาเอ๋ยกู่หยา เจ้าคิดว่าเจ้าห้าวหาญมาโดยตลอด คิดไม่ถึงว่าก็คิดเล็กคิดน้อยเช่นกัน”

กู่หยามุมปากกระตุก ใบหน้าดำคลํ้าเอ่ยว่า “พบหรือไม่พบ?”

“พบ!” มู่ชิงเกอตอบอย่างชัดเจน จากนั้นก็ลุกขึ้นมาจากเก้าอี้ จัดเสื้อผ้าของตนเอง

เฉินปี้เฉิงพยายามอย่างหนักในช่องว่างแห่งทดสอบ นางก็สมควรที่จะเอ่ยคำขอบคุณแก่เขา ส่วนหวงฝู่ฮ่วน ความเป็นไปขององครักษ์เขี้ยวมังกรของนาง ยังมีจ้าวหนานซิง ฟ่งอวี๋เฟย เจียงหลีและคนอื่นๆ นั้นเขาล้วนแต่รู้ดี

เมื่อได้รับคำตอบจากมู่ชิงเกอแล้ว กู่หยาก็หันกายเดินออกไป

ไม่นาน หวงฝู่ฮ่วนกับเฉินปี้เฉิงก็ถูกกู่หยานำขึ้นมาบนเขา มาถึงแท่นนอกตำหนัก

ที่นี่สามารถเรียกได้ว่าเป็นภูเขาที่งดงามแห่งหนึ่งที่ดูดุจดั่งสรวงสวรรค์

นำทั้งสองคนมาแล้ว กู่หยาก็หันกายจากไป

หวงฝู่ฮ่วนกับเฉินปี้เฉิงสบตากันแวบหนึ่ง หันมองไปซ้ายขวา เอ่ยกับเขาว่า “ถึงแม้จะไม่ใช่ครั้งแรกที่ขึ้นมาบนตำหนักหลีกง แต่พบเจอกับสถานการณ์แบบนี้ก็ถือว่าเป็นครั้งแรก”

ก่อนหน้านี้ พวกเขาล้วนแต่ต้องรออยู่ด้านนอกอย่างยาวนานถึงได้เข้าพบ

ไม่ ไม่สามารถพูดได้ว่าเข้าพบ เพียงแค่เปิดเส้นทางขึ้นสู่ยอดเขา ทำให้ทั้งตอนที่ขึ้นเขาและลงเขาก็เหมือนเดิม คือไม่อาจได้พบเจอมหาปราชญ์ ทำได้เพียงเดินไปในตำหนักหลีกงอย่างกระดากใจ ดูเหมือนคนไร้ตัวตน ใต้เท้าทมิฬทั้งสองก็ไม่ได้สนใจเขาเลย ดูเหมือนกับว่าเขาไม่ได้คงอยู่ ไหนเลยจะเหมือนดั่งเช่นวันนี้ ยังนำพวกเขาขึ้นมาบนเขาอีก?

คำพูดของหวงฝู่ฮ่วน เฉินปี้เฉิงไม่ได้ต่อคำ เขาทำเพียงยืนนิ่งๆ

รอไม่นานก็มีเสียงฝีเท้าดังเข้ามา

หวงฝู่ฮ่วนกับเฉินปี้เฉิงหันไปมองพร้อมกัน มองเห็นหญิงงามในชุดแดงผู้หนึ่ง ใบหน้างดงามไร้สิ่งใดเปรียบ

หว่างคิ้วฉายแววห้าวหาญ แม้ว่าจะไม่ใช่ครั้งแรกที่พบเจอถึงแม้ว่าจะรู้ว่านางเป็น ใคร แต่นัยน์ตาของพวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะสะท้อนแววตกตะลึงออกมา

นับจากที่มู่ชิงเกอออกมาจากช่องว่างทดสอบและถอดต่างหูแล้ว นางก็ไม่ได้สวมมันกลับอีก

ตามที่นางมอง ในเมื่อคนเหล่านี้รู้ความจริงแล้วว่าตนเองเป็นผู้หญิง แล้วนางจะปกปิดไปอีกทำไม? โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บางครั้งนางก็มีพฤติกรรมที่สนิทสนมกับ ซือมั่ว หากนางยังใช้เครื่องมือมายาปลอมตัวอีก แม้ว่าซือมั่วจะไม่รู้สึกรังเกียจ แต่ว่านางก็รู้สึกแปลกๆ อยู่ดี

ดังนั้นนางในตอนนี้จึงเป็นผู้หญิง

ยังคงเป็นชุดแดงที่คุ้นเคย ไม่มีความอ่อนช้อยเหมือนผู้หญิงทั่วไปแต่กลับดูคล่องแคล่วสบายตา ช่วงเอวของนางคาดเข็มขัดสะท้อนให้เห็นถึงเอวเพรียวบางของนาง และก็ทำให้สองขาของนางดูเรียวยาวขึ้น

ผมดำยาวยังคงถูกรวบสูง ใช้เพียงปิ่นปักผมเรียบง่ายปักเอาไว้ ไม่ได้ประดับตกแต่งมากมายเกินไป แต่กลับทำให้ใบหน้าที่งดงามของนางยิ่งดูดึงดูดขึ้นไปอีก

ตามการเคลื่อนไหวของนาง หยกที่นางผูกไวัที่เอวเพื่อประดับก็ไม่ได้เกิดเสียงดังสะท้อนแต่อย่างไร แต่เพิ่มความมีชีวิตชีวาขึ้นหลายเท่า

มู่ชิงเกอในแบบผู้หญิงก็ยังดูทะมัดทะแมงเช่นเดิม ไม่มีการตกแต่งหรือดูเสแสร้ง ความงดงามเช่นนี้ไม่เหมือนกับของผู้หญิงทั่วๆ ไป เป็นหนึ่งไม่มีสองทำให้คนยากที่จะลืมเลือน

ในตอนที่นางเดินไปถึงด้านข้างของทั้งสองคนก็พบว่าทั้งสองคนยังยืนอยู่กับที่ในท่าเดิม มุมปากก็อดไม่ได้ที่จะกระตุกเบาๆ ยกมือขึ้นแตะแก้มของตนเอง พึมพำออกมาว่า “ข้าเปลี่ยนเป็นผู้หญิงแล้วดูน่ากลัวถึงขนาดนั้นเชียวหรือ?”

ประโยคนี้ทำให้หวงฝู่ฮ่วนกับเฉินปี้เฉิงได้สติกลับมา

นางพูดว่าอะไร?

นางในแบบผู้หญิงทำให้คนหวาดกลัวอย่างนั้นหรือ?

นี่คิดไปคนละทางแล้ว!

‘หากเช่นนี้เรียกว่าทำให้คนหวาดกลัว เช่นนั้นผู้หญิงทุกคนในโลกก็ไม่อาจจะมองได้แล้ว!’ หวงฝู่ฮ่วนพ่นคำพูดออกมาในใจ

“แค่ก แค่ก” หวงฝู่ฮ่วนแกล้งไอขึ้นมา ปกปิดความคิดในใจของตนเอง ตั้งสติแล้วเขาถึงได้เอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “ถึงแม้จะรู้ว่าเจ้าเป็นผู้หญิงแต่การเรียกว่าคุณชายมู่ก็ดู เหมาะสมกับเจ้ามากกว่า หากจะให้ข้าเรียกเจ้าว่าคุณหนูมู่ ข้าก็…” พูดแล้ว เขาก็ส่ายหน้า

มู่ชิงเกอรีบเอ่ยว่า “อย่าเชียวนะ เจ้าพูดแล้วอึดอัด ข้าก็ฟังแล้วก็อึดอัด เจ้าพูดถูก ยังคงเรียกข้าว่าคุณชายมู่นั้นคุ้นปากดีแล้ว”

หวงฝู่ฮ่วนยิ้มๆ “อีกไม่นาน เรื่องราวของคุณชายมู่ที่ชื่อเสียงโด่งดังและแต่เดิมเป็นผู้หญิงก็จะต้องกระจายไปทั่วทั้งหลินชวน”

มู่ชิงเกอขมวดคิ้ว ในใจเอ่ยว่า ‘เกรงว่าจะเป็นความยุ่งวุ่นวายมากกว่า! ท่านปู่เคยพูดว่า รอให้สถานะของนางถูกเปิดเผยแล้วก็จะจัดตั้งเวทีเพื่อหาคู่ครองทั่วทั้งหลินชวน อา เกรงว่าซือมั่วจะต้องอยากฆ่าคนแล้ว!’

แผ่นหลังของนางเย็นเฉียบขึ้นมา

‘ดีที่ข้าจำต้องออกจากหลินชวน เรื่องที่ยุ่งวุ่นวายเหล่านี้หาข้าไม่เจอ หลังจากกลับมาแล้วค่อยรีบระงับการรนหาที่ตายของท่านปู่!’ ความคิดของมู่ชิงเกอลอยออกไป อีกด้านคิดรักษาเส้นทางของตนเอง อีกด้านคิดว่าควรจะให้องครักษ์เขี้ยวมังกรกลับไปส่งข่าวให้มู่ซงหรือไม่ว่า นางได้เลือกผู้ชายเองแล้ว ไม่จำเป็นต้องรบกวนท่านปู่

จนถึงตอนที่หวงฝู่ฮ่วนร้องเรียกนางสองครั้งแล้ว นางถึงรู้สึกตัว

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version