ตอนที่ 199-2
ตรงหน้ามีผู้สูงส่ง! สุนัขมากลวดลาย!
หอหลอมศาสตราตั้งอยู่ด้านทิศใต้ของแคว้นหรงในป่าเหยียน
อารมณ์ของมู่ชิงเกอแตกต่างจากครั้งแรกที่มาเมืองเยว่เฉิง
ตอนครั้งแรกที่มานั้น นางพาซางจื่อซูเดินทางจากโรงโอสถผ่านมา จุดมุ่งหมายก็คือพญาเพลิงระดับเทพฮุ้นหยวนในแม่นํ้าไร้พรมแดน และก็ยังเป็นที่นี่อีกที่นางกับซางจื่อซูพบกับติงเหม่าที่หื่นกระหาย แล้วก็เริ่มต้นความแค้นกับหอหลอมศาสตรา
จากนั้นนางก็แย่งพญาเพลิงระดับเทพฮุ้นหยวนได้ในแม่นํ้าไร้พรมแดน แล้วถูกหอหลอมศาสตราไล่ฆ่า พวกเขาไม่ได้โลภอยากได้เฉพาะพญาเพลิงระดับเทพฮุ้นหยวน แต่ยังโลภอยากได้ทวนหลิงหลงด้วย
การไล่ฆ่าตลอดทาง ทำให้นางหนีจากแคว้นหรงทางใต้ ไปทางตะวันตก เข้าสู่ทะเลแห่งความอ้างว้าง ไปถึงแคว้นกู่วู่
พอเผชิญหน้ากันหลายครั้ง ก็ยิ่งทำให้ความแค้นระหว่างพวกเขาและนางขยายใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ
จนถึงหลังจากนั้น โหลวเสวียนเถี่ยที่เป็นเจ้าสำนักหอหลอมศาสตราจึงต้องการเอาชีวิตของนาง ทำให้ความเกลียดชังนี้ไม่อาจเปลี่ยนแปลงหรือผ่อนเบาได้
โรงเตี้ยมแห่งหนึ่งในเมืองเยว่เฉิงเงียบสงบไม่มีคนสักคน
ประตูใหญ่ของโรงเตี้ยมปิดสนิท แขวนป้ายว่า ‘แขกเต็ม’ เอาไว้
แต่เห็นได้อย่างชัดเจนว่าด้านในไม่มีเงาคนแม้แต่คนเดียว แม้แต่เจ้าของร้านและลูกจ้างในร้านก็ไม่รู้ว่าไปอยู่ไหน
ชั้นสองตรงห้องติดหน้าต่าง ประตูหน้าต่างถูกเปิดออก สองขาพันเกี่ยวกันวางอยู่บนขอบหน้าต่างหันหน้าไปทางวิวทิวทัศน์ด้านนอก
ผลไม้ที่ถูกปอกเปลือกเรียบร้อยแล้วถูกส่งเข้าปากสีแดง เจ้าของริมฝีปากสีแดงอ้าปากกัดผลไม้และกลืนมันเข้าไปในปาก
หลังจากเคี้ยวและกลืน นางก็ขมวดคิ้วขึ้นเอ่ยว่า “เปรี้ยวเกินไปแล้ว”
ซือมั่วมองนางอย่างขบขัน ก้มหน้าลงในทันใด เลียเบาๆ บนริมฝีปากสีแดง แล้วก็รีบผละออกก่อนที่นางจะมีปฏิกิริยาตอบสนอง
มู่ชิงเกอจ้องมองเขาอย่างแค้นเคือง ซือมั่วเอ่ยตอบอย่างจริงจังว่า “อย่างนี้ถึงจะเปลี่ยนเป็นหวานขึ้นหน่อยใช่ไหม?”
“…” มุมปากของมู่ชิงเกอกระตุก ขบริมฝีปาก ไร้คำพูดที่จะเอ่ย
นางเอาหัวออก หลบสายตาอันเร่าร้อนของชายผู้นั้น ไม่ยอมให้เขามองเห็นตัวเองแก้มแดง
ท่าทางที่ดูเอียงอายของมู่ชิงเกอเป็นเรื่องยากที่จะพบเจอ
ดวงตาของซือมั่วเต็มไปด้วยแสงระยิบระยับดุจดวงดาว ฉายแววอ่อนโยน นัยน์ตาสีอำพันสะท้อนเพียงแต่ภาพเงาร่างของมู่ชิงเกอ
เขาวางผลไม้ในมือลง ยืดแขนออกไปโอบกอดมู่ชิงเกอขึ้นมาวางไว้บนหน้าตักของตนเอง
มู่ชิงเกอชะงัก ดวงตาที่ฉายแววตกตะลึงคู่นั้น ดุจดั่งกวางที่ไร้เดียงสาถูกทำให้ตกใจ ทำให้ดวงตาของซือมั่ว กลายเป็นเข้มขึ้นมา
“เสี่ยวเกอเอ๋อร์…” เสียงของซือมั่วกลายเป็นแหบพร่าขึ้น นิ้วเรียวยาวลูบไล้ไปบนริมฝีปากสีแดงของมู่ชิงเกอ การสัมผัสบนริมฝีปากทันใดนั้นทำให้ทั้งร่างของมู่ชิงเกอสั่นสะท้านขึ้นมา
ผิวของนางรุ่มร้อนขึ้นอย่างรวดเร็ว ราวกับว่าตกอยู่ในเตาไฟ
เคาะนิ้วมือที่เคลื่อนไหวแปลกๆ ของซือมั่ว นางเอ่ยขึ้นอย่างกระดากใจว่า “เจ้าอย่าเร่งร้อน”
ซือมั่วหัวเราะขึ้นเบาๆ ฝังศีรษะไว้ที่ซอกคอของมู่ชิงเกอ เอ่ยอย่างกระตือรือร้นว่า “ใช่แล้ว! เสี่ยวเกอเอ๋อร์ของข้าโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ข้ากลัวจริงๆ ว่าจะควบคุมตัวเองไม่อยู่”
มู่ชิงเกอตัวแข็งทื่อขึ้นเพราะคำพูดของซือมั่ว
นางรีบหนีออกจากอ้อมกอดของซือมั่ว สร้างระยะห่างจากเขา แล้วเอ่ยเตือนอย่างเคร่งขรึมว่า “อา เรื่องนั้น ถึงแม้ว่าข้าจะตกลงคบกับเจ้าแล้วก็จริง แต่ว่าพวกเรา ยังคงต้องไปทีละก้าว ไม่อาจจะพัฒนาอย่างเร็วเกินไปได้”
“อย่างเช่นอะไร?” ใบหน้าอันหล่อเหล่าของซือมั่วฉายแววไร้เดียงสา
“อย่างเช่น…” สีหน้าของมู่ชิงเกอกลายเป็นกระดากใจ นางไม่รู้จริงๆ ว่าควรจะพูดอย่างไรดี สำหรับการจัดการเรื่องราวรักใคร่ของชายหญิง นางเป็นมือใหม่จริงๆ เพียงแต่รู้สึกว่า การพัฒนาความรู้สึกระหว่างคนสองคนต้องค่อยเป็นค่อยไปถึงจะมั่นคง อีกอย่างนางก็จำได้ว่ามีเพื่อนร่วมรบในชีวิตที่ผ่านมา เคยพูดถึงปัญหาทางความรักส่วนตัวไว้ว่า สำหรับผู้ชายนั้น ยิ่งได้ง่ายมากเท่าไหร่ ก็จะไม่รักษา ยิ่งได้ยากเท่าไหร่ ถึงจะรักษา
“อย่างเช่นว่า พวกเราทั้งสองคน สามารถจูงมือ กอด หรือจูบเบาๆ อะไรพวกนี้ ส่วนอื่นๆ ไว้ค่อยพูดกันทีหลัง!” มู่ชิงเกอข่มความรู้สึกกระดากใจ แข็งใจพูดออก มา
ซือมั่ว ‘อา’ ขึ้นมา ยื่นมือออกไปคว้ามือของนาง ในตอนที่มู่ชิงเกอกำลังจะขัดขืน ก็ท่องออกมาประโยคหนึ่ง “จูงมือ”
ชั่วขณะนั้นเอง มู่ชิงเกอก็ชะงัก ประโยคนี้เหมือนกำลังแนะนำ ทำให้นางหยุดขัดขืน จากนั้นมู่ชิงเกอก็ถูกซือมั่วโอบเข้าไปในอ้อมอกอีกครั้ง นั่งอยู่บนตักของเขา ข้างหู มีลมหายใจอันร้อนระอุของผู้ชายกระซิบเข้ามาเบาๆ ว่า “กอด”
“จากนั้น…” ซือมั่วก็ใช้นิ้วเรียวยาว ช้อนคางของมู่ชิงเกอขึ้นมา ในตอนที่นางเบิกดวงตากว้าง ใช้ริมฝีปากที่เย็นเฉียบของตนเอง ประทับลงไปบนริมฝีปากสีแดงของนาง
มู่ชิงเกอสัมผัสได้ถึงริมฝีปากของซือมั่วที่แนบชิดติดกับริมฝีปากของตนเองได้อย่างชัดเจน
อ่อนโยนมาก นุ่มมาก เย็นเล็กน้อย แต่ก็แฝงกลิ่นหอมชนิดหนึ่งที่นางไม่รู้จักมาด้วย
ในตอนที่มู่ชิงเกอสติหลุด ซือมั่วก็ใช้ลิ้นเปิดปราการของนางเข้าไป จูบนางอย่างลึกลํ้ามากยิ่งขึ้น
จูบในครั้งนี้ ลึกลํ้ายิ่งกว่าจูบครั้งก่อนตอนอยู่ในสุสานเทวะเสียอีก ซือมั่วก็จูบอย่างทะนุถนอม ดูเหมือนกับว่าเขากำลังลิ้มรสชาติที่หวานลํ้าที่สุดในโลกอยู่
หวานล้ำ หอมหวาน ทำให้คนหลงใหล
ในตอนที่มู่ชิงเกอค่อยๆ เคลิ้มไปกับการจูบดังกล่าว ซือมั่วกลับแยกออกอย่างกะทันหัน
สายลมเย็นพัดผ่านริมฝีปากสีแดงของมู่ชิงเกอ ความเยียบเย็นทำให้นางได้สติขึ้นมา
ดวงตาที่สดใสของนางจ้องมองซือมั่วฉายแววขาดทุน
ซือมั่วมองนางอย่างจริงจัง เอ่ยตอบว่า “จูบเบาๆ!”
มู่ชิงเกอชะงักไปก่อน จากนั้นก็ได้สติขึ้นมาในทันที ใบหน้าเปลี่ยนไปชั่วขณะ!
ดี! ผู้ชายคนนี้ใช้คำพูดของนางมาย้อนนาง!
ช่างน่าเจ็บใจนัก!
ดวงตาของมู่ชิงเกอหรี่เล็กลงอย่างอันตราย ดุจดั่งหมาป่าที่หิวโหย สองแขนจับแก้มอันหล่อเหลาของซือมั่ว เล็งไปที่ริมฝีปากสีแดงเหมือนลูกเชอร์รี่ของเขาจากนั้นก็ออกแรงกัด
ริมฝีปากของซือมั่วรู้สึกเจ็บชะงักไปครู่หนึ่ง แต่กลับไม่ได้ขัดขืน ปล่อยให้มู่ชิงเกอระบายอารมณ์ จนถึงตอนที่มีรสเลือดอยู่ในปากของทั้งสองคน มู่ชิงเกอถึงได้ปล่อยฟัน สร้างระยะห่างระหว่างทั้งสองคน
เลียๆ ที่มุมปาก ในปากของนางยังคงมีกลิ่นเลือดของซือมั่วอยู่ในนั้น
มองที่ผู้ชายคนนั้นอีกครั้ง บนริมฝีปากสีแดงเหมือนลูกเชอร์รี่ ทิ้งรอยฟันลึกเอาไว้รอยหนึ่ง บนนั้นยังมีรอยเลือดติดอยู่ ทำให้ดูน่าสนใจเป็นพิเศษ
ซือมั่วมองนาง นัยน์ตาสีอำพันดูลํ้าลึกขึ้น ในส่วนที่ลึกที่สุดดูเหมือนจะมีทุ่งกุหลาบสีแดงอยู่
ถูกเขาจ้องมอง มู่ชิงเกอก็รู้สึกว่าคอแห้งปากแห้งขึ้นในทันที
อุณหภูมิรอบด้านเปลี่ยนเป็นร้อนระอุขึ้นมาก ทำให้นางรู้สึกร้อน
แม้ว่าจะมีสายลมเย็นพัดผ่านหน้าต่างเข้ามา ก็ไม่สามารถดับความร้อนภายในร่างกายขณะนี้ได้
ในขณะที่บรรยากาศระหว่างคนทั้งสองกลายเป็นกระดากอายและอบอุ่นขึ้นเรื่อยๆ ทันใดนั้นนอกประตูก็มีเสียงเคาะสองครั้งดังเข้ามาทำลายบรรยากาศทั้งหมด ภายในห้อง
มู่ชิงเกอรีบกระโดดออกมาจากตัวของซือมั่ว พิงที่หน้าต่าง
ซือมั่วมองนางแวบหนึ่ง ยกมือขึ้นลูบเบาๆ บนริมฝีปากของตนเอง บาดแผลที่ถูกมู่ชิงเกอกัดก็หายไปอย่างน่าอัศจรรย์
ไม่มีสิ่งผิดปกติแล้ว ซือมั่วถึงได้เอ่ยว่า “เข้ามา” เพียงแต่ว่านํ้าเสียงของเขาดูเย็นชา ฟังแล้วดูเหมือนว่าอยากจะฆ่าคน
ทำไมถึงเป็นเช่นนี้? ถึงมู่ชิงเกอจะทึ่มแค่ไหนก็เข้าใจดี
นางข่มกลั่นเสียงหัวเราะ เลิกคิ้วมองเขาอย่างท้าทาย
ผลักประตูเข้ามานั้นเป็นกู่หยาและกู่เย่ พวกเขาทั้งสองเพิ่งจะเข้ามา ก็รู้สึกได้ว่าในห้องมีบางอย่างไม่ถูกต้อง
อีกอย่าง เจ้านายของตนเองยังมีท่าทีที่อยากจะฆ่าคน นี่มันเกิดอะไรขึ้น?
อา…
กู่เย่ฉลาดลอบเก็บเท้าที่ยื่นออกไปกลับ ปล่อยให้กู่หยาโผล่ออกมาด้านหน้า
รู้สึกถึงความเคลื่อนไหวของกู่เย่ ก็สายไปเสียแล้ว กู่หยาทำได้เพียงลอบโกรธแค้น ทำแข็งใจ เอาข้อมูลที่สืบมาดีแล้วยื่นออกไป
“ท่านประมุข นายหญิงน้อย นี่เป็นข้อมูลที่นายหญิงน้อยต้องการ” กู่หยาเอ่ย
พวกเขามาถึงเมืองเยว่เฉิงเมื่อครึ่งวันก่อน เดิมทีสมควรจะจัดการเรื่องราวของหอหลอมศาสตราให้เสร็จ แล้วกลับไปที่อาณาจักรเซิ่งหยวนเลย แต่ว่าอยู่ดีๆ มู่ชิงเกอกลับให้พวกเขาสืบหาข้อมูลอย่างหนึ่งก่อน
ใช้เวลาครึ่งวัน พวกเขาสืบได้ข้อสรุป มู่ชิงเกอรับข้อมูล รีบกวาดตามองรอบหนึ่งอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็เอากลับคืนให้กู่หยา เอ่ยกับพวกเขาทั้งสองคนว่า “ใช่แล้ว จำคนเหล่านี้เอาไว้ ตอนที่บุกหอหลอมศาสตรา หากว่าพบเจอก็ไม่ต้องฆ่า”
ไม่ฆ่า!
ซือมั่วเลิกคิ้วขึ้นเบาๆ
กู่หยาขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ “ไม่ฆ่าอย่างนั้นหรือ?”
“เพราะเหตุใด?” กู่เย่ก็ส่งเสียงมาจากด้านหลัง
ในที่พวกเขาสองคนคิด เพียงแค่ฆ่าก็สามารถลดทอนความวุ่นวายลงได้แล้ว เหตุใดจึงต้องเมตตากับคนบนรายชื่อนี้ด้วย?
มู่ชิงเกอหยิบผลไม้ที่ถูกซือมั่วปอกเปลือกเอาไว้ก่อนหน้านี้ขึ้นมา เดิมคิดว่าจะกินสักคำ แต่เมื่อคิดถึงรสชาติที่เปรี้ยวเมื่อครู่แล้ว นางก็เศร้าใจวางลงไว้ที่เดิม ซือมั่วขบขันเลือกผลไม้ชนิดใหม่แทนนาง ท่าทางที่ดู ‘เอาใจ’ นั้น ทำให้กู่หยาและกู่เย่ทนมองไม่ได้ สำหรับข้อสงสัยของทั้งสองคน มู่ชิงเกออธิบายว่า “หอหลอมศาสตรากับสำนักหมื่นอสูรมีความแตกต่างกัน ภายในนั้นมีบางคนไม่เคยได้ออกจากหอหลอมศาสตราเลย เพียงแค่ตั้งใจหลอมอาวุธยุทธภัณฑ์ ไม่จำเป็นต้องฆ่าพวกเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หอหลอมศาสตราก็ไม่ใช่แท่งเหล็ก แม้ว่าพวกเขาจะรู้ว่าข้าฆ่าเจ้าสำนักของพวกเขา คนที่มีใจคิดจะล้างแค้นถึงจะมีก็มีไม่กี่คน”
“เช่นนั้นเหตุใดจึงต้องไปบุกอีก?” กู่หยาเอ่ยถามประโยคหนึ่ง แล้วก็ลอบมองแวบหนึ่งไปที่มหาปราชญ์ผู้นั่งอยู่ข้างๆ ตั้งอกตั้งใจปอกเปลือกผลไม้ มุมปากของเขากระตุก ทนไม่ได้ที่จะดูต่อ
มู่ชิงเกอยิ้มแล้วเอ่ยว่า “คนบางคนของหอหลอมศาสตรา จะไม่มาตามล้างแค้นข้าเพียงเพราะเรื่องการตายของโหลวเสวียนเถี่ย แต่ว่า ไม่อาจจะหลบเลี่ยงคนบางคน ที่ทำเพื่ออำนาจ เพื่อครอบครองจิตใจคน ลอบทำบางเรื่องลับหลัง ตระกูลหลานล่มสลายแล้ว สำนักหมื่นอสูรก็ล่มสลายแล้ว เหตุใดจึงต้องปล่อยผ่านหอหลอมศาสตรา? ดังนั้นหอหลอมศาสตราจำเป็นต้องไป คนก็ต้องฆ่า เพียงแต่ว่ามีบางคนที่ไม่เคยออกสู่ยุทธภพ พวกหมกมุ่นในการหลอมอาวุธก็แล้วไปเถอะ ถือซะว่า เหลือคนรุ่นหลังในการหลอมอาวุธไว้ให้แก่หลินชวน”