ตอนที่ 369
บ้า บ้าไปแล้วจริงๆ!
เชือกที่ถูกฉีกออกกลายเป็นสี่ห้าส่วนตกกระจายลงสู่พื้น ส่วนเว่ยมั่วลี่กลับคำรามออกมา พุ่งเข้ามาทางทั้งสี่คน เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ทำให้ไม่มีใครหันไป ต่อว่าจีเหยาฮั่วได้ทัน เพราะเขาพูดเองว่าเชือกนี้เป็นสมบัติของตระกูล แม้แต่สัตว์อสูรวิญญาณที่ร้ายกาจก็ยังไม่สามารถสลัดหลุดออกได้ไม่ใช่หรือ?
“แยกหลบ!” นัยน์ตาของมู่ชิงเกอฉายแววหนักอึ้งขึ้นรีบพูดกับคนที่เหลือ ขณะเดียวกัน นางก็คว้าข้อมือของซีเซียนเสวี่ยแล้วพุ่งตัวไปอีกข้าง จีเหยาฮั่วกับอึ้งเจ๋อก็หลบไปอีกข้าง ปฏิกิริยาที่รวดเร็วของทั้งสี่คน ทำให้เว่ยมั่วลี่คว้าได้อากาศเปล่า และยิ่งโมโหมากกว่าเดิม
“แค่ก แค่ก” ซีเซียนเสวี่ยใช้มือกุมหน้าอก ไอออกมาเบาๆ
มู่ชิงเกอหันไปมองนางแล้วเอ่ยถามว่า “ไม่เป็นไรใช่ไหม”
ซีเซียนเสวี่ยเม้มริมฝีปาก เผยรอยยิ้มให้เขา “ข้ายังไหวอยู่ ไม่ต้องสนใจข้า”
แต่มู่ชิงเกอกลับเอ่ยเสียงเรียบขึ้นว่า “ภายในสามวันต่อจากนี้เจ้าห้ามใช้พลังจิต”
ซีเซียนเสวี่ยยิ้มอย่างขมขื่น
ในสถานการณ์เช่นนี้หากไม่ใช้พลังจิตแล้ว มิใช่เป็นการนอนรอความตายหรือ?
ขณะที่นางกำลังคิดอยู่นั้น เสียงของมู่ชิงเกอก็ดังขึ้นมาอีกครั้งว่า “เจ้าหาที่หลบก่อน ที่นี่มอบให้เป็นหน้าที่ของพวกเราจัดการเอง”
นางเงยหน้าขึ้นมองไปยังนัยน์ตาคู่นั้นของมู่ชิงเกอด้วยความตกตะลึง ความเรียบสงบทำให้รู้สึกสงบใจได้อย่างประหลาด
ซีเซียนเสวี่ยเหม่อลอยไปเล็กน้อย พยักหน้าอย่างไม่รู้สึกตัว
เสียงของการต่อสู้ดังขึ้นมาอีกครั้งทำให้นางได้สติ ตอนนี้นางถึงได้พบว่าจีเหยาฮั่วและอิ๋งเจ๋อได้เข้าต่อสู้กับเว่ยมั่วลี่แล้ว
“เหอ เหอ เมื่อครู่ไม่รู้ว่าเจ้าเป็นใคร แต่ตอนนี้รู้แล้วว่าเจ้าเป็นอันดับหนึ่งบนทำเนียบชิงอิงผู้ลึกลับคนนั้น นี้ทำให้ข้าอยากจะขอคำชี้แนะแล้ว” จีเหยาฮั่วยิ้มแล้วเอ่ยออกมา
อิ๋งเจ๋อก็พูดตามว่า “ได้ต่อสู้กับอันดับหนึ่ง โอกาสนี้หาได้ยากยิ่งนัก”
ถึงแม้ว่าทั้งสองจะพูดเหมือนสบายๆ แต่มู่ชิงเกอและซีเซียนเสวี่ยก็ล้วนแต่รู้ดีว่าพวกเขาไม่ใช่คู่ต่อผู้ของเว่ยมั่วลี่ที่กำลังบ้าคลั่ง
มู่ชิงเกอไม่ได้คิดมากจะเข้าไปช่วยในทันที เพียงแต่นางเพิ่งจะขยับตัวก็พบว่าข้อมือของตนเองถูกดึงเอาไว้นางหันกลับไปมองก็พบว่าที่กำลังดึงตนเองอยู่นั้นคือซีเซียนเสวี่ย
สายตาของซีเซียนเสวี่ยดูประหลาดไปเล็กน้อย ไม่ได้เรียบสงบนิ่งดุจนํ้าดังเดิม แต่มีร่องรอยของความอ่อนโยนแฝงอยู่
นางมองมู่ชิงเกอแล้วเอ่ยเสียงเบาว่า “ระวังตัวด้วย”
คำกล่าวเตือนที่อ่อนโยนเช่นนี้ ดุจดั่งภรรยากำลังแสดงความเป็นห่วงเป็นใยต่อสามีที่กำลังจะออกไปข้างนอกเลย
มู่ชิงเกอรู้สึกแปลกๆ ภายในใจเกิดความรู้สึกไม่สบายใจ
แต่ก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี จึงได้แต่เพียงพยักหน้าเงียบๆ ดึงข้อมือของตนเองกลับออกมาจากมือของนาง จากนั้นนางก็สะกิดสองเท้าลอยพลิ้วไปทางนั้น ส่วนในมือขวาก็มีแสงสีทองเงินวาบขึ้น กุมทวนหลิงหลงไว้ในมือ
นางไม่ได้เข้าสู่การต่อสู้ในทันที แต่เป็นจับตามองอยู่ด้านข้าง
พัดในมือของจีเหยาฮั่ว เป็นยุทธภัณฑ์ชั้นมหาเทพ ทุกๆ ครั้งที่สะบัดออกไปล้วนแต่เกิดพลังอันแข็งแกร่ง
แต่ร่างกายของเว่ยมั่วลี่กลับดูคล้ายโลหะ เมื่อพัดโจมตีออกไปโดนบนตัวเขา ก็จะได้ยินเพียงแต่เสียงกระทบโลหะดังออกมาและเขาก็ไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรเลย
ปัง ปัง ปัง!
เว่ยมั่วลี่ไม่มีอาวุธเพราะร่างกายของเขาคืออาวุธที่ดีที่สุดของเขา
ภายในโลกแห่งยุคกลาง ใครๆ ต่างก็รับรู้เรื่องนี้ดี แต่ว่าคงไม่มีใครคิดถึงว่า เว่ยมั่วลี่ที่บ้าคลั่งจะมีร่างกายที่แข็งแกร่งเหมือนถูกปกคลุมด้วยโลหะเช่นนี้ แม้แต่ ยุทธภัณฑ์ชั้นมหาเทพก็ยังหมดปัญญา
อิ๋งเจ๋อถูกโจมตีจนลอยปลิวกระอักเลือดกลางอากาศ พุ่งตกไกลออกไป
นัยน์ตาของมู่ชิงเกอฉายแวววาววาบ มองไปทางอิ๋งเจ๋อ ส่วนเวลานี้ เว่ยมั่วลี่ก็กำลังใช้หมัดหนึ่งชกเข้าใส่หน้าอกของจีเหยาฮั่ว ทำให้ตรงหน้าอกของเขายุบลงไปส่วนหนึ่ง ทั้งร่างงอดุจกุ้ง ตกไปยังพื้นเหมือนดาวตก มู่ชิงเกอสะบัดทวนหลิงหลง ช่วยเขาผ่อนแรง ทำให้เขาไม่ได้รับผลกระทบจากการโจมตี
“แค่ก แค่ก ข้าสู้เขาไม่ได้!” จีเหยาฮั่วยืนอยู่บนพื้น มือกุมหน้าอก สายตาฉายแววไม่ยินยอม แต่ก็ไม่อาจไม่เอ่ยยอมรับได้
มู่ชิงเกอขวางอยู่ตรงหน้าของเขา เหลือบมองเว่ยมั่วลี่ แล้วเอ่ยกับจีเหยาฮั่วว่า “ต่อสู้ไม่ได้นั้นเป็นเรื่องปกติ เขาอยู่ระดับสีทองชั้นสอง แพ้ให้แก่เขาก็ไม่ถือว่าเสียหน้า”
จีเหยาฮั่วกัดฟันเอ่ยว่า “ไม่เพียงเท่านี้พอเขาเป็นบ้าก็ดูเหมือนจะแข็งแกร่งขึ้น เจ้าระวังตัวด้วย”
มู่ชิงเกอพยักหน้าเงียบๆ นางเอ่ยกับจีเหยาฮั่วว่า “เจ้าได้รับบาดเจ็บหนัก ไม่ต้องสู้ต่อแล้ว มอบเขาให้เป็นหน้าที่ของข้าเอง เจ้าไปดูแลซีเซียนเสวี่ยกับอิ๋งเจ๋อเถอะ”
จีเหยาฮั่วพยักหน้า เอ่ยด้วยท่าทางที่ดูจริงจังว่า “ทางที่ดีที่สุดเจ้าพยายามอย่าให้เขาเข้าใกล้ยังมีอีก ถึงอย่างไรเขาก็คือเว่ยมั่วลี่ ไม่สามารถฆ่าเขาให้ตายได้ มิเช่นนั้นคงยากที่จะตอบคำถามของตระกูลเว่ยได้ พยายามหาวิธีตีเขาให้สลบก่อน แต่หากว่าไม่ไหวจริงๆ แล้วค่อยฆ่า”
เมื่อพูดถึงคำสุดท้ายนั้น นํ้าเสียงของจีเหยาฮั่วก็แฝงไว้ด้วยไอสังหาร
ในใจของมู่ชิงเกอก็ไม่ได้มีความคิดจะฆ่าเว่ยมั่วลี่อยู่แล้ว นางยังอยากจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเขากันแน่ เพราะถึงอย่างไรพวกเขาทั้งหมดก็ต้องเข้ามาในสนามรบโบราณอยู่แล้ว หากสามารถรู้ได้ว่าอะไรที่ทำให้เว่ยมั่วลี่ เป็นเช่นนี้ได้ ก็ถือว่าเป็นการเตือนอย่างหนึ่งสำหรับพวกเขา เพื่อป้องกันไม่ให้เข้าไปแล้วถูกโจมตีโดยไม่รู้อะไรเลย!
ทั้งสองคนพูดคุยกันแลกเปลี่ยนกันอย่างรวดเร็ว ในตอนที่เว่ยมั่วลี่พุ่งเข้ามานั้น มู่ชิงเกอก็ยกทวนหลิงหลง ขึ้นไปรับ
เพียงนางขยับ บนร่างของนางก็เกิดเปลวไฟลุกท่วมขึ้นชั้นหนึ่ง
เพียงพริบตาเดียว เปลวเพลิงก็หายไป ชุดเกราะเพลิงอันงดงามปรากฎอยู่บนร่างของนาง ทำให้นางยิ่งดูองอาจกล้าหาญมากขึ้น
ทวนเงินเกราะเพลิง ผมยาวของมู่ชิงเกอวาดเป็นโค้งเงางามอยู่กลางอากาศ เรือนร่างเพรียวบางพุ่งเข้าโจมตีเว่ยมั่วลี่
จีเหยาฮั่วกินยาแล้วก็มายังข้างกายของซีเซียนเสวี่ย ในตอนนี้อิ๋งเจ๋อก็เดินมาแล้วเช่นกัน
ทั้งสามคนมองมู่ชิงเกอและเว่ยมั่วลี่ที่กำลังต่อสู้กันอยู่
ในตอนที่ปลายทวนของมู่ชิงเกอสะบัดเกิดเป็นแสงสีทองบริสุทธิ์ออกมานั้น ซีเซียนเสวี่ยก็เอ่ยอย่างตกตะลึงขึ้นว่า “ตอนนี้เขาทะลวงถึงระดับสีทองแล้วงั้นหรือ? ในการประมือครั้งก่อน เขาเพิ่งอยู่เพียงระดับสีเงินชั้นสามเท่านั้นเอง!”
นางตกตะลึงความเร็วในการฝึกปรือของมู่ชิงเกอและก็ยิ่งตกตะลึงกับพรสวรรค์ของเขา
จีเหยาฮั่วสังเกตได้ถึงคำว่า ‘ประมือครั้งก่อน’ ที่นางพูดออกมา ชั่วขณะนั้นความอยากรู้อยากเห็นในใจของเขาก็ลุกโชนขึ้น เขามองไปทางซีเซียนเสวี่ย เอ่ยถามอย่างเอาใจว่า “ธิดาเทพ เจ้ารู้จักกับชิงเกอมาก่อนแล้วงั้นหรือ? ทั้งยังเคยประมือกัน? ที่ข้าหมายถึงก็คือเมื่อสองปีก่อนก่อนหน้าครั้งที่ลั่วซิงเฉิงน่ะ”
ซีเซียนเสวี่ยกวาดตามองใบหน้าของเขา แต่กลับเม้มปากแน่นไม่ยอมพูด นี่ทำให้จีเหยาฮั่วรู้สึกหดหู่มาก รบเร้าต่อไป “ธิดาเทพ เจ้ากับชิงเกอนั้นเคยมีเรื่องราวอะไรกัน พูดมาให้ฟังเถอะ พวกเราล้วนแต่เป็นพี่น้องของชิงเกอ จะไม่พูดจาเหลวไหลออกไปอย่างแน่นอน! ข้าสาบานได้”
ซีเซียนเสวี่ยยังคงไม่สนใจเขา
อิ๋งเจ๋อทนฟังต่อไปไม่ไหว เอ่ยห้ามเขาว่า “พี่น้องของเจ้ากำลังต่อสู้เป็นตายอยู่ เจ้ายังมีกะจิตกะใจมาพูดเรื่องเหล่านี้อีก”
สีหน้าจีเหยาฮั่วดูกระอักกระอ่วนไปเล็กน้อย ยิ้มให้ซีเซียนเสวี่ยเล็กน้อย ก่อนจะถลึงตาใส่อิ๋งเจ๋อแวบหนึ่ง ฝืนข่มเปลวเพลิงแห่งความอยากรู้อยากเห็นให้ดับลงไป
มู่ชิงเกอกับเว่ยมั่วลี่ต่อสู้กันไม่หยุด ต่อสู้จากบนฟ้าลงมาบนดิน แล้วก็จากพื้นดินขึ้นสู่ท้องฟ้า นางสัมผัสได้ถึงความร้ายกาจของร่างกายอันแข็งแกร่งดั่งโลหะของเว่ยมั่วลี่ บนผิวของเขาวาบแสงสีทองขึ้นมา ยิ่งทำให้นางแน่ใจว่าเว่ยมั่วลี่นั้นมีรากวิญญาณทองโดยกำเนิด!
หมัดหนักชกเข้ามายังทวนหลิงหลงของมู่ชิงเกอ พละกำลังอันมหาศาลนี้ทำให้มู่ชิงเกอต้องถอยหลังออกไปอย่างต่อเนื่อง ทิ้งระยะห่างระหว่างทั้งสองคน นัยน์ตาของมู่ชิงเกอฉายแววสงบ กำลังและความสามารถในการป้องกันของเว่ยมั่วลี่ทำให้ในใจของนางเกิดความคิดอยากจะลองดู
ทันใดนั้นนางก็เก็บทวนหลิงหลง ใช้มือเปล่าหมัดเปล่า พุ่งเข้าไปหาเว่ยมั่วลี่
“ชิงเกอทำอะไรนะ! ทำไมถึงได้เก็บทวนหลิงหลงไป!” สีหน้าของจีเหยาฮั่วเปลี่ยนไปอย่างรุนแรง
นัยน์ตาของซีเซียนเสวี่ยก็ฉายแววเป็นกังวล ดูเหมือนว่านางจะกลั้นลมหายใจ สายตาไม่ยอมละไปจากร่างของมู่ชิงเกอแม้แต่วินาทีเดียว เกิดความกลัวว่าจะพลาดอะไร ไปและก็กลัวว่าเขาจะได้รับบาดเจ็บ
อิ๋งเจ๋อขมวดคิ้วขึ้นริมฝีปากเม้มแน่น ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้ส่งเสียงออกมา แต่ก็เป็นห่วงมู่ชิงเกอมากเช่นเดียวกัน ในใจตำหนิที่เขาวู่วามทำอะไรเสี่ยงๆ!
แต่ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นกังวลอย่างไร มู่ชิงเกอก็เข้าใจดีว่าตนเองกำลังทำอะไรอยู่
นางพุ่งตัวไปที่ด้านหน้าของเว่ยมั่วลี่ สบสายตาเข้ากับนัยน์ตาดุดันที่ซ่อนอยู่หลังเส้นผมที่ยุ่งเหยิงของเขา ภายในดวงตาของทั้งคู่ล้วนแต่มีจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ลุกโชน สิ่งเดียวที่แตกต่างก็คือ นัยน์ตาของนางไม่มีไอสังหารอย่างเลือดเย็นเช่นของเว่ยมั่วลี่
ปัง ปัง ปัง!
หมัดเท้าปะทะกัน หมัดของมู่ชิงเกอและหมัดของเว่ยมั่วลี่ปะทะเข้าหากัน แต่กลับไม่สามารถแยกออกได้ว่าใครสูงใครตํ่า
ส่วนกำปั้นของเว่ยมั่วลี่เมื่อตกเข้าใส่ร่างกายของมู่ชิงเกอนั้นก็ถูกเกราะเพลิงของนางดูดกลืนหายไปอย่างไร้ร่องรอยในพริบตา ไม่สามารถทำให้นางบาดเจ็บได้แม้แต่นิดเดียว
การโจมตีไร้ผลก็ยิ่งกระตุ้นให้เว่ยมั่วลี่บ้าคลั่งมากยิ่งขึ้น
เพียงแต่มู่ชิงเกอกลับเผยรอยยิ้มที่มุมปาก กระบวนท่าเปลี่ยนเป็นเร็วยิ่งขึ้น
ทั้งสองคนต่อสู้กันจนแยกไม่ออก คนบนพื้นทั้งสามคน ทำได้เพียงแต่มองเงาร่างของทั้งสองที่วาบวับไปมาไม่หยุด มองไม่ออกเลยว่าใครได้เปรียบหรือเสียเปรียบอยู่
นัยน์ตาอันสดใสของมู่ชิงเกอสะท้อนท่าทางอันบ้าคลั่งของเว่ยมั่วลี่
นางรวบรวมพลังใส่ในสองมือ โจมตีเข้าไปบนร่างของเว่ยมั่วลี่ไม่หยุด นางต้องทำลายพลังป้องกันของเขาก่อนถึงจะสามารถสยบเขาได้!
ทันใดนั้นมู่ชิงเกอก็เปลี่ยนหมัดทั้งคู่เป็นท่าดวงตาเฟิ่ง*[1] ใช้วิชาหมัดที่ได้เรียนรู้มาจากชีวิตก่อนหน้านี้ รวบรวมพลังทั้งหมดเข้าไปบนหมัดดวงตาเฟิ่ง พุ่งมันเข้า ไปบนตำแหน่งหัวใจของเว่ยมั่วลี่อย่างต่อเนื่อง
นางออกท่าอย่างถนัดมือ ไม่ว่าจะเป็นจากมุมไหนๆ ล้วนตกลงไปบนตำแหน่งเดียวกันเสมอ
พริบตาเดียว นางก็โจมตีไปยังเว่ยมั่วลี่นับพันหมัด ส่วนลมจากหมัดของเว่ยมั่วลี่ก็พัดจนผมยาวสลวยของนางปลิวว่อน และหมัดของเขาก็ตกเข้าใส่ร่างกายของนางไม่หยุด พลังของหมัดส่วนมากที่ตกลงบนลำตัวของนาง ล้วนแต่ถูกเกราะเพลิงดูดกลืนไป ส่วนพลังหมัดที่ตกลงบนแขนขาของนางนั้น ด้วยร่างกายของนางในตอนนี้ก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกอะไร
แครก!
เสียงแตกเบาๆ ดังขึ้นข้างหูของมู่ชิงเกอ
นี่ทำให้นัยน์ตาของนางยิ่งเปล่งประกายมากขึ้น นางใช้มือจับชายเสื้อของเว่ยมั่วลี่ไว้ไม่สนใจการโจมตีจากเขา ส่วนอีกมือหนึ่งก็ใช้หมัดดวงตาเฟิ่งโจมตีเข้าไปยังจุดเดียวอย่างต่อเนื่อง
แครก!
มีอีกเสียงดังขึ้น และก็ดังกว่าเสียงก่อนหน้านี้อยู่บ้าง
เว่ยมั่วลี่ส่งเลียงร้องอย่างเจ็บปวดออกมา แสงสีทองบนร่างถูกมู่ชิงเกอทำลายหายไปอย่างไร้ร่องรอย
หลังจากทำลายพลังป้องกันบนร่างของเว่ยมั่วลี่ไปแล้ว มู่ชิงเกอก็รุกไล่ออกหมัดชกไปเต็มแรงที่เว่ยมั่วลี่ เว่ยมั่วลี่ถูกมู่ชิงเกอชกไปหนึ่งหมัดนั้นแล้วก็อ้าปากกระอักเลือดออกมา ทั้งตัวพุ่งออกไปเหมือนลูกปืน
ส่วนมู่ชิงเกอก็รีบไล่ตามไปในทันที ลงมืออีกครั้ง…
“ชิงเกอถึงกับมีพลังมากมายถึงขนาดนี้เชียวหรือ!” จีเหยาฮั่วตกตะลึงมองไปทางอิ๋งเจ๋อ แล้วก็เสริมไปหนึ่งประโยคว่า “เกรงว่าแม้แต่สายเลือดอันทรงพลังของเจ้าก็ยังเทียบไม่ได้!”
สามารถใช้หมัดเปล่าทำลายพลังป้องกันของเว่ยมั่วลี่ได้!
ส่วนในตอนนี้ซีเซียนเสวี่ยกลับพูดออกมาประโยคหนึ่งว่า “อันดับหนึ่งบนทำเนียบชิงอิงคงต้องเปลี่ยนคนแล้ว”
จีเหยาฮั่วกับอิ๋งเจ๋อได้ฟังแล้วในใจก็เกิดความคิดขึ้นพร้อมกัน
ใช่! ต้องเปลี่ยนคนแล้ว!
ตอนที่เพิ่งจะรู้จักกับมู่ชิงเกอนั้น เขาเพิ่งอยู่ระดับไหนกัน? เพียงเวลาสั้นๆ ไม่ถึงสามปี ตอนนี้เขากลับได้สลัดพวกเขาทุกคนทิ้งไว้ด้านหลังแล้ว
“ดูท่าแล้ว ข้าต้องตั้งใจฝึกฝนมากยิ่งขึ้น ไม่เช่นนั้นคงถูกตัวประหลาดอย่างชิงเกอทำให้แพ้อย่างทุลักทุเลกว่านี้เป็นแน่” จีเหยาฮั่วถอนหายใจกล่าวออกมา
อิ๋งเจ๋อนิ่งเงียบไปไม่พูดจา
ความแข็งแกร่งของมู่ชิงเกอ สามารถพูดได้ว่าได้โจมตีเขาหนักที่สุด แต่ว่าเขากลับไม่ได้รู้สึกท้อแท้ กลับกัน เพราะว่ามู่ชิงเกอแข็งแกร่ง ก็ยิ่งกระตุ้นความรู้สึกอยากเอาชนะของเขาให้เพิ่มมากขึ้น ในระหว่างที่ทั้งสามคนพูดกัน มู่ชิงเกอก็ได้พาเว่ยมั่วลี่กลับมาแล้ว
เมื่อสองเท้าของนางตกลงพื้นก็วางเว่ยมั่วลี่ไว้อีกทาง เกราะเพลิงบนร่างก็ซ่อนเข้าไปอยู่ในร่างกายของนางภายในพริบตา
“เจ้าทำอะไรกับเขา?” จีเหยาฮั่วมองไปยังเว่ยมั่วลี่ที่ไม่รู้สึกตัว แล้วเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ
มู่ชิงเกอตอบเสียงเรียบว่า “วางใจเถอะ ยังไม่ตาย”
อิ๋งเจ๋อนั่งยองๆ ลงไป สำรวจลมหายใจของเว่ยนั่วลี่ ถึงได้เอ่ยกับจีเหยาฮั่วและซีเซียนเสวี่ยว่า “เพียงแค่สลบไป”
ความตกตะลึงบนใบหน้าของจีเหยาฮั่วยิ่งเพิ่มขึ้นไปอีก มองไปยังมู่ชิงเกอแล้วเอ่ยว่า “เจ้าถึงกลับตีอันดับหนึ่งบนทำเนียบชิงอิงให้สลบลงไปได้…เจ้าเจ๋งมาก!” พูดแล้ว เขาก็ยกนิ้วหัวแม่มือให้มู่ชิงเกอ
มู่ชิงเกอกลับไม่ได้มีอารมณ์ไปไร้สาระกับเขา นางเอ่ยกับทั้งสามคนด้วยท่าทีที่เคร่งเครียดว่า “เมื่อครู่นี้ข้าตรวจดูเล็กน้อยพบว่า สติของเขาผิดปกติ ดูเหมือนว่าจะเป็นเพราะถูกพิษ”
“ถูกพิษ?”
“เขาถูกพิษ!”
ทั้งสามคนมองเขาอย่างตกตะลึง
มู่ชิงเกอพยักหน้า ขมวดคิ้วเอ่ยว่า “พิษชนิดนี้ข้าไม่เคยพบเห็นมาก่อน ดูเหมือนว่าจะใช้สำหรับโจมตีสติโดยเฉพาะ คนที่ถูกพิษก็จะเป็นเหมือนเขา กลายเป็นคนบ้า ค่อยๆ สูญเสียนิสัยดั้งเดิมไป สูญเสียความเป็นมนุษย์ ส่วนสุดท้ายจะเป็นอย่างไรนั้น ข้าก็ไม่รู้ แต่ข้าคิดว่าอาจจะทำให้จากคนๆ หนึ่งกลายเป็นสัตว์อสูรได้”
คำพูดของนางทำให้ทั้งสามคนนิ่งเงียบลง
ในใจของพวกเขาล้วนแต่ตื่นตกใจ คนที่แข็งแกร่งเช่นเว่ยมั่วลี่ก็ยังถูกทำร้ายในที่นี้ได้ ข่าวนี้เหมือนกับเป็นการโจมตีอย่างหนักสำหรับพวกเขาทั้งๆ ที่ยังไม่ได้เริ่มฝึกฝนอย่างเป็นทางการ
“มีทางช่วยเหลือเขาหรือไม่?” อิ๋งเจ๋อเอ่ยปากถามออกไป
ซีเซียนเสวี่ยเองก็พยักหน้าเอ่ยว่า “ถึงแม้ว่าจะไม่อาจรักษาให้หาย สามารถทำให้เขาฟื้นขึ้นมาได้สติสักครู่ก็ดี อย่างน้อยพวกเราก็จะได้ถามเขาให้ชัดเจนว่าเขาไปพบกับอะไรมากันแน่ แล้วเพราะเหตุใดจึงถูกพิษ หลังจากรู้สาเหตุแล้วก็จะได้หาทางแก้ไข พวกเราก็จะได้ระมัดระวังกันหน่อย”
มู่ชิงเกอค่อยๆ พยักหน้า นิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วก็เอ่ยกับทั้งสามคนว่า “การรักษาให้หายขาดนั้น ตอนนี้ยังไม่มีวิธี แต่ว่าการให้เขาได้สติขึ้นมาเล็กน้อยนั้นยังถือว่าพอทำได้อยู่”
ประโยคนี้ทำให้ทั้งสามคนยินดีขึ้นมาหน่อย ทันใดนั้นจีเหยาฮั่วก็โพล่งออกมาประโยคหนึ่งว่า “ชิงเกอ เจ้ารู้วิชาการแพทย์ด้วยหรือ! อย่าบอกนะว่ายาโอสถ ระดับเทวะที่ประมูลอยู่ในลั่วซิงเฉิงนั้นเจ้าเป็นคนปรุงขึ้นมา”
ส่วนมู่ชิงเกอก็เพียงแต่ส่งสายตาด่าว่า ‘โง่เง่า’ ไปให้เขา
[ดวงตาเฟิ่ง คือท่าทางการออกหมัดโดยกำมือให้แน่น แล้วให้นิ้วชี้ข้อที่สองยื่นเด่นออกมาด้านหน้าแล้วต่อยออกไป ท่านี้ใช้เพื่อโจมตีจุดต่างๆ ของร่างกาย ใช้ ทะลวงความแข็งแกร่ง]