ตอนที่ 577
คนแรกของฮ่วนเยวี่ย
ท้องฟ้าเหนือลาน กลม เมฆหมอกเซียนลอยสลับ เทือกเขาไกลออกไปล้วนถูกซ่อนอยู่ใต้กลีบเมฆ
นี่คือพื้นที่มงคลของเหล่าเซียน ขณะนี้ท้องฟ้าเต็มไปด้วยดอกบัวสีทองที่ส่งแสงระยิบระยับ
ดอกบัวสีทองเหล่านี้ไม่ใช่ดอกบัวสีทองธรรมดา แต่เป็นดอกบัวสีทองแห่งหลักธรรม
ดอกบัวสีทองทุกดอก เป็นตัวแทนของความเข้าใจหนึ่งหลักธรรม
แผ่นศิลาจารึกนี้ ซุกซ่อนหลักธรรมนับหมื่นประการ แต่ไม่เคยมีใครสามารถเข้าใจทั้งหมื่นหลักธรรมนี้ได้มาก่อน ดอกบัวสีทองบนท้องฟ้าบานไปแล้วกี่ดอกกัน
ไม่มีใครนับได้ถ้วน เพียงแต่แน่ใจได้ว่ามันยังไม่หมด…
เนื่องจากแสงสีทองยังพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าไม่หยุด ตอนนี้กำหนดเวลาทดสอบผ่านไปเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น
“ลูก… ลูกพี่ไม่ใช่มนุษย์จริงๆ ด้วย” ถงเถิงมองดูจนเหม่อลอยไป
สามดอกบัวสีทองของเขานั้น เวลานี้เล็กจนเหลือเพียงผงธุลีเมื่อเทียบกับหมื่นดอกบัวเบ่งบานพร้อมกันตอนนี้
“นี้… น่ากลัวเกินไปแล้ว ความเข้าใจนี้ต้องน่ากลัวขนาดไหนจึงจะสามารถมาถึงระดับนี้ได้”
บนอัฒจันทร์ เหล่าลูกศิษย์ดินแดนฮ่วนเยวี่ย ต่างลุกขึ้นยืนมองมู่ชิงเกอที่หลับตานั่งขัดสมาธิอยู่กลางลาน
“เขาถึงขนาดหลับตาด้วย”
“หรือว่า เขาจดจำหลักธรรมที่นี่ทั้งหมดไว้ในใจแล้ว”
“เป็นไปไม่ได้ไม่มีใครสามารถจดจำหลักธรรมที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วในเวลาอันสั้นเช่นนี้ได้ทั้งหมดหรอก”
“แตกไม่ใช่จะเป็นไปไม่ได้ หากปัญญาเทวะของเขาเหนือกว่าคนทั่วไปไปถึงขั้นราชาเทวะแล้วน่ะนะ”
ซี๊ด…
ปัญญาเทวะระดับราชาเทวะ นั่นคือปัญญาเทวะขั้นศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่หรือ หน้าใหม่คนหนึ่งที่เพิ่งบินขึ้นมาจากโลกข้างล่าง หน้าใหม่ที่เพิ่งเดินทางออกจากเสี่ยวเทียนอี้ยังไม่ทันได้เข้าฝึกฝนบำเพ็ญกับเผ่าเทพ จะมีปัญญาเทวะแข็งแกร่งถึงขั้นศักดิ์สิทธิ์ได้หรือ
การคาดเดานี้ทำเอาลูกศิษย์ดินแดนฮ่วนเยวี่ยนับไม่ถ้วนต่างอดไม่ได้ที่จะต้องถอนหายใจ
มีแต่ความตื่นตกใจในแววตา
บทสรุปนี้พวกเขาไม่อาจเชื่อได้และไม่อยากเชื่อด้วย
“ความเข้าใจของเขาสูงเท่าไรกันแน่ สภาพการณ์เช่นนี้ ข้าเข้ามาอยู่ในดินแดนฮ่วนเยวี่ยได้ห้าพันปีแล้วยังไม่เคยเห็นมาก่อนเลย”
“หึ สิบลูกศิษย์ใหญ่ตำหนักหน้าขณะผ่านด่านนี้ยังไม่เปล่งประกายงดงามเช่นนี้เลย”
“อย่าว่าแต่สิบลูกศิษย์ใหญ่ตำหนักหน้าเลย แม้แต่ครั้งราชาเทวะเองก็ยังไม่เป็นถึงขนาดนี้เลย”
“เขาเป็นใครกันแน่ มีที่มาอย่างไร”
“ปีศาจเช่นนี้ วันนี้มาถึงดินแดนฮ่วนเยวี่ยพวกเราก็ไม่รู้ว่าจะร้ายหรือดี”
ห้องที่จุดตะเกียงหยกในดินแดนฮ่วนเยวี่ย ผู้เฒ่าเฝ้าตะเกียงยืนอยู่ที่ประตูใบหน้าเขาถูกครอบคลุมด้วยแสงสีทองจากที่ไกลออกไปดูแล้วช่างศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก
เขามองดูขุนเขาภายในเมฆหมอก แสงสีทองที่ส่องฉายออกสู่ภายนอก มือแตะหนวดเครา อมยิ้ม พลางผงกศีรษะ “ดอกบัวสีทองบานสะพรั่ง แสงสาดส่องทั่วฟ้าดิน ดูแล้วในอีกไม่นานพวกเราแผ่นดินเทพตะวันออกจะมีอีกหนึ่งราชาเทวะถือกำเนิดขึ้นแล้ว”
แสงสีทองจากดอกบัวสีทองค่อยๆ แผ่ขยาย จากสถานที่ทดสอบไปยังดินแดนฮ่วนเยวี่ยทั้งหมด ทำให้ผู้คนต่างออกมาดูกัน
จุดสูงสุดในดินแดนฮ่วนเยวี่ย ในวังราชาเทวะที่เป็นตัวแทนอำนาจสูงสุดและฐานะสูงสุดนั้นชาย ที่สวมเสื้อคลุมสีม่วงคนหนึ่งเดินลงมาจากบัลลังก์เทพอย่างเชื่องช้า
เสื้อคลุมสีม่วงของเขาลากยาว ค่อยๆ เคลื่อนไปบนพื้นที่ปูด้วยหยกเทพ ผมยาวของเขาอ่อน นุ่มเป็นเงางามสยายอยู่ด้านหลัง มีเพียงปิ่นปักผมหยกสีม่วงอันหนึ่งที่ใช้ปักไว้ตามใจ
เขายืนอยู่ในจุดย้อนแสงทำให้มองเห็นใบหน้าได้ไม่ชัดเจน เห็นเพียงเงาแผ่นหลังที่กว้างใหญ่แข็งแรง รูปร่างที่สูงใหญ่ เพียงยืนอยู่เช่นนี้ ก็สามารถทำให้เกิดบารมีแก่ผู้พบเห็นจนยากที่จะเปรียบได้ ทำให้อดไม่ได้ที่ต้องอ่อนน้อม
ด้านหลังของเขา มีคนยืนอยู่สิบคน
ศิษย์พี่จวงซานที่รับมู่ชิงเกอขึ้นเรืออากาศมายังแผ่นดินเทพตะวันออกขณะที่เขาเพิ่งออกมาจากบ่อบินก็อยู่ในนั้นด้วย ในบรรดากลุ่มคนเขายืนอยู่ท้ายสุด
สิบคนนี้ ชายเก้าหญิงหนึ่ง ทุกคนต่างมีสง่าราคี ใบหน้างามสดใส พวกเขาก็คือสิบลูกศิษย์ใหญ่ตำหนักหน้าดินแดนฮ่วนเยวี่ยนั้นเอง
แสงสีทองที่แผ่ขยายต่อเนื่องไม่หยุดหย่อน จากภายนอกค่อยๆ ส่องเข้ามายังวังราชาเทวะโอบล้อมตัวพวกเขาเอาไว้
สายตาทั้งสิบนั้นต่างเผยอารมณ์เหลือเชื่อ
ชายในชุดตัวยาวสีม่วงก็คือเจ้าของดินแดนฮ่วนเยวี่ย ราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยนั่นเอง เขาราวกับรับรู้ถึงอาการตกตะลึงของสิบลูกศิษย์ใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังจึงค่อยๆ หันศีรษะกลับมาเผยให้เห็นถึงใบหน้าด้านข้างที่หล่อเหลาไร้ที่ตินั้น
ใบหน้าเพียงด้านข้างนี้ก็เพียงพอแล้วที่จะสยบฝูงชนได้ เมื่อเทียบกับซือมั่วแล้วดูไม่ด้อยกว่าเลยแม้แต่น้อย เพียงแต่เขายังขาดเสน่ห์ดึงดูดที่ร้ายกาจราวกับดอกอิงซู่ของซือมั่วไปหลายส่วน
เขาดูคล้ายกับเทวรูปที่ให้คนเคารพบูชามากกว่า ไม่ใช่คนเป็นๆ ที่มีชีวิตอยู่
“ดูแล้ว สิบลูกศิษย์ใหญ่ตำหนักหน้าของข้า คงจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงเร็วๆ นี้แล้ว” เขาเปิดปาก เสียงไพเราะน่าฟังอย่างถึงที่สุด แต่คำที่เอ่ยออกมากลับเต็มไปด้วยอารมณ์นึกสนุก ทำให้สิบคนที่ยืนอยู่ด้านหลังตึงเครียดขึ้นมาในทันที ลอบตัดสินใจว่าจะต้องหมั่นบำเพ็ญอย่างรวดเร็วเพื่อจะได้รักษาฐานะของตัวเองไว้
มู่ชิงเกอจมลึกอยู่ในหลักธรรมโดยไม่รู้ตัวแม้แต่นิดว่าตัวเองได้ทำให้แดนฮ่วนเยวี่ยเกิดสะเทือนไปหมด
ภายในใจนาง ทบทวนความเข้าใจในหลักธรรมเหล่านี้ไม่ได้หยุด
นางรู้ว่า หลักธรรมเหล่านี้ล้วนดึงมาจากหลักธรรมใหญ่ ความเข้าใจนั้นยังพูดได้ว่าเป็นเพียงใจความในหลักธรรมเบื้องต้นเท่านั้น ยังห่างไกลจากการวิธีการเข้าใจจริง ใช้จริง สำนึกจริงอีกมากมายนัก
แต่ไม่มีปัญหา นางจะถือว่าการทดสอบนี้เป็นการบำเพ็ญครั้งหนึ่ง
กำหนดเวลาทดสอบ เหลืออีกไม่มากแล้ว
เวลานี้ ผนังหินไม่มีแสงสีทองพุ่งออกมาอีกแล้ว ดอกบัวสีทองบนท้องฟ้าค่อยๆ สลายไป สุดท้ายแล้ว หมื่นดอกบัวก็รวมเป็นหนึ่งเดียวกลายเป็นดอกบัวสีทองใหญ่โตมโหฬารไม่มีสิ่งใดเทียบ ระยิบระยับจับตา
“ถึงเวลาแล้ว…”
เสียงหนักแน่นราวเสียงระฆังดังขึ้นอีกครั้งหนึ่ง เสียงนั้นทำให้มู่ชิงเกอลืมตาขึ้น ขณะที่นางลืมตา ดอกบัวสีทองกลางอากาศก็กลายเป็นฝุ่นสีทองร่วงหล่นลงมา แล้วค่อยๆ สลายหายไป
ดินแดนฮ่วนเยวี่ยกลับคืนสู่ความสงบเงียบอีกครั้ง
แต่ฉากนี้ได้ฝังอยู่ในจิตใจลูกศิษย์ดินแดนฮ่วนเยวี่ยทุกคนไปตราบนานเท่านาน
เขาเป็นใครกัน
คำถามนี้จะยังคงวนเวียนอยู่ในจิตใจพวกเขา
ท่ามกลางการจับจ้องจากคนทั้งหมด มู่ชิงเกอเดินออกจากกลางลานด้วยท่าทางปกติและหยุดลงตรงหน้าถงเถิง
ถงเถิงตกตะลึงได้สติจากความตกตะลึง เขามองมู่ชิงเกอ นอกจากความนับถือบูชาแล้ว เขาไม่ สามารถหาคำอื่นใดที่จะมาแสดงความรู้สึกของตัวเองได้อีก
“ดอกบัวทองบานสะพรั่ง ทุกหลักธรรมรวมเป็นหนึ่ง ความเข้าใจของเจ้าไม่มีใครเทียบได้อีกสองด่านที่เหลือไม่ต้องสอบอีก นับแต่นี้เป็นต้นไป เจ้าก็คือลูกศิษย์ที่ถูกต้องของดินแดนฮ่วนเยวี่ย” เสียงนั้นไม่มีอารมณ์ความรู้สึกใดๆ เจือปนอยู่แม้แต่นิด ราวกับว่าการมีอยู่ของมันก็เพียงเพื่อประกาศคำสั่งแล้วคำสั่งเล่าเท่านั้น
ไม่ต้องสอบอีกหรือ
มู่ชิงเกอเลิกคิ้ว นางน้อมรับด้วยความยินดี
ส่วนถงเถิงกลับหน้าเศร้า
มู่ชิงเกอไม่ต้องสอบแล้ว ไม่ได้หมายความว่า เขาไม่ต้องสอบ
ป้ายในมือทั้งคู่ส่องแสงประกายขึ้นมา ทั้งคู่หายตัวไปจากที่เดิมพร้อมกัน แต่เมื่อมู่ชิงเกอปรากฎกายขึ้นอีกครั้ง นางกลับปรากฎตัวอยู่ข้างตำหนักหน้าใหญ่โตโอฬารแห่งหนึ่ง
ข้างกายนางไม่มีถงเถิงอยู่ด้วย ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าเขาจะต้องเข้ารับการทดสอบต่ออีกแน่นอน
“เจ้ารออยู่ที่นี่ก่อน รอเพื่อนทดสอบเสร็จ” เสียงนั้นพูดจบแล้วก็หายไปอีก
มู่ชิงเกอยืนอยู่ในตำหนัก ไม่ได้มองสำรวจ รอบๆ แต่ดื่มดํ่าอยู่กับหลักธรรมที่ได้รับ นางยุ่งมาก ดังนั้นพอมีเวลาบำเพ็ญ นางก็จะไม่ยอมพลาดไปแม้แต่วินาทีเดียว
ไม่นานนัก นางก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังเข้ามา
มู่ชิงเกอมองไปเห็นคนคนหนึ่งกำลังเดินมาทางนาง ไม่ใช่ถงเถิงแต่ก็เป็นคนคุ้นเคย
มองดูเขาแล้วมู่ชิงเกอก็ยิ้มน้อยๆ “ศิษย์พี่จวงซาน ไม่ได้พบกันนานเลย”
“ที่ แท้เป็นเจ้านี่เอง ข้ายังว่าใครช่างทำเรื่องใหญ่โตได้ขนาดนี้” จวงซานเดินเข้ามาเห็นมู่ชิงเกอก็ตกใจไปครู่หนึ่ง
แววตาของมู่ชิงเกอฉายแววประหลาดใจแวบหนึ่ง นางดื่มดํ่าอยู่ในหลักธรรมไม่รู้เลยว่าตัวเองทำอะไรลงไปเพราะเมื่อนางลืมตาตื่นดอกบัวสีทองก็สลายไปแล้ว ดังนั้นนางจึงไม่รู้เรื่องอะไรทั้งสิ้นว่าตัวเองได้สร้างเรื่องน่าตกตะลึงอะไรให้ดินแดนฮ่วนเยวี่ย รวมไปถึงราชาเทวะบ้าง
จวงซานเห็นความสงสัยในสายตามู่ชิงเกอก็ไม่อธิบายอะไร เพียงแค่ยิ้มพูดกับเขาว่า “เมื่อก่อนข้าประเมินเจ้าตํ่าไป”
มู่ชิงเกอยิ้มน้อยๆ สั่นศีรษะช้าๆ
ความเห็นของคนอื่นที่มีต่อนางนั้นนางไม่เคยใส่ใจ แม้จะเห็นความสำคัญของนางหรือดูถูกนางจะมีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับนางเล่า
“ได้ยินว่าเจ้ายังมีเพื่อนอีกคน” จวงซานถามราวกับกำลังคุยเล่น
มู่ชิงเกอไม่รู้ว่าทำไมเขาจึงปรากฎตัวอยู่ที่นี่ แต่ตนเคยประทับใจในตัวเขาไม่น้อยและคำถามก็ไม่ใช่ว่ามีอะไรที่ตอบไม่ได้ ตังนั้นนางจึงผงกศีรษะว่า “ถูกแล้ว ยังมีอีกคน เขากำลังทดสอบอยู่”
จวงซานผงกศีรษะ “พูดไปแล้ว เจ้ากับข้านับว่ามีวาสนากัน ข้าเป็นผู้ชี้นำของเจ้า ครั้งนี้ก็เป็นศิษย์พี่ชี้นำของเจ้า”
หืม?
ผู้ชี้นำนั้นมู่ชิงเกอเข้าใจ แล้วศิษย์พี่ชี้นำ หมายความว่าอะไรกัน
มู่ชิงเกอทำหน้าสงสัย
“เจ้ายังไม่รู้ระเบียบดินแดนฮ่วนเยวี่ย ลูกศิษย์ใหม่ทุกคนจะต้องมีศิษย์พี่ชี้นำ ชี้นำทาง รับผิดชอบเรื่องทั้งหมดของพวกเจ้า ช่วยให้พวกเจ้าปรับตัวในการใช้ชีวิตในดินแดนฮ่วนเยวี่ย เรียนรู้การบำเพ็ญของเผ่าเทพ คล้ายกับผู้ปกครอง แน่นอนหากพวกเจ้าทำผิดก่อเรื่อง ข้าซึ่งเป็นผู้ปกครองก็ต้องรับโทษด้วย” จวงซานอธิบายให้มู่ชิงเกอฟัง
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง” มู่ชิงเกอเข้าใจแจ่มแจ้ง
การจัดการเช่นนี้ดีมากจริงๆ ลดความยุ่งยากไปได้มาก ตนก็ไม่ต้องยุ่งยากวุ่นวาย เสียเวลาไปเปล่าๆ
“ตอนนี้ก็แค่รอผลของเพื่อนเจ้าคนนั้น หากเขาผ่านการทดสอบการเข้าเป็นลูกศิษย์ดินแดนฮ่วนเยวี่ย ต่อจากนี้ไปข้าก็จะเป็นศิษย์พี่ชี้นำของพวกเจ้าทั้งสองคน หากเขาไม่สามารถผ่านการทดสอบได้ข้าก็จะรับผิดชอบเจ้าเพียงคนเดียว” จวงซานกล่าว
ไม่พบกันสองปี จวงซานยังคงสุภาพอ่อนโยนเช่นเดิม ให้ความรู้สึกสบายอกสบายใจ
”ศิษย์พี่จวงซาน ไม่ทราบว่าศิษย์พี่เฟิ่งซิ่งเป็นอย่างไรบ้าง” มู่ชิงเกอถามขึ้นก่อน นางยังจำได้ว่าครั้งนั้นหากไม่ใช่เฟิ่งซิ่งนางอาจไม่ได้ขึ้นเรืออากาศของแผ่นดินเทพตะวันออก
จวงซานยิ้มบอกว่า “เขาสบายดีมาก ระยะนี้กำลังปิดประตูบำเพ็ญเพื่อทะลวงขอบเขต ดังนั้นเจ้า…”
มู่ชิงเกอผงกศีรษะอย่างเข้าใจ
ทั้งคู่ต่างคุ้นเคยกันทั้งยังมีความรู้สึกที่ดีต่อกัน ดังนั้นจึงพูดคุยกันอย่างผ่อนคลาย ไม่ได้รู้สึกว่า
เวลาเดินช้าจนเกินไป
ไม่รู้รออยู่นานเท่าไร มู่ชิงเกอก็รู้สึกว่าอากาศข้างกายเกิดความเปลี่ยนแปลง มีคนมาปรากฎขึ้นที่ข้างตัวนาง พอคนคนนั้นปรากฎตัวขึ้นมาแล้ว ร่างกายก็เซไปมาเล็กน้อย
มู่ชิงเกอรีบยื่นมือไปพยุงเขาไว้ ถามว่า “ถงเถิงไม่เป็นไรนะ”
ถงเถิงมีอาการอิดโรยแต่ยังคงโบกมือให้มู่ชิงเกอ สื่อว่าตนไม่เป็นไร
มู่ชิงเกอขมวดคิ้วหยิบยาเม็ดรักษาอาการบาดเจ็บที่ดินแดนฮ่วนเยวี่ยให้แต่แรกออกมายัดใส่ปากถงเถิง ยาเม็ดของถงเถิงนั้นได้ใช้ไประหว่างทางแล้ว ส่วนของนางยังไม่ได้ใช้ หนึ่งคือไม่ต้องใช้ สองคือไม่จำเป็น
การที่นางนำยาเม็ดของตัวเองให้ถงเถิงกิน กลับทำให้จวงซานที่อยู่ข้างๆ เลิกคิ้วขึ้นนิดหนึ่ง