Skip to content

พลิกปฐพี 578

ตอนที่ 578

นี่เป็นรากวิญญาณที่ใช้การไม่ได้จริงหรือ

เมื่อกินยาเข้าไป แล้วสีหน้าของถงเถิงก็ดูดีขึ้นมากจนสามารถเอ่ยปากพูดได้

คำพูดแรกของเขาก็คือ “ลูกพี่ ข้าถงเถิงไม่ได้ทำให้ลูกพี่เสียหน้า ผ่าน…ผ่านแล้ว”

“เยี่ยมมาก” มู่ชิงเกอยิ้มเอ่ย

จวงซานมองพวกเขาสองคน สุดท้ายแล้วก็มองไปที่มู่ชิงเกอ “เจ้าไม่ได้ใช้ยาเลยหรือ”

มู่ชิงเกอผงกศีรษะ ตอบสบายๆ ว่า “ไม่ได้พบอันตรายอะไรระหว่างทาง ไม่ได้รับบาดเจ็บจึงไม่ได้ใช้”

คำอธิบายของนาง ทำให้จวงซานไม่จำเป็นต้องเอ่ยถามต่ออีก

จวงซานมองถงเถิงพลางถามว่า “ข้าได้ยินว่า เดิมเจ้าต้องไปดินแดนจั๋วอวี่”

สีหน้าถงเถิงเปลี่ยนไปนิดหนึ่ง แต่ก็ยังคงผงกศีรษะ “ขณะที่ข้าบินขึ้นมา มีคนดินแดนจั๋วอวี่มา รับข้า เพียงแต่ข้าไม่อยากไปดินแดนจั๋วอวี่จึงอยู่ที่เทียนหยาจวีระยะหนึ่ง ภายหลังพบลูกพี่รู้สึกว่าดินแดนฮ่วนเยวี่ยน่าจะดีกว่ามากจึงตามเขามาด้วย”

จวงซานผงกศีรษะช้าๆ “เอาละ ไม่ว่าเมื่อก่อนเป็นเช่นไร เวลานี้ เจ้าก็เป็นลูกศิษย์ดินแดนฮ่วนเยวี่ยแล้ว จะต้องทำหน้าที่ลูกศิษย์ที่ดี สิ่งที่ควรระวังจะต้องระวัง ความคิดที่ไม่ควรมีก็อย่าได้มี”

ความหมายที่แฝงไว้ด้วยคำเตือนนั้นถงเถิงเข้าใจชัดเจน เขากัดฟันเอ่ยรับรองกับจวงซานว่า “ขณะนี้ข้าเป็นลูกศิษย์ดินแดนฮ่วนเยวี่ยแล้ว ลูกพี่อยู่ที่ไหน ข้าก็จะอยู่ที่นั้น”

คำรับรองนี้ฟังเผินๆ เหมือนไม่มีอะไร แต่ภายในซ่อนเร้นอะไรไว้ มู่ชิงเกอฟังออก แต่จวงซานฟังไม่ออก

ไม่ใช่ว่าจวงซานโง่ เพียงแต่เขารู้สึกว่ามู่ชิงเกอเป็นลูกศิษย์ดินแดนฮ่วนเยวี่ยแล้ว ย่อมต้องอยู่ที่ดินแดนฮ่วนเยวี่ย ถงเถิงว่าจะติดตามมู่ชิงเกอก็ไม่ได้ทำผิดอะไร

เขาผงกศีรษะบอกถงเถิงว่า ”ข้าเป็นศิษย์พี่ชี้นำของพวกเจ้าสองคน ข้าชื่อว่าจวงซาน ทีหลังเจ้าเรียกข้าว่าศิษย์พี่จวง หรือเรียกว่าศิษย์พี่จวงซานก็ได้ แล้วแต่สะดวก”

จากนั้น เขาก็อธิบายว่าศิษย์พี่ชี้นำคืออะไรให้ถงเถิงรู้

“ที่แท้คือศิษย์พี่จวงซาน คารวะศิษย์พี่ ข้าชื่อถงเถิง ต่อไปโปรดช่วยชี้แนะด้วย ข้ารับรองว่าจะไม่ทำให้ศิษย์พี่ต้องเดือดร้อน” ถงเถิงรีบบอก

จวงซานยิ้มผงกศีรษะ “พวกเจ้าตามข้ามา ข้าจะพาพวกเจ้าไปที่พัก จะได้ถือโอกาสทำความคุ้น เคยดินแดนฮ่วนเยวี่ยด้วย ยังมีพวกระเบียบบางอย่างที่ต้องบอกพวกเจ้า”

พูดแล้วเขาก็หมุนตัวไปนำทางที่ด้านหน้า ส่วนมู่ชิงเกอกับถงเถิงก็เดินตามหลังเขา

“เดี๋ยวข้าจะนำพวกเจ้าไปทดสอบระดับพลังก่อน จะได้ลงทะเบียนไว้ด้วยเลย” จวงซานพูดแล้วก็หยุดกะทันหันหันมามองมู่ชิงเกอ สายตาฉายแววครุ่นคิดแล้วถอนสายตาออกเดินต่อไปข้างหน้า

เมื่อครู่นี้ เขาอยากสัมผัสระดับพลังของมู่ชิงเกอดู แต่กลับไม่สามารถสัมผัสอะไรได้เลย

นี่ทำให้ประหลาดใจมาก

เขาไม่รู้ว่าหลังจากมู่ชิงเกอออกจากเทียนหยาจวีแล้วก็มักจะปกปิดระดับพลังของตัวเองจนติด เป็นนิสัย วิธีปกปิดของนางนั้นได้รับการสอนมาจากซือมั่ว คนทั่วไปย่อมยากที่จะดูออกได้

“ในดินแดนฮ่วนเยวี่ย ลูกศิษย์แบ่งออกเป็นลูกศิษย์เสื้อเขียว ลูกศิษย์เสื้อขาว ลูกศิษย์ขั้นถํ้าวิญญาณ สุดท้ายก็คือลูกศิษย์ใหญ่ตำหนักหน้า ขั้นจิตวิญญาณขั้นห้าลงไปเป็นเสื้อเขียว ขั้นห้าขึ้นไปเป็นเสื้อขาว หากเข้าถึงขั้นถํ้าวิญญาณแล้วสามารถสวมใส่เสื้อผ้าได้ตามใจ นี่เป็นระเบียบ ไม่ทำไม่ได้” ระหว่างการเดิน จวงซานก็อธิบายระเบียบของดินแดนฮ่วนเยวี่ยไปเรื่อยๆ

มู่ชิงเกอก้มศีรษะมองชุดแดงที่ตัวเองใส่จนชิน เอ่ยบ่นอยู่ในใจ ‘หมายความว่า ต้องรอให้ทะลวงขอบเขตเข้าถึงขั้นถํ้าวิญญาณก่อนจึงจะกลับมาใส่ชุดแดงได้ มิน่าเล่า ครั้งก่อนนางเห็นสวีปิงใส่ชุดกระโปรงเขียว’

“ครั้งที่พวกเราทดสอบความเข้าใจหลักธรรม ลูกศิษย์ที่นั่งอยู่ที่นั่นต่างเป็นลูกศิษย์เสื้อขาว หมายความว่าพวกเขาต่างบำเพ็ญถึงขั้นจิตวิญญาณขั้นห้าขึ้นไปทั้งนั้น” ถงเถิงอดไม่ได้ที่จะแลบลิ้น

เวลานี้เขาเป็นเพียงขั้นจิตวิญญาณชั้นสาม ในหมู่คนใหม่ถือว่าคุณภาพเยี่ยมแล้ว แต่อยู่ในดินแดนฮ่วนเยวี่ยยังเป็นได้เพียงลูกศิษย์เสื้อเขียวเท่านั้น

เสื้อเขียว…เขายังคงรู้สึกว่าเสื้อขาวดูดีกว่าเสื้อเขียว

ถงเถิงเบะปาก

“ในดินแดนฮ่วนเยวี่ย ลูกศิษย์ต่างบำเพ็ญกันเอง หากไม่เข้าใจสามารถสอบถามศิษย์พี่ชี้นำ แน่นอนว่าหลังจากจัดที่ทางให้พวกเจ้าแล้วเสร็จ ข้าก็จะสอนวิธีบำเพ็ญของเผ่าเทพให้พวกเจ้า ในเขตลูกศิษย์มีหอเคล็ดวิชาอยู่ พวกเจ้าสามารถไปเปิดอ่านได้ตลอดเวลา แต่ต้องระวังอย่าได้ใฝ่สูงเกินเหตุ ให้รู้จักประมาณตนเอง ปูพื้นฐานให้ดีจึงจะสำคัญที่สุด ข้าเห็นลูกศิษย์ไม่น้อยโลภ อยากจะได้เคล็ดวิชาชั้นสูง มองข้ามชั้นและความสามารถของตัวเอง สุดท้ายแล้วสิทธิ์แห่งเทพก็แตกสลาย ตกตํ่าจนกลายเป็นมนุษย์ธรรมดา” จวงซานเอ่ยเตือน

“ขอรับ คำพูดของศิษย์พี่พวกเราจะจดจำไว้ จะไม่ทำผิดพลาดเป็นอันขาด” ถงเถิงพูดทันที

“อืม” จวงซานผงกศีรษะเบาๆ พูดต่อว่า “ทุกครึ่งปี ในดินแดนจะมีทรัพยากรในการบำเพ็ญแจกจ่ายให้แก่ลูกศิษย์ตามลำดับชั้น ทรัพยากรบำเพ็ญที่ได้รับย่อมไม่เท่ากัน เช่น ลูกศิษย์เสื้อเขียวทุกครึ่งปีจะได้รับหยกเทพระดับตํ่าหนึ่งร้อยชิ้น ยังมียาอีกสิบเม็ด ยาสิบเม็ดนี้ใช้รักษาอาการบาดเจ็บห้าเม็ด ใช้เสริมการบำเพ็ญห้าเม็ด ส่วนลูกศิษย์เสื้อขาว ทุกครึ่งปีจะได้รับหยกเทพระดับตํ่าห้าร้อยชิ้น ยาเม็ดอีกห้าสิบเม็ด นอกจากรักษาบาดเจ็บกับเสริมการบำเพ็ญแล้ว ยังมียาขจัดพิษ ฟื้นฟูพลังเทพ แม้กระทั่งขณะใกล้จะทะลวงขอบเขตก็ยังสามารถไปรับยาช่วยทะลวงขอบเขตได้อีกหนึ่งเม็ด”

“ต่างกันมากมายขนาดนี้เลยหรือ” ถงเถิงพูดอย่างตะลึงงัน

จวงซานยิ้มน้อยๆ

ส่วนมู่ชิงเกอถามว่า “แล้วขั้นถํ้าวิญญาณ กับสิบลูกศิษย์ใหญ่ตำหนักหน้าเล่า”

จวงซานมองนางอย่างลึกล้ำแล้วจึงบอกว่า “ลูกศิษย์ขั้นถํ้าวิญญาณทุกครึ่งปีสามารถรับหยก เทพระดับตํ่าห้าร้อยชิ้น หยกเทพระดับกลางสิบชิ้น ยาต่างๆ หนึ่งร้อยเม็ด มีสิทธิ์เข้าไปในหออาคมหนึ่งครั้ง ส่วนสิบลูกศิษย์ใหญ่ตำหนักหน้า ทุกเดือนจะมีผู้รับใช้ นำหยกเทพระดับตํ่าหนึ่งพันชิ้น หยกเทพระดับกลางหนึ่งร้อยชิ้น หยกเทพระดับสูงสิบชิ้น ทั้งยังมียาชนิดต่างๆ ไม่จำกัดจำนวน ทุกเดือนเข้าหออาคมได้หนึ่งครั้ง”

ถงเถิงกับมู่ชิงเกอฟังแล้วต่างรู้สึกถึงความแตกต่างอย่างมาก การแบ่งผลประโยชน์ในลักษณะนี้ ความเย้ายวนของทรัพยากรเช่นนี้ แน่นอนว่าทุกคนย่อมอยากที่จะเพิ่มพูนความสามารถตัวเอง ยกระดับขั้นตัวเองเพื่อจะได้ทรัพยากรที่มากขึ้น

“อะไรคือหออาคมหรือ” ถงเถิงเกาศีรษะถาม

จวงซานอธิบายว่า “การบำเพ็ญในขั้นจิตวิญญาณ ความจริงใกล้เคียงกับวิธีบำเพ็ญของพวกเจ้า ในโลกข้างล่าง คือการสะสมพลังเทพ ใช้พลังเทพหล่อหลอมร่างกาย เป็นขั้นตอนการเข้าใจในหลักธรรม ดังนั้น ในเวลานี้ที่พวกเจ้าต้องเรียนรู้คือวิชาการขับเคลื่อนพลังของเผ่าเทพ วิธีเดินพลังเทพในร่างกาย เกี่ยวกับการเข้าใจหลักธรรมนั้นยังมีการฝึกทักษะวิทยายุทธ์บ้าง หอเคล็ดวิชามีทั้งวิชาการบำเพ็ญทั้งมีวิทยายุทธ์พวกเจ้าสามารถเข้าไปได้ทุกเวลา ไม่กำหนดจำนวนครั้งและเวลา แต่เมื่อเข้าขั้นถํ้าวิญญาณแล้ว ก็จะต้องเรียนการฝึกวิชาอาคม หออาคมก็คือสถานที่เก็บรักษาอาคมต่างๆ อาคมทุกชนิดล้วนเป็นของมีค่าหาได้ยาก ดังนั้น จึงกำหนดจำนวนครั้งที่เข้าไป”

เขาหยุดลงสักครู่ แล้วพูดว่า “เรื่องเหล่านี้ พวกเจ้าพอรู้ไว้บ้างก็พอแล้ว เพราะยังห่างไกลจากพวกเจ้ามาก ไม่ต้องคิดมากเกินไป รอจนพวกเจ้าทะลวงขอบเขตถึงจุดนั้นแล้ว ข้าย่อมจะอธิบายให้พวกเจ้าฟังโดยละเอียด”

“ดี” ถงเถิงกับมู่ชิงเกอผงกศีรษะพร้อมกัน

“ศิษย์พี่จวงซาน แล้วทำอย่างไรจึงจะเป็นสิบลูกศิษย์ใหญ่ตำหนักหน้าได้หรือ” มู่ชิงเกอถาม

จวงซานมองไปที่มู่ชิงเกอแล้วยิ้ม “เจ้ายังไม่ยอมละทิ้งแซ่ของตัวเองใช่ไหม ความจริงเมื่อเจ้าบินขึ้นมาบนแผ่นดินเทพมารแล้ว ต่อไปก็ยากที่จะกลับลงไปยังโลกข้างล่างได้อีก ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเครือญาติของเจ้าอีกแล้ว จะยึดถือไว้ทำไมอีก”

มู่ชิงเกอสั่นศีรษะยิ้มบอกว่า “เป็นดังที่ศิษย์พี่ว่า นี่เป็นสิ่งเชื่อมโยงสุดท้ายของข้ากับพวกเขา ความหลังครั้งสุดท้าย ข้าไม่อยากละทิ้งง่ายๆ”

“แซ่อะไรหรือ แซ่ลูกพี่เป็นอะไรหรือ” ถงเถิงฟังอย่างงุนงง ออกปากถาม

เวลานี้ไม่ใช่เวลาอธิบาย มู่ชิงเกอเพียงแต่สั่นศีรษะให้เขาแล้วมองจวงซานเพื่อฟังคำตอบจากเขา

จวงซานยิ้มพูดว่า “ก็ได้ หากไม่ลองดูสักหน่อยเจ้าก็คงไม่ยอม การเป็นสิบลูกศิษย์ใหญ่ตำหนักหน้านั้นง่ายมาก เพียงแค่เจ้าเข้าขั้นถํ้าวิญญาณได้แล้ว ท้าสู้กับสิบลูกศิษย์ใหญ่คนใดคนหนึ่งหากสำเร็จแล้วก็สามารถไปแทนที่เขาได้”

“ง่ายๆ เช่นนี้เลยหรือ” ถงเถิงได้ยินแล้วอดไม่ได้ที่จะพูดออกมา

จวงซานพยักหน้า “ง่ายเช่นนี้เอง”

มู่ชิงเกอจำไว้เงียบๆ แล้วกล่าวขอบคุณจวงซาน

การพูดคุยกันระหว่างทางถึงแม้จะสบายๆ แต่เรื่องที่คุยก็เกี่ยวกับเรื่องดินแดนฮ่วนเยวี่ย ดังนั้นเมื่อพวกเขาเดินมาถึงบริเวณทดสอบขั้นบำเพ็ญ พวกเขาก็มีความเข้าใจในดินแดนฮ่วนเยวี่ยได้พอประมาณ

เครื่องมือที่ใช้ทดสอบ เป็นเพียงเสากลมต้นหนึ่ง

บนเสากลม สลักระดับไว้เก้าระดับ ทุกระดับเป็นตัวแทนหนึ่งชั้นพลัง

ใต้เสากลม มีคนคนหนึ่งกำลังพิงเสาสัปหงก

จวงซานชี้ไปที่คนคนนั้น ยิ้มและแนะนำพวกมู่ชิงเกอสองคนว่า “นี่คือผู้ดูแลงานลงทะเบียนลำดับชั้นบำเพ็ญของลูกศิษย์ที่เข้าดินแดน อีกสักครู่เขาจะทดสอบพวกเจ้า”

พูดจบ เขาก็เดินเข้าไปยืนเบื้องหน้าคนคนนั้นก้มลงไปเรียกว่า “เฒ่าซุย”

คำเรียกเช่นนี้…

มู่ชิงเกอเลิกคิ้ว นางรู้สึกทันทีว่าดินแดนฮ่วนเยวี่ยมีมนุษย์สัมพันธ์ต่อกันดีมาก

ผู้ดูแลงานที่ถูกจวงซานรียกว่าเฒ่าซุยตื่นขึ้นมาจากการหลับไหล เขามองไปยังจวงซาน อาการงัวเงียหายไปในทันที ยืนขึ้นมาแล้วพูดกับจวงซานว่า “ที่แท้สิบน้อยก็มา”

สิบน้อยหรือ

มู่ชิงเกอกับถงเถิงต่างแปลกใจต่อการเรียกจวงซานเช่นนี้

ภายหลังพวกเขาจึงรู้ว่า ที่แท้สิบลูกศิษย์ใหญ่ตำหนักหน้านั้น ได้เรียงลำดับตามพลัง ชาวดิน แดนฮ่วนเยวี่ยล้วนเรียกพวกเขาตามลำดับนั้น

สิบน้อย เท่ากับในสิบลูกศิษย์ใหญ่คนที่อยู่ลำดับที่สิบเวลานี้ก็คือจวงซาน

จวงซานยิ้มบอกเขาว่า “ข้านำสองลูกศิษย์ใหม่มาทดสอบการบำเพ็ญ”

“สิบน้อยพาคนใหม่มาอีกแล้ว” ผู้ดูแลซุยพูดเล่น แต่ก็เริ่มเตรียมการ เมื่อแล้วเสร็จเขาก็มองถงเถิงกับมู่ชิงเกอแล้วถามว่า พวกเจ้าใครจะมาก่อน”

“ให้ข้าก่อนเถอะ” ถงเถิงอาสา

พูดแล้ว เขาก็เดินขึ้นไปทำตามคำสั่งผู้ดูแลซุย ใส่พลังเทพลงในเสานั้น

ชั้นหนึ่ง ชั้นสอง ชั้นสาม

“อืม ชั้นจิตวิญญาณชั้นสาม ไม่เลว” ผู้ดูแลซุยผงกศีรษะแล้วจดบันทึก

ถงเถิงลงไปแล้ว ขณะที่มู่ชิงเกอกำลังจะเข้าไปนั้น จวงซานก็ดึงเขาเอาไว้แล้วบอกว่า “ข้ารู้ว่ารากวิญญาณของเจ้า…เอ่อ…ไม่ว่าผลเป็นอย่างไร ก็อย่าได้ท้อใจ ขอให้มีความเพียร ต่อให้ปัญหายากแค่ไหนก็สามารถแก้ไขได้ อีกทั้งระดับความเข้าใจของเจ้ายังไม่เคยมีใครมีมาก่อน”

มู่ชิงเกอชะงัก ไม่เข้าใจว่าทำไมจวงซานจึงได้พูดเช่นนี้กับนาง

ถงเถิงที่อยู่ข้างๆ ยิ่งงุนงงถามว่า “ศิษย์พี่จวงซาน ลูกพี่ข้าร้ายกาจมากนะ รากวิญญาณเขาเป็น อะไรหรือ”

พอถงเถิงพูดถึงรากวิญญาณอีกครั้ง มู่ชิงเกอจึงนึกออก

อ๋อ ในความคิดของพวกจวงซาน ถึงแม้นางจะมีรากวิญญาณห้าชนิด แต่ก็เป็นรากวิญญาณที่พวกเขานึกว่าใช้การไม่ได้ เพราะไม่มีใครรู้ว่าที่นางได้ไปนั้นเป็นสิทธิ์แห่งเทพของใคร

ครั้งที่อยู่แท่นบ่อบิน ที่นางถูกแผ่นดินเทพตะวันตกกับแผ่นดินเทพเหนือทอดทิ้งราวกับผักหญ้าก็เพราะพวกเขาคิดว่านางมีรากวิญญาณที่ใช้การไม่ได้ การบำเพ็ญเชื่องช้า ยากนักที่จะประสบผลสำเร็จไม่ใช่หรือ

เมื่อเห็นความห่วงใยของจวงซาน…

นางดูออกว่าจวงซานห่วงนางอย่างจริงใจ กังวลว่าระดับชั้นนางจะตํ่าเกินไปจนท้อใจและทอดทิ้งการบำเพ็ญ ราวกับว่าเขามองนางเป็นศิษย์น้องจริงๆ

“วางใจเถอะ ศิษย์พี่จวงซาน” มู่ชิงเกอยิ้มอย่างมั่นใจ

เมื่อจวงซานเห็นมู่ชิงเกอยิ้มเช่นนี้ก็รู้สึกว่าความห่วงใยของตัวเองนั้นน่าจะคิดมากเกินไป

ดูท่าทีเขาคล่องแคล่วสวยงาม วางเท้ามั่นคง เดินมุ่งหน้าไปยังเสาที่ใช้ทดสอบริมฝีปากจวงซานก็ค่อยๆ เม้มแน่น

ถงเถิงเองก็รอคอยผลการทดสอบของมู่ชิงเกอด้วยความอยากรู้อยากเห็นเช่นกัน

เนื่องจากถึงแม้เขาจะรู้ว่ามู่ชิงเกอแข็งแกร่งมาก แต่แข็งแกร่งเท่าไร ร้ายกาจกว่าเขามากเท่าไรนั้น เขาไม่รู้จริงๆ

“เตรียมตัวพร้อมแล้วนะ” ผู้ดูแลซุยถาม

มู่ชิงเกอพยักหน้า

“ดี ถ่ายเทพลังเทพของเจ้าใส่ไว้ข้างใน พยายามถ่ายออกมาให้มากที่สุด” ผู้ดูแลซุยบอก

มู่ชิงเกอค่อยๆ พยักหน้า วางมือตัวเองบนเสากลมและถ่ายพลังเทพออกไปเช่นเดียวกับถงเถิง

พลังเทพเข้าไปในเสากลมแล้ว เพียงครู่เดียว แสงที่เสากลมก็สว่างสูงขึ้นทีละชั้นอย่างรวดเร็ว

“เจ็ด… เจ็ดชั้น ชั้นจิตวิญญาณชั้นเจ็ด” ผู้ดูแลซุยแหงนหน้า มองดูความสว่างที่เปล่งประกายขึ้นบนเสาครั้งสุดท้ายพลันตกใจสุดขีด

ถงเถิงกับจวงซานก็ดูจนตะลึงไป

ผ่านไปครู่หนึ่งผู้ดูแลซุยจึงถามจวงซานด้วยความหวาดหวั่นว่า “สิบน้อย ท่านพาตัวประหลาด อะไรมา เขาเป็นคนใหม่ที่เพิ่งจะบินขึ้นมาจริงหรือ”

จวงซานพยักหน้าอย่างแข็งทื่อ ตอบด้วยความงุนงง “ข้ารับเขาขึ้นเรืออากาศไปส่งที่เสี่ยวเทียนอี้เอง”

ขั้นจิตวิญญาณชั้นเจ็ด!

นี่หมายถึงอะไรก็น่าหวาดหวั่นมากเกินไปแล้ว น่าตกใจจริงๆ ไม่ใช่รากวิญญาณที่ใช้การไม่ได้หรือ ไม่ใช่บำเพ็ญได้ช้า ก้าวหน้าได้ยากหรือ นี่มันเรื่องอะไรกันแน่

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version