Skip to content

พลิกปฐพี 585

ตอนที่ 585

ข้าต้องการท้าทาย!

ขั้นถํ้าวิญญาณขั้นที่หนึ่ง!

จวงซานตกตะลึงจนสุดที่จะบรรยาย เขามองมู่ชิงเกออย่างตกตะลึงตาค้างราวกับไม่กล้าเชื่อ

ไม่กล้าเชื่อว่ามู่ชิงเกอทะลวงขอบเขตถึงขั้นถํ้าวิญญาณขั้นที่หนึ่ง หรือไม่กล้าเชื่อว่าที่ตาตัวเองเห็นนั้นเป็นเรื่องจริง เกรงว่าในเวลานี้ แม้แต่ตัวเขาก็ยังแยกไม่ออก

”ศิษย์พี่จวงซาน ท่านพูดอะไร” ถงเถิงก็ตกตะลึงเช่นกันโดยเฉพาะหลังจากที่ได้ยินคำพูดจวงซานแล้ว เขาก็อดไม่ได้ที่ต้องยํ้าให้แน่ใจ

เขารู้สึกว่าลูกพี่ตัวเองควรจะทะลวงขอบเขตแล้ว แต่ไม่นึกว่าจะทะลวงขอบเขตได้รวดเดียวถึงสามชั้น

คราวนี้หนักเข้าไปอีก เขาสู้บำเพ็ญแทบตาย นึกว่าจะดึงระยะห่างของสองคนให้ใกล้กันได้มากขึ้น แต่ไม่นึกว่า ตอนนี้ทั้งสองคนจะยิ่งไกลออกไปอีก

ถงเถิงออกจะหดหู่ใจ

แต่ว่า อาการหดหู่ใจไม่ได้เป็นอยู่นานนัก ทันใดนั้นเขาก็เกิดฮึกเหิมขึ้นมาอีก สายตาที่จ้องมู่ชิงเกอ ราวกับคบเพลิงเต็มไปด้วยจิตใจที่ฮึดสู้

‘ข้ามีเป้าหมายชั้นเยี่ยมในการไล่ตามและอยู่เบื้องหน้าข้านี่เอง เป็นแรงเสริมให้สู้ได้ดีที่สุดทีเดียว’ ถงเถิงบอกตัวเองในใจ

“ชั้นถํ้าวิญญาณชั้นหนึ่ง” เสียงของจวงซาน แยกไม่ออกว่าเสียใจหรือขมขื่น

เขากลับมามองตัวเอง เขาเป็นคนแผ่นดินเทพเกิดมาก็มีสิทธิ์แห่งเทพ ทั้งยังเป็นสิทธิ์แห่งเทพที่มีพรสวรรค์ไม่เลวเลย ขณะอายุร้อยปีเข้ามาอยู่ในดินแดนฮ่วนเยวี่ย เริ่มจากลูกศิษย์เสื้อเขียว ใช้เวลาพันปีจนได้เป็นสิบลูกศิษย์ใหญ่ตำหนักหน้า

ครั้งนั้น เขาใช้เวลาในการทะลวงขอบเขต จากขั้นจิตวิญญาณไปสู่ขั้นถํ้าวิญญาณเท่าไรกันนะ

ขณะที่ลมหายใจมู่ชิงเกอค่อยๆ กลับเป็นปกติ จวงซานก็คิดทบทวนอดีต ราวกับต้องใช้เวลาถึง สามร้อยปีเต็มๆ กระมัง สามร้อยปีในการทะลวงขอบเขตเก้าขั้นในสายตาคนอื่นนี่ถือว่าร้ายกาจมากแล้ว

แต่มู่ชิงเกอเล่า

จวงซานแอบยิ้มเศร้าๆ มู่ชิงเกอเป็นคนข้างล่างที่บินขึ้นมา โดยเขาเป็นคนรับจากแท่นบ่อบินไปขึ้นเรืออากาศ อีกทั้งยังเป็นคนที่รากวิญญาณใช้การไม่ได้ที่คนของแผ่นดินเทพตะวันตกกับแผ่นดินเทพเหนือทอดทิ้งดังรองเท้าขาด ทั้งเมินมองไม่ไยดี

แต่คนที่ถูกคนอื่นมองเห็นเป็นเศษขยะกลับใช้เวลาปีครึ่ง จึงออกจากเสี่ยวเทียนอี้ พอออกมาแล้วก็แกร่งกล้าเป็นขั้นจิตวิญญาณชั้นเจ็ด เหนือกว่าผู้เก่งกาจทั้งหมดที่บินขึ้นมาจากข้างล่าง แม้กระทั่งพรสวรรค์ก็ยังสูงส่งราวกับปีศาจร้ายเหนือกว่าผู้แกร่งกล้าแดนเทพมากมาย โดยเฉพาะการทดสอบด้านความเข้าใจหลักธรรมในดินแดนฮ่วนเยวี่ย เขาก็ทำให้หมื่นดอกบัวเบ่งบาน บังเกิดภาพพิสดารหลักธรรมรวมเป็นหนึ่ง ทำให้ผู้คนไม่อาจลืมเลือนได้ตลอดชีวิต

นี่ยังไม่พอ เขาถึงขนาดใช้เวสาสั้นๆ เพียงครึ่งปีก็สามารถโดดจากขั้นจิตวิญญาณชั้นเจ็ดขึ้นถึงขั้นถํ้าวิญญาณขั้นหนึ่งได้

ปีศาจร้าย ปีศาจร้ายแท้ๆ

ไม่ นี่ไม่ใช่แค่ใช้ปีศาจร้ายมาเปรียบเทียบได้ ต้องถึงขั้นเรียกว่าเป็นการปีนกฎสวรรค์เลยทีเดียว

เรื่องที่ไม่เคยมีใครทำได้ล้วนเกิดขึ้นในตัวเขา โดยที่ไม่ได้สนใจกฏเกณฑ์สวรรค์แม้เพียงนิดเดียว

กระแสคลื่นความประหวั่นพรั่นพรึงในใจจวงซานไหลวนขึ้นลงไม่หยุด ไม่สามารถสงบลงได้

กระทั่งรอจนมู่ชิงเกอลืมตาตื่นเขาจึงเรียกสติคืนมา พูดกับเขาด้วยสีหน้าปั้นยากว่า “ชิงเกอ ยินดีด้วย เป็นลูกศิษย์ขั้นถํ้าวิญญาณแล้ว”

ใช่แล้ว เป็นลูกศิษย์ขั้นถ้ำวิญญาณ

ความหมายคือ มู่ชิงเกอสามารถถอดเสื้อขาวได้แล้ว เปลี่ยนคืนใส่เสื้อผ้าที่นางชอบ ทั้งสิ่งตอบแทนที่ได้รับก็มีมากขึ้น

ที่สำคัญที่สุดคือเป็นลูกศิษย์ขั้นถํ้าวิญญาณแล้วนางก็สามารถไปท้าทายสิบลูกศิษย์ใหญ่ตำหนักหน้าได้แล้ว

แววตาที่แจ่มใสของมู่ชิงเกอเปล่งประกายออกมา นางยิ้มพูดกับจวงซานว่า “ขอบคุณศิษย์พี่จวงซาน เพียงแต่ข้ายังมีอีกเรื่องหนึ่ง อยากขอความช่วยเหลือจากศิษย์พี่จวงซาน”

“เจ้าคิดจะท้าทายสิบลูกศิษย์ใหญ่ตำหนักหน้าเวลานี้เลยหรือ” มู่ชิงเกอไม่เคยปกปิดความคิดตัวเอง จวงซานจึงทายถูกในทันที

มู่ชิงเกอผงกศีรษะ “ข้าอยากท้าทายเวลานี้เลย”

จวงซานเม้มปากหลุบตา ราวกับพิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง

เวลานี้ถงเถิงจึงเบียดมาข้างตัวมู่ชิงเกอ ยักคิ้วหลิ่วตายิ้ม เอ่ยว่า “ลูกพี่ ท่านร้ายจริงๆ เลย ต่อไปท่านจะต้องคุ้มครองข้านะ แต่วางใจได้ น้องเล็กจะไม่ทำท่านขายหน้า ข้าจะต้องขยันมากขึ้น เป็นลูกศิษย์เสื้อขาวในเร็ววัน ต่อด้วยเป็นลูกศิษย์ขั้นถ้ำวิญญาณ ต่อไปข้าก็จะต้องเป็นสิบลูกศิษย์ใหญ่ตำหนักหน้าแน่นอน”

มู่ชิงเกอยิ้มว่า “พยายามเถอะ ข้าจะคอยเอาใจช่วยด้วย”

การเลื่อนขึ้นสู่ขั้นถํ้าวิญญาณนั้นเป็นสิ่งที่มู่ชิงเกอเตรียมใจไว้อยู่แล้ว ดังนั้นนางจึงไม่ได้ตื่นเต้นจนเกินไป ความนิ่งสงบของนางในสายตาถงเถิงนั้นจึงยิ่งน่านับถือมาก

“ชิงเกอ ข้าไม่ขัดข้องทีเจ้าจะไปท้าทายเวลานี้ทันที” จวงซานคิดคำนึงแล้วก็บอกมู่ชิงเกอ อย่างจริงจัง

มู่ชิงเกอมองไปที่เขาแล้วเลิกคิ้วขึ้น

ถงเถิงก็หยุดทำเล่น เคร่งขรึมขึ้นมาด้วย

ทั้งสามคนนั่งกับพื้นใหม่ เพียงแต่บรรยากาศต่างกับครั้งก่อนที่สนุกสนานกัน

“จริงอยู่ว่าพรสวรรค์เจ้าสูงมาก เข้ามาแผ่นดินเทพตะวันออกเพียงสั้นๆ สองปี เข้ามาดินแดนฮ่วนเยวี่ย เพียงครึ่งปี แต่เจ้ามีความเข้าใจในสิบลูกศิษย์ใหญ่ตำหนักหน้าดินแดนฮ่วนเยวี่ยมากแค่ไหน” จวงซาน ถามอย่างจริงจัง

เขาเชื่อมั่นในความสามารถของมู่ชิงเกอ แต่ก็บอกใบ้ในเวลาเดียวกันว่า สิบลูกศิษย์ใหญ่ตำหนักหน้านั้นไม่ธรรมดา

มู่ชิงเกอสั่นศีรษะอย่างไม่อำพราง “ข้าไม่เข้าใจ แต่ข้าจะต้องเอาตำแหน่งสิบลูกศิษย์ใหญ่ตำหนักหน้ามาให้ได้

การยืนยันของมู่ชิงเกอทำให้จวงซานถอนหายใจวิเคราะห์ให้เขาฟังอย่างอดทนว่า “การคิดเป็นสิบลูกศิษย์ใหญ่ตำหนักหน้านั้น เจ้าจะต้องทำได้ครบสองเงื่อนไข ข้อแรกคือ ต้องบำเพ็ญถึงขั้นถํ้าวิญญาณ ข้อนี้ เจ้าทำได้แล้ว ข้อที่สอง คือเจ้าจะต้องเอาชนะสิบลูกศิษย์ใหญ่ ปัจจุบันคนใดคนหนึ่ง เมื่อชนะแล้วเจ้าก็ทดแทนตำแหน่งของเขาได้หากแพ้แล้ว ภายในสามปีจะท้าทายไม่ได้อีก”

“มีเงื่อนไขข้อนี้ด้วยหรือ” มู่ชิงเกอขมวดคิ้วนิ่งคิด

เมื่อก่อนนางไม่รู้ว่าหากท้าทายแพ้แล้วจะต้องรออีกสามปีจึงจะท้าทายได้อีก แต่ว่านางไม่มีเวลารออีกสามปี ดังนั้นจึงหมายความว่า นางจะต้องเอาชนะให้ได้ในครั้งเดียว

“หากเจ้าโชคดีชนะได้ในครั้งเดียว ก็ไม่ใช่ว่าจะได้นั่งในตำแหน่งได้อย่างมั่นคง ราชาเทวะกำหนดว่า สิบลูกศิษย์ใหญ่คนใหม่ไม่ต้องรับการท้าทายใดๆ ภายในครึ่งปี แต่หลังจากครึ่งปีแล้ว ทุกคนต่างส่งคำท้าทายได้ เจ้าถึงแม้มีพรสวรรค์ที่น่ากลัว แต่เวลาที่เข้ามาในดินแดนฮ่วนเยวี่ยยังสั้นเกินไป ดินแดนฮ่วนเยวี่ยมีลูกศิษย์เท่าไร เจ้ารู้หรือไม่ ถึงเวลานั้นแล้วเจ้าจะกลายเป็นลูกศิษย์ตำหนักหน้าที่ถูกเอาชนะได้ง่ายที่สุดในสายตาพวกเขา พวกเขาจะพากันท้าทายเจ้า” จวงซานวิเคราะห์อย่างละเอียดลออ

เขาพูดต่อว่า “ยังมีอีก เจ้ารู้ถึงความสามารถของสิบลูกศิษย์ใหญ่ปัจจุบันหรือไม่’’

เขาหยุดนิดหนึ่ง สูดลมหายใจลึกๆ แล้วพูดอย่างมีความหมายว่า “เวลานี้ข้าบำเพ็ญได้ขั้นถํ้าวิญญาณขั้นสาม เป็นที่โหล่ในสิบลูกศิษย์ใหญ่ ที่โหล่นี้เจ้ารู้หรือไม่ว่าหมายถึงอะไร”

มู่ชิงเกอมองเขาอย่างสงบนิ่ง

ถงเถิงพูดค่อยๆ ว่า “อ่อนแอที่สุด”

พอหลุดปากไปแล้ว เขาก็รีบขอโทษ “ขอโทษด้วยศิษย์พี่จวง ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น”

จวงซานสั่นศีรษะอย่างไม่ได้ใส่ใจแม้แต่นิด กลับพูดว่า “ถูกต้อง อ่อนแอที่สุด”

พูดแล้วเขาก็มองมู่ชิงเกอ ถามว่า “เจ้ารู้สึกว่าอาศัยการบำเพ็ญถึงขั้นถํ้าวิญญาณชั้นหนึ่ง จะสามารถท้าทายใครได้ ข้าหรือการท้าทายข้ามชั้น อย่างมากก็ข้ามได้เพียงชั้นเดียว เจ้าคิดข้ามสองชั้น เจ้ามีความมั่นใจในชัยชนะเท่าไรกัน”

มู่ชิงเกอค่อยๆ มองไปทางเขา ถามว่า “ศิษย์พี่จวงซาน หากข้าท้าทายคนที่เก้าชนะแล้ว ท่านจะเป็นอย่างไร”

จวงซานเข้าใจความหมายของเขา สั่นศีรษะว่า “ไม่เป็นอย่างไร การท้าทายสิบลูกศิษย์ใหญ่ หากใครถูกเตะออกไป ก็เป็นเรื่องเฉพาะตัวคนนั้น ตำแหน่งของคนอื่นไม่ได้เปลี่ยน ต่อให้ในระหว่างพวกเราสิบคน หากเชื่อมั่นตัวเอง ข้าก็ไปท้าทายคนข้างหน้าได้ หากชนะ ข้าขึ้นเขาลง สลับแลกเปลี่ยนกัน ไม่ได้มีผลกระทบต่อคนอื่น”

มู่ชิงเกอเข้าใจแล้ว

จวงซานช่วยเหลือนางมากมาย ทั้งดีต่อนางอย่างมาก ตลอดมาดูแลอย่างเต็มที่ ดังนั้นนางจึงไม่อยากทำให้จวงซานถูกเตะออกจากตำแหน่งเพราะตัวเอง คำอธิบายของจวงซานทำให้นางวางใจไม่น้อย

“ศิษย์พี่จวงซานช่วยบอกสภาพการณ์ลูกศิษย์ใหญ่อีกเก้าคนให้ข้ารู้ด้วย” มู่ชิงเกอเปิดปากถาม

จวงซานขมวดคิ้ว พูดอย่างไม่เข้าใจว่า “ข้าพูดชัดเจนขนาดนี้ เจ้ายังไม่ยอมแพ้อีกหรือ”

มุชงเกอยิ้มพุดว่า “ต่างเป็นคนดินแดนฮ่วนเยวี่ย รู้เรื่องราวสิบลูกศิษย์ใหญ่ได้มากขึ้นก็เป็นเรื่องดี อีกทั้งเวลานี้ อยู่ว่างๆ พวกเราคุยเล่นกัน ขอให้ศิษย์พี่ช่วยขยายความบ้าง”

จวงซานถอนหายใจ พูดอย่างจนปัญญา “ความจริง ด้วยพรสวรรค์ของเจ้า รออีกสองสามปีจะต้องทะลวงขอบเขตได้อีก เวลานั้นเจ้าค่อยไปท้าทายจะไม่ยิ่งมั่นใจมากกว่าหรือ ทำไมต้องรีบร้อนนัก เพียงแต่ที่เจ้าพูดก็ถูก การเป็นลูกศิษย์ดินแดนฮ่วนเยวี่ยด้วยกัน มีบางเรื่องที่พวกเจ้าควรรับรู้บ้าง”

เขาเห็นด้วย นิสัยเขามักโอนอ่อนผ่อนตามตลอดมา น้อยครั้งที่จะบังคับให้ใครทำอะไร ดังนั้น ถึงแม้จิตใจเขาคัดค้านการตัดสินใจของมู่ชิงเกอเวลานี้ แต่ในเมื่อเขายืนกรานก็ทำให้เขาไม่เกลี้ยกล่อมอีก

“เจ้าอยากรู้สภาพการณ์ของอีกเก้าคน ข้าก็จะบอกให้ ไม่แน่ว่าเจ้าฟังแล้วอาจล้มเลิกความคิดที่ไม่เหมาะสมนี้” จวงซานสั่นศีรษะพูด “ข้าเองยังซักเสียใจว่าไม่น่าบอก เจ้าแต่แรกเรื่องสิบลูกศิษย์ใหญ่ ความจริงเพียงเจ้าอยู่ในดินแดนฮ่วนเยวี่ยไม่ออกไป แซ่ของเจ้าก็จะไม่สร้าง ปัญหายุ่งยากมาให้”

แต่แรกหากเขาไม่บอกมู่ชิงเกอเรื่องสิบลูกศิษย์ใหญ่ตำหนักหน้าที่เรืออากาศ มู่ชิงเกอจะรู้เรื่องเหล่านี้ได้อย่างไร

“ขอบคุณศิษย์พี่ มีบางเรื่อง ช้าเร็วก็ต้องทำ ควรไวไม่ควรช้า ขอให้ศิษย์พี่วางใจ ข้าจะไม่บุ่มบ่าม” มู่ชิงเกอผงกศีรษะพูด

ช่วยไม่ได้ จวงซานได้เพียงพูดว่า “จำนวนลูกศิษย์ใหญ่สิบคน เป็นชายเก้าหญิงหนึ่ง นอกจากข้าแล้วคนที่เหลือ เจ้าอาจไม่รู้จักทั้งหมด ความแข็งแกร่งทั้งเก้าคนพอๆ กัน แต่สำหรับเจ้าแล้วไม่สามารถต่อกรได้แน่นอน ใหญ่น้อยเป็นขั้นถํ้าวิญญาณขั้นหก เก้าน้อยเป็นขั้นถํ้าวิญญาณขั้นสี่ คนที่เหลือต่างอยู่ในขอบเขตนี้หากเจ้าต้องการท้าทาย ควรมาท้าทายศิษย์พี่อย่างข้านี่’’

พูดจบ จวงซานผายมือออกสองข้าง

“อีกทั้ง พวกเขาต่างมีชื่อเสียงมานานแล้ว แต่ละคนมีไม้ตายเลื่องชื่อประจำตัว ทั้งเข้าใจในหลักธรรมได้อย่างลึกลํ้า รู้จักคาถาอาคมมากมาย เจ้าเพิ่งเข้ามาในขั้นถํ้าวิญญาณ ยังไม่ทันเรียนรู้คาถาอาคมแม้เพียงนิดเดียว การต่อสู้กับพวกเขา นับว่าเป็น…” จวงซานพูดจบก็สั่น ศีรษะอีก

คราวนี้ มู่ชิงเกอตกอยู่ในความเงียบ

ก่อนนั้น สิ่งที่จวงซานพูดไว้นางไม่ได้เกรงกลัว เนื่องจาก การต่อสู้ข้ามชั้น ไม่ใช่นางไม่เคยลอง สมควรพูดได้ว่าก่อนหน้านี้การสู้รบทั้งหมดของนาง เป็นการข้ามชั้นทั้งหมด

การสู้รบที่ยิ่งใหญ่แต่ละครั้ง นับได้ว่าลำบากยากเข็ญ เลือดตากระเด็น สุดท้ายแล้ว ที่ชนะก็คือนาง

แต่ เมื่อเขาเอ่ยถึงคาถาอาคม มู่ชิงเกอนึกถึงครั้งที่หานชุ่น มู่เทียนอินไม่สนใจการบีบอัดเขตแดน ปลดปล่อยการบำเพ็ญของแผ่นดินเทพมารใช้คาถาอาคมต่อนาง

นางเผาไหม้อายุขัย หยวนหยวนก็ตายด้วยสาเหตุนี้ พลังคาถาอาคมนั้นไม่ใช่เพียงอาศัยจิตใจที่แน่วแน่ก็จะสามารถเอาชนะได้

แต่จะให้ทอดทิ้งเพียงเท่านี้แล้วรออีกหลายปีหรือ

‘ไม่ ข้ารอไม่ได้’ มู่ชิงเกอพูดเสียงเครียดในใจ

วันเวลาในดินแดนฮ่วนเยวี่ยถึงแม้ผ่านไปอย่างสุขสบาย แต่นางไม่เคยลืมหน้าที่ของตัวเอง ไม่เคยลืมสิ่งที่ตัวเองต้องทำ ต้องล้างแค้น

หยวนหยวนยังหลับอยู่ในทวนหลิงหลง เจียงหลียังไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน นางจะปล่อยให้มู่เทียนอินมีชีวิตอยู่อย่างสุขสบายได้อย่างไร

มู่ชิงเกอสุดลมหายใจลึกๆ มองจวงซานด้วยแววตาสงบนิ่ง “ศิษย์พี่จวงซาน โปรดช่วยข้าเตรียมเรื่องท้าทายสิบลูกศิษย์ใหญ่ด้วย”

“เจ้ายังจะไปอีกหรือ” จวงซานรู้สึกปวดศีรษะจากความดื้อรั้นของมู่ชิงเกอ

แม้แต่ถงเถิงยังช่วยพูดว่า “ลูกพี่ พวกเรายังเป็นคนใหม่ ไม่ต้องรีบ รออีกสองปีค่อยไปได้หรือไม่”

มู่ชิงเกอสั่นศีรษะ มองจางซานว่า “ศิษย์พี่จางซานพูดแล้ว หากรออีกสองสามปีค่อยไปท้าทาย โอกาสชนะจะมีมากขึ้น สู้ข้าไปท้าทายเวลานี้หากแพ้แล้วกลับเพิ่มโอกาสได้อีกครั้ง ทำไมข้าจะไม่ทำเล่า”

จวงซานสะอึก เวลานั้นก็พูดอะไรไม่ออก

อีกสักพัก เขาจึงพยักหน้าอย่างหมดหนทางว่า “เอาเถอะ เมื่อเจ้ายืนกราน ข้าก็จะไปช่วยเจ้าจัดการเรื่องนี้”

‘ขอบคุณศิษย์พี่จวงซาน” มู่ชิงเกอขอบคุณจากใจจริง

คืนนั้น มู่ชิงเกอมาบ้านเล็กบนเขาอีกครั้ง

ผู้เฒ่าเฝ้าตะเกียงเห็นนางแล้ว ดวงตาก็เปล่งประกายทันที พูดด้วยความยินดีว่า “ทะลุถึงขั้นถํ้าวิญญาณแล้วหรือ”

มู่ชิงเกอผงกศีรษะด้วยความสงบ บอกเขาตรงๆ ว่า “ผู้อาวุโส คืนนี้ข้ามาด้วยมีเรื่องขอให้ช่วย”

“โอ้ ยากที่เจ้าจะมีเรื่องขอให้ข้าช่วย บอกมาเลย” ผู้ เฒ่าผงกศีรษะด้วยอาการยิ้มแย้ม

มู่ชิงเกอว่า “ข้าได้เตรียมท้าทายสิบลูกศิษย์ใหญ่ตำหนักหน้าแล้ว แต่ข้ารู้ว่าพวกเขาต่างรู้จักคาถาอาคม ส่วนข้านั้นไม่เป็น โอกาสชนะมีไม่มาก ข้าหวังให้ผู้อาวุโสช่วยข้าอีกแรง ให้ข้าชนะครั้งนี้”

“ในเมื่อเจ้ารู้จุดอ่อนตัวเอง ทำไมยังรีบร้อนแย่งตำแหน่งสิบลูกศิษย์ใหญ่ตำหนักหน้าเล่า รออีกไม่กี่ปี อาศัยพรสวรรค์เจ้า จะหัดคาถาอาคมใดก็ได้ดังใจ” ผู้เฒ่าพูดสำราญใจ

มู่ชิงเกอสั่นศีรษะ “ข้ายังมีเรื่องสำคัญมากที่จะต้องทำ อยู่แต่ในดินแดนฮ่วนเยวี่ยไม่ได้ มีคนบอกข้าว่า เมื่อเป็นสิบลูกศิษย์ใหญ่แล้ว ฐานะนี้จะทำให้คนในแผ่นดินเทพอื่นไม่มีต่อต้านเรื่องแซ่ของข้ามากจนเกินไป ดังนั้น ข้าจึงจำเป็นต้องเข้าไปแย่งชิง ”

“เป็นเช่นนี้เอง” ผู้เฒ่ายิ้ม “จริงทีเดียว การเป็นสิบลูกศิษย์ใหญ่ตำหนักหน้าดินแดนเทพ ฐานะนี้ เพียงพอที่จะทำให้เจ้าสามารถไปมาอย่างอิสระในแผ่นดินเทพทั้งสี่สมุทร ไม่มีใครที่จะมาสอบถามที่มาของเจ้า”

มู่ชิงเกอเม้มปาก

ผ่านไปสักครู่ ผู้เฒ่าจึงบอกว่า “เจ้าอยากชนะ ก็ไม่ใช่จะไม่ได้”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version