ตอนที่ 598
หน้าตาคล้ายกันมากเลย
งานเลี้ยงรับรองที่ชนเผ่ากูกูเตรียมจัดอยู่ที่ตำหนัก…หรือก็คือศาลาที่โปร่งโล่งทั้งสี่ด้าน?
ขณะที่มู่ชิงเกอเห็นสิ่งก่อสร้างนี้ก็ชะงักไปนิดหนึ่ง ไม่สามารถแยกออกได้ว่าเป็นศาลาหรือตำหนัก
ฐานรากที่ใช้หินก่อขึ้นมา แล้วใช้ไม้ต่อเป็นโครงสร้างอาคารดูใหญ่โตแต่ไม่มีฝาผนัง ใช้เพียงม่านที่สานมาจากพืชพิเศษอย่างหนึ่งแขวนไว้ครึ่งหนึ่ง ใช้กำบังสายตาได้บางส่วน
ในนั้นมีโต๊ะยาวที่จัดไว้อย่างเรียบร้อย ทุกโต๊ะสามารถนั่งได้สองคนซ้ายขวาสองฝั่ง จัดไว้ฝั่งละหกโต๊ะ ด้านหน้าสุดเป็นที่ประธานตั้งไว้หนึ่งโต๊ะ คงเป็นโต๊ะที่หัวหน้าชนเผ่ากูกูนั่ง
บนโต๊ะมีผลไม้สดหลากชนิดจัดไว้เต็ม ดูพอจะยั่วยวนใจบ้าง ข้างจานผลไม้วางกาสุราและถ้วยสุรา ดูจัดเตรียมได้พร้อมพอสมควร
ขณะที่เผ่าเทพมาถึง ที่นี่ก็มีคนนั่งอยู่แล้วไม่น้อย
ที่นั่งประธานเป็นผู้เฒ่าที่ถักเปียเต็มศีรษะใบหน้าทาสีสันมากมาย
ปลายของฝั่งขวามือมีโต๊ะยาวสองโต๊ะ มีหนึ่งแก่หนึ่งเด็ก กับสองผู้ใหญ่นั่งอยู่ ฝั่งซ้ายมือเป็นชายวัยกลางคนสองคนกับชายหนุ่มสองคนใบหน้าสี่คนนี้ทาเป็นภาพคล้ายของเผิงถู
โต๊ะยาวแปดตัวที่อยู่สองฝั่งใกล้ประธานยังคงว่างอยู่
ชัดเจนว่าเป็นที่นั่งเตรียมไว้สำหรบเผ่าเทพมาร
มู่ชิงเกอประสบการณ์น้อยสุดในหมู่สิบน้อยฮ่วนเยวี่ยนำถงเถิงเดินอยู่ท้ายสุด ข้างหน้านางนั้นเป็นจวงซานกับเฟิ่งซิ่ง ที่เดินนำขบวนย่อมเป็นหลีเฉากับอวี้ซี
เกี่ยวกับที่นั่งนั้นมู่ชิงเกอพอใจมาก เพราะไม่เป็นที่สังเกตนางจะได้สามารถแอบดูอะไรได้ชัดเจน
คนเผ่าฉงนำคนทั้งแปดไปด้านในแล้วหยุดที่กลางโถงใหญ่
เผิงถูมองคนทั้งแปดที่ยืนอยู่แล้วแย้มรอยยิ้มออกมา “ยินดีต้อนรับ ยินดีต้อนรับ ยินดีต้อนรับแปดมนุษย์เทพดินแดนฮ่วนเยวี่ยแผ่นดินเทพตะวันออก เชิญนั่ง เชิญนั่ง”
พูดเสร็จใช้มือชี้ไปทางโต๊ะยาวฝั่งขวาที่ว่างอยู่สี่ตัว
หลีเฉาผงกศีรษะยิ้ม “ขอบคุณท่านหัวหน้าเผ่า”
พูดจบเขาก็ไม่โอ้เอ้หันไปมองคนทั้งหกแล้วนำอวี้ซีนั่งลงที่โต๊ะ จากนั้นพวกมู่ชิงเกอทั้งหกคนก็พากันนั่งลง
ที่นั่งของนางติดกับชนผ่าชงฮุยพอดี ด้านขวามือนาง ก็คือโต๊ะที่ปู่หลานหนึ่งแก่หนึ่งเด็กสองคนนั่งอยู่
เพิ่งจะนั่งลงเรียบร้อยเผิงถูก็เริ่มคุยกับหลีเฉา
ซวนเฉียง จวงซาน ห้าคนต่างนั่งตัวตรงสายตาแน่วนิ่ง ถงเถิงนั่งตัวตรงแต่สอดส่ายสายตาไปรอบบริเวณ
หลังจากมู่ชิงเกอนั่งลงแล้วก็เห็นสายตาคู่หนึ่งมองมาที่ตน นางมองไป ขณะที่ภาพคนคนนั้นปรากฎ ตาดำใสแจ๋วของนางก็หดลงเล็กน้อย
‘เหอะเหอะๆ ไม่นึกว่าจะได้เจอคนรู้จัก’ มู่ชิงเกอจำปู่หลานที่นั่งข้างๆได้
พอมู่ชิงเกอหันมามอง ทั้งใบหน้าก็ปรากฎให้ปู่หลานได้เห็น นางเห็นสายตาตกใจของปู่หลานคู่นี้แม้ดูเหมือนยังไม่แน่ใจนัก แต่ในใจมู่ชิงเกอรู้อยู่แล้วว่าพวกเขาตกใจเรื่องอะไร
มู่ชิงเกอผงกศีรษะอย่างสงบนิ่ง ยิ้มน้อยๆ ไม่ได้แสดงอาการอะไรที่ไม่สมควรมี
ส่วนฝ่ายตรงข้าม ผู้เฒ่าชนเผ่าชงฮุ่ยหลังจากตกใจแล้ว ก็รีบเก็บอาการ เปลี่ยนเป็นยิ้มด้วยมารยาท ผงกศีรษะให้มู่ชิงเกอ ถือว่าได้ทักทายแล้ว
ส่วนเด็กสาวที่ชื่อหลิงหลิงนั้นกลับไม่นิ่งสงบเหมือนปู่ตัวเอง นางอ้าปากจะถามแต่ถูกปู่ตัวเองดึงไว้จึงไม่ได้ถามออกมา
ปฏิกิริยาของหลิงหลิงนั้นมู่ชิงเกอเห็นอยู่ในสายตา นางถอนสายตากลับยังคงนิ่งสงบไม่แสดงอาการใด กระทั่งให้หลิงหลิงจับจ้องอย่างสง่าผ่าเผย
“ฮี่ๆ ลูกพี่ เด็กสาวเผ่าฉงนางนั้นจ้องท่านตลอดเวลาเลย ต้องหลงเสน่ห์ลูกพี่ข้าแล้วแน่นอน” ถงเถิงสังเกตเห็นปฏิกิริยาของหลิงหลิงก็ทำหน้าตาหยอกเย้ามู่ชิงเกอ
มู่ชิงเกอกวาดสายตามองที่เขาเรียบๆ กระตุกมุมปากผุดรอยยิ้มที่งดงามเลิศลํ้าแล้วพูดกับเขาอย่างอหังการว่า “ลูกพี่ของเจ้า แต่ไหนแต่ไรก็มีเสน่ห์เกินต้านทานอยู่แล้ว”
อารมณ์ดีๆ ของนางทำให้หยอกเย้าถงเถิงอย่างน้อยครั้งจะมี
คำพูดนางทำให้ถงเถิงชะงักแล้วยิ้มอย่างเลื่อมใสพลางยกกาสุราบนโต๊ะรินให้มู่ชิงเกอหนึ่งถ้วย
หลิงหลิงที่จับจ้องมู่ชิงเกอตลอดเวลาในแววตาเต็มไปด้วยความสงสัยแอบกระซิบถามตัวเอง “ท่านปู่ คนผู้นี้หน้าตาเหมือน…”
นางยังพูดไม่ทันจบก็ถูกผู้เฒ่าตัดบทเอ่ยเตือนเสียงเบาว่า “คนเราเหมือนกันได้เจ้าอย่าคิดมาก อีกทั้งสองคนนี้ คนหนึ่งหญิงคนหนึ่งชายจะมาเหมารวมกันไม่ได้ โดยเฉพาะความสัมพันธ์ระหว่างเทพมารสองเผ่ายังตึงเครียดกันอยู่ บางเรื่องจะเที่ยวพูดไม่ได้ไม่อย่างนั้นอาจไปทำร้ายคนบริสุทธิ์เข้า”
คำพูดผู้เฒ่า หลิงหลิงฟังไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่ก็เห็นถึงความเคร่งขรึมในแววตาจึงผงกศีรษะถอนสายตาอยากรู้ อยากเห็นกลับ ไม่กล้าเที่ยวเดาสุ่มอีก
คนเผ่าเทพเพิ่งนั่งลงคุยกันคำ ข้างนอกก็แว่วเสียงฝีเท้าเข้ามา
เผิงถูหยุดคุยกับหลีเฉา ทั้งคู่มองไปด้านนอกพร้อมกัน
พอเสียงฝีเท้าปรากฎ บรรยากาศทั้งโถงก็ดูตึงเครียดขึ้นทันที
มู่ชิงเกอเลิกคิ้วมองไปด้านนอกพร้อมคนอื่น
ที่เข้ามานั้นก็มีแปดคนเหมือนกัน
เพียงแต่คนเผ่าฉงนำทางพาคนทั้งมาถึงที่นี่แล้วก็รีบถอยกลับไป ราวกับถ้าช้าสักนิดต้องทิ้งชีวิตเอาไว้ก็ไม่ปาน
ซือมั่วเดินอยู่ด้านหน้าสุด ที่ตามมาซ้ายขวาคือกู่หยากับกู่เย่ ห้าคนทางด้านหลังดูจากเสื้อผ้าที่สวมนั้นล้วนเป็นทหารมารของซือมั่ว
พอคนทั้งแปดเข้ามาบรรยากาศทั้งโถงนั้นก็รู้สึกอึดอัดจนแทบหายใจไม่ออก
เพียงซือมั่วคนเดียวก็ทำให้คนทั้งโถงต้องกลั้นหายใจไม่กล้าหายใจแรงแล้ว
เวลานี้พวกเขาราวกับเข้าใจแล้วว่าทำไมก่อนหน้านี้คนเผ่าฉงจึงได้หลบไปอย่างอนาถ เวลานี้หากไม่ใช่เพราะสถานการณ์ไม่อำนวย พวกเขาเองก็คงอยากเผ่นไปเสียให้ไกลโพ้น
‘เผ่ามารส่งใครมากัน’
ความคิดนี้ผุดขึ้นมาพร้อมกันในใจของทุกคนที่ไม่รู้จักซือมั่ว
มู่ชิงเกอเลิกคิ้วมุมปากคล้ายซ่อนรอยยิ้มไว้นางหลุบตาลง ยกถ้วยสุราตรงหน้าขึ้น ราวกับน้ำสุราในถ้วยดึงดูดใจมากกว่าคนของเผ่ามาร
“ท่านปู่ เป็นเขา” หลิงหลิงจำซือมั่วได้ ทั้งตื่นเต้นทั้งหวาดกลัวดึงแขนเสื้อผู้เฒ่าพลางกระซิบ
ซือมัวหยุดลงกลางโถง นัยน์ตาสีอำพันกวาดมองไปรอบๆ ไม่ได้หยุดที่ตัวมู่ชิงเกอราวกับไม่รู้จักนาง แต่การกวาดสายตานี้ทำให้ทุกคนรู้สึกว่าเขาคือราชาที่มาสำรวจดินแดนของตัวเอง ทำให้คนไม่กล้าประมาทต้องระมัดระวังตัวตลอดเวลา
ราวกับว่าเขาต่างหากที่เป็นเจ้าของที่นี่ ส่วนพวกเขาเป็นเพียงข้าแผ่นดินใต้เท้าเขา
‘เขาเป็นใครกันแน่’ หลีเฉาในใจสะท้าน ความรู้สึกที่เขามีต่อซือมั่วลึกลํ้าจนหยั่งไม่ถึง กระทั้งความรู้สึกที่ลึกลับยิ่งใหญ่นี้ยังแข็งแกร่งกว่าราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยที่เขาคุ้นเคย
หลีเฉาถูกเขาสะกดไว้ จวงซานก็ด้วย ซวนเฉียงก็เช่นกัน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนอื่น
ใบหน้าที่งดงามไร้เทียมทานจนยากที่จะหาคำใดๆ มาเปรียบเปรยของซือมั่ว กระทั้งนางซึ่งบำเพ็ญวิถีลืมรักยังอดไม่ได้ที่เกิดระลอกคลื่นภายในจิตใจ
ยังดีที่นางรู้สึกตัวและควบคุมไวได้ทัน เพียงพริบตาเดียวก็ทำให้ทะเลในใจสงบนิ่งไร้คลื่นลมดังเดิม
แต่นางยังคงตกตะลึงในความน่าเกรงขามของซือมั่วอยู่ดี เป็นความน่าเกรงขามที่ไม่เหมือนใครอื่น
เขาเป็นใครนะ
“ขอเรียนถามว่าใต้เท้าเป็นผู้ใดในเผ่ามาร” เผิงถูยืนขึ้น ท่ามกลางความงงงันแล้วพูดกับซือมั่วอย่างนอบน้อม ขณะที่เผ่าเทพเข้ามานั้นเขาไม่ได้มีอาการเช่นนี้ทั้งไม่ได้ลุกขึ้นมาต้อนรับด้วยซํ้า
ความจริงไม่ใช่ว่าเขาต้อนรับเทพมารสองเผ่าแตกต่างกัน แต่เป็นเพราะถูกบารมีของซือมั่วสะกดจนไม่ทำเช่นนี้ไม่ได้
“ชื่อใต้เท้าของพวกข้าพวกเจ้าเผ่าฉงเล็กๆ จะรู้จักหรือ รู้เพียงว่าเป็นทูตพิเศษของเจ้าแห่งมารก็พอแล้ว” กู่เย่ตวาดเสียงเข้ม
‘ทูตพิเศษของเจ้าแห่งมารหรือ’ มุมปากมู่ชิงเกอเชิดขึ้น ยิ้มอย่างนึกสนุกนางหลุบตาเล่นถ้วยสุรานึกขำในใจ
“ใช่ใช่ใช่ ข้าบุ่มบ่ามไปเอง เชิญใต้เท้านั่งเถิด” เผิงถูรีบปั้นหน้าประจบประแจงเต็มที่
ปฏิกิริยาของเขาทำให้หลีเฉาแอบขมวดคิ้ว คิดในใจว่า ท่าจะไม่ได้การ
คนพวกเขาฝั่งนี้ไม่มีทางเทียบกับฝั่งเผ่ามารได้เลย หากต้องชิงของเศษจริงๆ ดูจากอาการหัวหน้าเผ่าฉงแล้วคงจะอาศัยอะไรไม่ได้
ซือมั่วนำคนไปโต๊ะยาวฝั่งซ้ายที่ยังมีที่ว่าง
พอเขานั่งลง สายตาก็กวาดไปยังมู่ชิงเกออย่างแนบเนียน เห็นนางกำลังหลุบตาไม่มองตนแต่กำลังจ้องดูถ้วยสุราในมือ นัยน์ตาสีอำพันก็พลันมืดลง อยากลุกขึ้นไปแทนที่ถ้วยสุราในมือนางให้นางดูเสียให้พอ
พอซือมั่วนั่งลง ศูนย์กลางของห้องโถงก็กลายเป็นตัวเขาไป
แน่นอนว่าเป็นผลจากการที่มู่ชิงเกอพยายามลดความโดดเด่นของตัวเองลงด้วย
“ลูกพี่ นี่เป็นคนเผ่ามารจริงหรือ ดูท่าทางร้ายกาจมาก” ถงเถิงเข้าไปใกล้มู่ชิงเกอแล้วกระซิบกระซาบ
เวลานี้เองเสียงที่เคร่งขรึมของจวงซานก็ถ่ายทอดเข้ามาว่า “ไม่นึกว่าเผ่ามารจะส่งคนระดับนี้มา ท่าทางการแย่งชิงของวิเศษคราวนี้คงต้องต่อสู้กันอย่างดุเดือดแน่แล้ว’
พูดจบเขาก็พึมพำกับตัวเองว่า “เผ่ามารส่งคนระดับนี้มาหรือว่าของวิเศษจะมีความสำคัญมากต่อพวกเขา”
เทพมารสองเผ่ามากันครบ แต่เผ่าเทพส่งมาเพียงลูกศิษย์ของหนึ่งในดินแดนเทพมา ส่วนเผ่ามารส่งชายหนุ่มที่พลังบารมีสูงยิ่งทั้งงดงามลึกลับคนนั้นมา อย่างน้อยก็ต้องเป็นระดับเจ้าเมืองย่อย เมื่อเป็นเช่นนี้พลังบารมีในห้องโถงจึงเทไปทางฝั่งเผ่ามารทั้งหมด
เผิงถูนั่งอยู่ตรงตำแหน่งประธานรู้สึกลำคอแห้งผาก งานเลี้ยงภายใต้บารมีของซือมั่วนี้เขาไม่รู้ว่าจะดำเนินการอย่างไรดี
กู่หยากับกู่เย่นั่งอยู่ด้านหลังซือมั่ว ส่วนที่เหลือห้าคนต่างยืนอยู่ด้านหลังพวกเขา ฝ่ายแรกรู้อยู่ว่ามู่ชิงเกอจะมาทั้งรู้ว่าเจ้านายตัวเองก็จะมาด้วย เมื่อรู้สาเหตุก็ย่อมไม่มีอาการผิดปกติใด แต่ทหารมารห้าคนขณะที่เห็นใบหน้าของมู่ชิงเกอเหมือนพระชายายิ่งนักต่างก็ชะงักงันไป
ยังดีที่ผลการฝึกอย่างเข้มงวดทำให้พวกเขาไม่มีอาการตื่นเต้นจนเกินเหตุ
ในขณะที่รู้สึกถึงอาการของพวกเขานั้น กู่หยากับกู่เย่ก็รีบยับยั้งไว้ได้ทันท่วงที
“เหอะๆ คือ…ในเมื่อคนมากันครบแล้วอย่างนั้นก็เริ่มงานเลี้ยงกันเลยเถอะ มีเรื่องอะไรให้รองานเลี้ยงเสร็จสิ้น ก่อนค่อยว่ากัน” ภายใต้ความกดดันจากพลังบารมีของซือมั่ว เผิงถูพยายามเอ่ยออกมา