Skip to content

พลิกปฐพี 599

ตอนที่ 599

แค่ก แค่ก แค่ก

คำพูดนี้ไร้ซึ่งพลังอำนาจใด

แต่ถึงอย่างไรที่นี่ก็ถือว่า เป็นถิ่นของ เผ่าฉงเป็นที่มั่นใหญ่ของชนเผ่ากูกู ดังนั้นเมื่อเผิงถูออกคำสั่งแล้ว คนของเผ่าฉงก็ยังคงถืออาหารอุ่นร้อนส่งขึ้นมาวางบนโต๊ะยาว

“เหอะๆ ทุกท่านเชิญเลยไม่ต้องเกรงใจ” เผิงถูเชิญชวน

เผ่าฉงมีแขกไปใครมาน้อยมากย่อมไม่มีนางรำหรือการแสดงเตรียมไว้รองรับแขกเหรื่อ งานเลี้ยงต้อนรับนี้จึงดื่มกินกันอย่างเงียบเชียบ

ความจริงการจัดเลี้ยงครั้งนี้ เผิงถูเจ้าของงานสมควรควบคุมบรรยากาศจัดเลี้ยงให้รื่นเริง

แต่พอซือมั่วปรากฎตัว ใจเขาก็อยากให้งานเลี้ยงจบลงเร็วๆ จะมีใจคุยกับแขกเหรื่อที่ไหนกัน

แม้แต่การเชิญดื่มสุราก็เพียงเชิญดื่มตามมารยาท แค่ถ้วยเดียวก็ต่างคนต่างกินแล้ว

ระหว่างงานเลี้ยง ถงเถิงคอยจับตามองฝั่งเผ่ามารอย่างอยากรู้อยากเห็น แม้จะกินอาหารบนโต๊ะตัวเองแต่สายตาก็คอยชำเลืองมองจากร่างมู่ชิงเกอไปยังซือมั่ว แล้วจากร่างซือมั่วกลับมายังมู่ชิงเกอ

ราวกับว่ารสชาติอาหารในจานเป็นอย่างไรก็ยังไม่รู้เลย

อาหารมื้อนี้กินกันอย่างแสนจะกระอักกระอ่วน

เมื่อทุกคนกินอิ่มแล้วเผิงถูจึงพูดว่า “ในเมื่อทุกท่านมาเพื่อของวิเศษชิ้นนั้น ดังนั้นข้าคงไม่ต้องกล่าวอารัมภบทอะไรแล้วว่าของวิเศษชิ้นนั้นเป็นอะไรกันแน่ แม้แต่พวกเราเผ่าฉงเองก็ยังไม่อาจรู้ได้ ของวิเศษเพียงแค่มีท่าทีว่าจะปรากฎออกมาเท่านั้น แต่ยังไม่ได้ปรากฎออกมาจริงๆ พรุ่งนี้เช้าพวกเราสามเผ่าจะไปยังจุดที่ของวิเศษจะปรากฎออกมาด้วยกัน เผ่าไหนจะเป็นที่ต้องตาของของวิเศษนี้ก็ต้องแล้วแต่วาสนาของแต่ละเผ่าแล้ว”

คำพูดนี้เขาพยายามซักซ้อมมาแล้วไม่รู้กี่รอบ

จึงสามารถกล่าวออกมาได้ครบถ้วนภายใต้แรงกดดันจากบารมีที่ยิ่งใหญ่ของซือมั่ว

ไม่มีใครรู้หรอกว่าขณะที่เขากล่าวจบ เสื้อที่แผ่นหลังเขาก็เปียกไปหมดทั้งแถบ

หลังจากกำมือที่ชื้นเหงื่อแล้วเผิงถูก็รวบรวมความกล้าพูดต่ออีกว่า “คืนนี้ข้าขอแสดงท่าทีก่อนว่าหากของวิเศษกับเผ่าฉงข้าไม่มีวาสนาต่อกัน เผ่าฉงก็จะไม่ร่วมแย่งชิงด้วยอย่างเด็ดขาด”

พูดจบเขาหันมองไปทางเผ่าเทพ เผ่ามาร ความหมายนั้นชัดเจนมาก

หลีเฉาใช้สายตาที่หลุบตํ่ามองไปทางซือมั่ว เพียงเขาเห็นซือมั่วก็รู้สึกทิ่มแทงนัยน์ตาจนต้องรีบถอนสายตากลับคืนไม่กล้ามองอีก เขาจำต้องทำเป็นสงบนิ่ง มองเผิงถู “เช่นนี้ดีมาก หากของวิเศษนั้นไม่มีวาสนากับเผ่าเทพ พวกเราก็จะไม่แย่งชิงด้วย”

ท่าทีของหลีเฉาทำให้เผิงถูวางใจลงได้กึ่งหนึ่งจากนั้นเขาก็มองไปทางซือมั่วด้วยใจเต้นรัว

เวลานี้บรรยากาศในโถงนิ่งสงบมาก

ทุกคนต่างกลั้นหายใจรอคอยคำตอบของซือมํ่ว เขาแสดงท่าทีคล้ายยิ้มแต่ไม่ยิ้มซึ่งทำให้ทุกคนหนาวไปถึงขั้วหัวใจ เอ่ยเพียงคำง่ายๆว่า “ดี”

คำนี้ทำให้เผิงถูโล่งอก เขาเองก็ไม่กล้าหวังมากกว่านี้จึงรีบสรุปทันทีว่า “เช่นนี้แล้ว ขอให้ทุกท่านพักผ่อนที่เผ่าข้าก่อน พรุ่งออกค่อยเดินทางไปยังสถานที่ที่ของวิเศษปรากฎออกมาด้วยกัน”

งานเลี้ยงจบลง

ตั้งแต่ต้นจนจบมู่ชิงเกอไม่ได้มองซือมั่วเลยแม้เพียงแวบเดียว ส่วนซือมั่วก็ไม่ได้สนใจมู่ชิงเกอมากเกินไป

จนกระทั่งงานเลิก มู่ชิงเกอก็ตามคนเผ่าเทพกลับไปยังห้องของพวกเขา ส่วนซือมั่วกับเผ่ามารก็เดินไปยังอีกด้านหนึ่งของชนเผ่ากูกู

หลิงหลิงที่ติดตามอยู่ข้างกายผู้เฒ่าพึมพำ อย่างประหลาดใจ “แปลกจริงๆ คนคนนั้นเหมือน ภรรยาของเขาอย่างกับแกะ แต่เขากลับไม่แปลกใจแม้แต่นิดราวกับมองไม่เห็นอย่างนั้น”

“หลิงหลิง อะไรที่พวกเราไม่ควรถาม อะไรที่พวกเราไม่ควรยุ่งเกี่ยว ก็อย่าเข้าไปยุ่งเลย” ผู้เฒ่าเตือน หลิงหลิงพลางส่ายหน้าช้าๆ

แม้หลิงหลิงจะพยักหน้า แต่ความสงสัยในแววตาก็ยังไม่จางหายไป

ขณะที่มู่ชิงเกอเพิ่งกลับถึงห้องและถงเถิงกำลังเล่าความรู้สึกแรกที่เห็นคนเผ่ามารอย่างตื่นเต้นอยู่นั้น ประตูก็ถูกเคาะดังขึ้น

ถงเถิงไปเปิดประตูพบอวี้ซียืนอยู่ข้างนอก อวี้ซีผงกศีรษะให้มู่ชิงเกอด้วยความเคารพ

“สามน้อย ใหญ่น้อยเชิญไปหารือ เจ็ดน้อยกับสิบน้อยก็ไปกันแล้ว”

มู่ชิงเกอพยักหน้านำถงเถิงตามอวี้ซีไปห้องหลีเฉาด้วยกัน

ในห้องหลีเฉามีคนนั่งกันเต็ม สีหน้าทุกคนต่างหนักใจ

เห็นมู่ชิงเกอกับถงเถิงมาแล้ว หลีเฉาจึงเปิดปากว่า “ที่เรียกพวกเจ้ามาก็เพื่อปรึกษาเรื่องพรุ่งนี้ วันนี้คนเผ่ามารคนนั้นข้าดูแล้วไม่ธรรมดา การที่เผ่ามารส่งคนเช่นนี้มาเห็นได้ชัดว่าของวิเศษที่จะปรากฎออกมานั้นต้องสำคัญมากต่อเผ่ามารพวกเขาจึงจำต้องได้มันกลับไป”

การวิเคราะห์ของหลีเฉาทำให้ซวนเฉียงกับจวงซานผงกศีรษะ

มีเพียงมู่ชิงเกอที่ไม่ได้แสดงท่าที นางรู้ว่าสาเหตุที่ซือมั่วมาด้วยตัวเองนั้นเป็นเพราะอะไร แต่ไม่นึกว่าจะกลายเป็นความเข้าใจผิดเช่นนี้

แต่เวลานี้นางกล่าวแย้งไม่ได้จึงทำได้เพียงนิ่งเงียบเท่านั้น

“ใหญ่น้อย พวกเราควรทำอย่างไร” จวงซานถาม

คำถามเขาทำให้สายตาทุกคนมองไปที่หลีเฉา

หลีเฉาเดินวนในห้องหลายก้าวแล้วเปิดปากว่า “ก่อนมาราชาเทวะบอกว่า หากของวิเศษไม่เลวก็แย่งชิงมา ถึงแม้เวลานี้ยังไม่รู้ว่าเป็นของวิเศษอะไร แต่ในเมื่อสำคัญต่อเผ่ามาร พวกเราเผ่าเทพกับเผ่ามารเป็นศัตรูกันมาหลายชั่วอายุแล้วย่อมจะให้ของวิเศษตกอยู่ในมือเผ่ามารไม่ได้”

“พูดได้ถูกต้องแล้ว” ซวนเฉียงผงกศีรษะเห็นด้วย

จวงซานขมวดคิ้วว่า “แต่หากใช้กำลังแย่งชิง ลำพังเพียงกำลังพวกเราเกรงว่า…” เขามองไปรอบๆ คำที่ยังไม่ได้พูดก็บ่งบอกชัดเจนแล้ว

“หากำลังหนุนเวลานี้ก็ไม่ทันแน่นอน” ซวนเฉียงขมวดคิ้วแน่น

“นี่คือปัญหา” หลีเฉาผงกศีรษะแล้วถอนใจ

การแย่งชิงนั้นไม่ต้องสงสัยแล้ว ปัญหาคือจะแย่งชิงได้อย่างไร

สามคนถกกันอย่างจริงจัง ทันใดนั้นหลีเฉาก็มองมู่ชิงเกอแล้วถามว่า “ทำไมเจ้าสามไม่พูดบ้างเลยเล่า”

มู่ชิงเกอที่ถูกเรียกชื่อ มุมปากกระตุกแล้วผายมือว่า “ที่สมควรพูดพวกเจ้าต่างพูดกันจนหมดแล้ว ข้าไม่รู้ควรจะพูดอะไรดี”

ล้อเล่นอะไรกัน จะให้นางออกความคิดเล่นงานผู้ชายของนางเชียวหรือ จุดยืนนางมั่นคงมากนะรู้หรือไม่

หลีเฉาไม่พอใจท่าทีของมู่ชิงเกอจึงตำหนิว่า “ในเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ เจ้าจะไม่ยุ่งเกี่ยวได้อย่างไรกัน”

“ใหญ่น้อยอย่าได้ร้อนใจไป” จวงซานรีบไกล่เกลี่ย “เจ้าสามเพิ่งเข้ามาในแผ่นดินเทพ เมื่อก่อนไม่เคยสัมผัสกับเผ่ามารมาก่อน การที่ไม่มีความคิดเห็นในเรื่องที่เกี่ยวกับเผ่ามารย่อมเป็นเรื่องปกติ”

คำพูดของเขาช่วยให้มู่ชิงเกอรอดตัวไป ทำให้ความโกรธในสายตาหลีเฉาลดลง เขาพยักหน้าช้าๆ แล้วบอกมู่ชิงเกอว่า “เจ้าสาม ถึงแม้เจ้าไม่ได้เกิดในแผ่นดินเทพ แต่ในเมื่อบินขึ้นมาแล้วก็คือเผ่าเทพ เจ้าต้องเข้าใจให้ชัดเจนว่า ระหว่างเทพมารนั้นไม่สามารถ รอมชอมกันได้”

“ทำไมหรือ” มู่ชิงเกอพูดเรียบๆ สิ่งที่นางไม่พอใจมากที่สุดคือ ‘ธรรมะอธรรมไม่อาจอยู่ร่วมโลก เทพ มารไม่อาจอยู่ร่วมฟ้า’ ธรรมะกับอธรรม เทพกับมาร สามารถแยกแยะกันได้ชัดเจน แบ่งแยกกันได้ชัดเจนอย่างนั้นหรือ

“ทำไมหรือ” หลีเฉาขมวดคิ้วพูดเสียงเครียด “ก็เพราะเผ่ามารนั้นโหดเหี้ยมทารุณ ไร้น้ำใจ พวกขาสังหารเข่นฆ่าจนเป็นนิสัย ไม่มีจิตใจความเป็นมนุษย์แม้แต่นิดอย่างไรเล่า”

แววตามู่ชิงเกอหม่นลงเม้มปากแน่น เผ่ามารที่นางเห็นกับที่หลีเฉาพูดนั้นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

“ใหญ่น้อย เจ้าเคยสัมผัสเผ่ามารด้วยตัวเองหรือไม่” นางถาม

หลีเฉาแววตาเริ่มเย็นเฉียบมองมาที่มู่ชิงเกอ “เจ้าหมายความว่าอย่างไร”

บรรยากาศระหว่างคนทั้งคู่ใกล้ถึงจุดระเบิด

เวลานี้เองซวนเฉียงก็ก้าวขึ้นมาขวางอยู่ระหว่างกลางแล้วพูดเรียบๆ ว่า “แดนมารรกร้างแต่ ก่อนนี้ทำสงครามตลอดเวลา เจ้าแห่งมารคนใหม่ยุ่งอยู่กับการรบราจลาจลยึดครองพื้นที่กลับคืน รวบรวมแผ่นดินมารจนไม่มีเวลาทำศึกกับแผ่นดินเทพ พวกเราจึงไม่มีโอกาสได้ทำสงครามปะทะโดยตรงกับเผ่ามาร แต่เทพมารแต่โบราณมาก็ไม่อาจอยู่ร่วมกันได้ในจุดนี้ไม่มี ใครสามารถเปลี่ยนแปลงได้ อีกทั้งข้าเคยได้ข่าวว่า เจ้าแห่งเผ่ามารคนใหม่นิสัยโหดเหี้ยมทารุณ นิยมการสังหารจนเป็นนิสัย หากเจรจากันไม่พอใจก็เปิดการสังหารครั้งใหญ่ ใช้การสังหารเป็นเครื่องหย่อนใจ อีกทั้งหน้าตาดุร้ายสุดแสนอัปลักษณ์ไม่ใช่สิ่งดีแน่นอน”

มู่ชิงเกอฟังแล้วโกรธจนอึ้ง

ใครกันนะที่สร้างเรื่องสารพัดเหลวไหลแปลงโฉมซือมั่วจนเป็นเช่นนี้

นางสูดลมหายใจเข้าลึก ไม่อยากทุ่มเถียงกับความเชื่อฝังลึกของพวกเขาต่อ

“เอาละเอาละ ต่อไปเมื่อเจ้าสามได้สัมผัสกับเผ่ามารแล้วก็จะค่อยๆ เข้าใจเผ่ามารเอง พวกเราไม่ต้องร้อนใจเกินไป” จวงซานเปิดปากพูด

“เวลานี้ที่ต้องพิจารณาคือพรุ่งนี้จะทำอย่างไร” หลีเฉาเองก็ไม่อยากต่อความยาวจึงวกลับมาคุยเรื่องเดิม

มู่ชิงเกอพูดออกมาว่า “เวลานี้คิดมากจะมีประโยชน์อะไร เหตุการณ์พรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร เผ่ามารจะดำเนินการอย่างไรพวกเราต่างไม่รู้การคาดเดากันเฉยๆ ไม่สู้พรุ่งนี้แก้ไขไปตามสถานการณ์ยังจะดีกว่า”

คำพูดของนางยุติการปรึกษาครั้งนี้ลง

ออกจากห้องหลีเฉาแล้วมู่ชิงเกออดไม่ได้ที่จะแค่นเสียง

“ลูกพี่ ท่านโมโหหรือ” ถงเถิงตามออกมาถามอย่างระมัดระวัง

โมโหหรือ

ไม่โมโหหรอก

มู่ชิงเกอเม้มปากส่ายหน้าแล้วหัวเราะว่า “พรุ่งนี้ยังมีเรื่องมากนักรีบกลับไปพักผ่อนเถอะ”

ถงเถิงพยักหน้าไม่ได้ถามต่อ

คืนนั้นสี่ห้องด้านเผ่ามาร แสงไฟภายในแกว่งไกวไม่นิ่งเดียวมืดเดี๋ยวสว่าง เงียบสงบอย่างยิ่ง

ทันใดนั้นทั้งชนเผ่ากูกูราวกับแน่นิ่งไปหมด ทุกอย่างฺถูกตรึงอยู่กับที่ แม้แต่แสงไฟที่แกว่งไกวไม่นิ่งก็ยังหยุดนิ่งลง

ไอมารจางๆ ปกคลุมทั่วท้องฟ้า

ร่างที่สูงโปร่งแข็งแรงปรากฎขึ้นที่หน้าห้องของมู่ชิงเกอ เขายกมือขึ้น แขนเสื้อเลื่อนตกลง นิ้วเรียวยาวสวยงามดันบานประตูให้เปิดออกอย่างง่ายดาย

เขาเดินเข้าไป เมื่อนัยน์ตาสีอำพันมองเห็นชุดแดงบาดตาริมฝีปากแดงจึงค่อยๆ โค้งขึ้น เขา เดินไปข้างตัวนาง ก้มลงกอดเอวแล้วอุ้มนางอันเป็นที่รักยิ่งไว้แนบอก

ในอ้อมอกนั้น ใบหน้างามสุดแสนที่แยกชายหญิงไม่ออกยังคงมีท่าทีครุ่นคิด

เขาก้มศีรษะลงริมฝีปากเย็นจูบที่หว่างคิ้วนางเบาๆ

มู่ชิงเกอกะพริบตาร่างกายกลับคืนเป็นปกติ นางอิงแอบในอ้อมอกชายหนุ่มแล้วยิ้มอย่างจนใจ นัยน์ตางามใสฉายแววรักใคร่ออกมา “เจ้าช่างใจกล้า บ้าระหํ่ายิ่งนัก”

“ข้าคิดถึงเจ้าจนสุดทน เจ้าไม่มาพบข้า ข้าจึงต้องมาพบเจ้า” ซือมั่วพูดอย่างน้อยใจ

มู่ชิงเกอเบนสายตามองออกไปจากอกเขา กวาดตาจนพบร่างถงเถิง

“วางใจเถอะ ข้าเพียงสะกดบริเวณนี้ทั้งหมดชั่วคราวเท่านั้น พวกเขายังคงอิริยาบถเดิม หลังจากตื่นแล้วจะไม่รู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้น” ซือมั่วอธิบาย

มู่ชิงเกอพยักหน้า

ทันใดนั้นใบหน้าซือมั่วก็โน้มเข้ามาใกล้อย่างกะทันหันทำเอานางตกใจจนต้องถามว่า “เจ้าจะทำอะไร”

“ข้าต้องการ…เจ้า”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version