ตอนที่ 603
ดินแดนจงซาน สวัสดีสามน้อยมู่
ในเขาวังน้อย มู่ชิงเกอกับจางซานเดินเข้าวังน้อยด้วยกัน
หลังจากนั่งลงแล้ว มู่ชงเกอกหยิบสุราออกมาขวดหนึ่งบอกจางซานว่า “ข้าไม่มีนํ้าชาจึงได้เพียงใช้สุราแทนนํ้าชาแล้ว”
จางซานพูดอย่างขำขันว่า “คนอื่นเขามีแต่ใช้นํ้าชาแทนสุรา มาถึงที่เจ้านี่กลายเป็นใช้สุราแทนนํ้าชา”
มู่ชิงเกอรินให้แล้วหยอกว่า”หรือว่าศิษย์พี่จวงซานชอบนํ้าชามากกว่า”
พวกเขาไม่ใช่ไม่เคยดื่มด้วยกัน นางย่อมรู้ว่าจวงซานชอบดื่มสุรา
ทั้งสองคนดื่มไปถ้วยหนึ่งแล้ว จวงซานเช็ดรอยสุราที่มุมปาก บอกมู่ชิงเกอว่า “กลับเข้าเรื่องหลัก ข้าจะบอกเจ้าก่อนว่าสี่ดินแดนเทพถกวิถีคืออะไร”
“ยินดีรับฟัง” มู่ชิงเกอผงกศีรษะนิดๆ
จวงซานพูดอย่างจริงจังว่า “ที่เรียกว่าสี่ดินแดนเทพถกวิถีนั้นความจริงเป็นธรรมเนียมของแผ่นดินเทพ แผ่นดินเทพทั้งสี่สมุทรต่างก็จัดกัน เพียงแต่เวลาจัดไม่ตรงกัน พวกเราแผ่นดินเทพตะวันออก ทุก 100 ปีก็จะจัดสี่ดินแดนเทพถกวิถีหนึ่งครั้ง สถานที่จัดจะหมุนเวียนไปทั้งสี่ดินแดนเทพ ครั้งที่แล้วเป็นพวกเราดินแดนฮ่วนเยวี่ย ครั้งนี้เป็นแดนจงซาน ส่วนสี่ดินแดนเทพถกวิถี ความจริงก็คือการแลกเปลี่ยนความรู้ความเข้าใจได้ว่าเป็นการประลองกัน ของลูกศิษย์สี่ดินแดนเทพ นับได้ว่าระหว่างสี่ดินแดนเทพ”
มู่ชิงเกอเลิกคิ้วนึกนินทาในใจ ‘ราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยผู้นี้ใจกว้างจริงๆ การประลองที่เกี่ยวกับความแข็งแกร่งและฐานะเช่นนี้ หากอยู่ที่ดินแดนเทพอื่นคงจะเป็นเรื่องสำคัญที่สุด แต่ที่ดินแดนฮ่วนเยวี่ยมู่ชิงเกอกลับไม่ได้รับรู้ถึงความตื่นเต้นอะไรเลย เรื่องสำคัญระดับร้อยปีครั้งถูกจัดการอย่างลวกๆ กระทั่งผู้อาวุโสยังไม่ส่งไปสักคน’
“ในเมื่อเป็นเรื่องสำคัญเช่นนี้ทำไมราชาเทวะจึงไม่ใส่ใจแม้แต่นิด” มู่ชิงเกอบอกออกมา
จวงซานหัวเราะ “ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าต้องถามเช่นนี้ ราชาเทวะพวกเราแต่ไหนแต่ไรไม่เคยสนใจลาภยศสรรเสริญมีนิสัยสมถะ ไม่สนใจเรื่องบริหาร อีกทั้งพวกเราดินแดนฮ่วนเยวี่ยก็เป็นหัวหน้าสี่ดินแดนเทพของแผ่นดินเทพตะวันออกอยู่แล้ว เมื่อมีความแข็งแกร่ง เกี่ยวกับเรื่องสี่ดินแดนเทพถกวิถีราชาเทวะจึงไม่ได้ใส่ใจอะไร”
“ไม่ใช่สมควรยิ่งใส่ใจหรือ ไม่เช่นนั้นหากแพ้ไปไม่ยิ่งขายหน้าหรือ” มู่ชิงเกอพูดอย่างแปลกใจ คำพูดนางจึงสมควรเป็นความคิดที่ถูกต้องของคนส่วนใหญ่ไม่ใช่หรือ
“เจ้าพูดไม่ผิด” จวงซานพยักหน้า “แต่ทำอย่างไรได้ ราชาเทวะพวกเราไม่ใส่ใจ อีกทั้งราชาเทวะมัวแต่สนใจบ่มเพาะพลังความแข็งแกร่งของพวกเราเอง ดังนั้นในระยะพันปีนี้ สี่ดินแดนเทพถกวิถีทุกครั้ง ใหญ่น้อยก็เพียงถามตามธรรมเนียมว่ามีผู้อาวุโสร่วมด้วยหรือไม่ พวกเราต่างเคยชินกันแล้ว”
“เช่นนั้นสี่ดินแดนเทพถกวิถีจะประลองอะไรหรือ แล้วก่อนนั้นผลงานดินแดนฮ่วนเยวี่ยเป็นอย่างไรหรือ” มู่ชิงเกอถาม
นางอยากรู้จริงๆ ว่าการบริหารแบบลอยแพหาอาหารเองเช่นราชาเทวะฮ่วนเยวี่ย ดินแดนฮ่วนเยวี่ยทำอย่างไรจึงสามารถรักษาตำแหน่งที่หนึ่งในแผ่นดินเทพตะวันออกไว้ได้
“สี่ดินแดนเทพถกวิถี ที่ประลองนั้นคือวิถีและอาคม วิถีคือความหมายของเต๋า การประลองคือ ประลองการตระหนักรู้ของทุกคนที่มีต่อวิถี ในจุดนี้พวกเราดินแดนฮ่วนเยวี่ยครั้งนี้มีเจ้าเป็นอัจฉริยะอยู่แล้ว การแพ้นั้นคงจะยากมาก” จวงซานพูดทีเล่นทีจริง เขายังจำได้ว่าขณะที่มู่ชิงเกอเพิ่งเข้าดินแดนฮ่วนเยวี่ย ขณะรับการทดสอบ ดอกบัวสีทองหลักธรรมหมื่นดอกบานสะพรั่งพร้อมกัน
“ส่วนอาคมก็คือทดสอบผลบำเพ็ญว่าอาคมของใครยอดเยี่ยมกว่า คล่องกว่าและรอบรู้มากกว่า” จวงซานพูดต่อ
มู่ชิงเกอพยกหน้านิดๆ พอจะเข้าใจบ้างแล้ว
จวงซานพูดต่อว่า “หากผลการประลองทั้งสองอย่างสามารถอยู่ในลำดับร้อยคนแรกได้ก็จะสามารถอาบแสงแห่งวิถีได้”
“แสงแห่งวิถีหรือ”มู่ชิงเกอถามอย่างไม่เข้าใจ
จวงซานพยักหน้า “ถูกต้อง แสงแห่งวิถีคือแสงลึกลับที่หาได้ยากมาก การได้อาบอยู่ข้างใน สามารถช่วยให้เข้าใจในวิถี อีกทั้งสัมผัสได้ถึงต้นกำเนิดวิถี หากมีพรสวรรค์ลํ้าเลิศทั้งมีวาสนาดี ไม่แน่ว่ายังสามารถเข้าใจถึงบัญญัติอาคมที่เป็นของตัวเอง โดยทั่วไปแล้วนอกจากในร้อยคนแรกที่สามารถอาบได้สามวันมีเพียงสามคนแรกเท่านั้นจึงจะสามารถอาบได้ถึงสิบวัน”
ดวงตาของมู่ชิงเกอเป็นประกายแสดงความสนใจแสงแห่งวิถีอย่างยิ่ง
อะไรก็ตามหากสามารถเพิ่มขีดความสามารถของตัวเองนางจะไม่ยอมพลาดโอกาสเป็นอัน ขาด เนื่องจากนางรู้ว่าตัวเองยังห่างจากมู่เทียนอินอยู่ช่วงหนึ่ง เรื่องที่นางต้องทำและหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ ทำให้นางต้องมีพลังที่แกร่งกล้ามากขึ้น
“พวกเราดินแดนฮ่วนเยวี่ยมีเพียงสิบคน แต่สิทธิ์อาบแสงแห่งวิถีมีจำนวนถึงหนึ่งร้อย…” มู่ชิงเกอ ขมวดคิ้วพูด
จวงซานยิ้มบอกว่า มีเพียงพวกเราดินแดนฮ่วนเยวี่ยที่ไปเพียงสิบคน ดินแดนอื่นไปกันหลายร้อยคนทั้งนั้น”
มู่ชิงเกอสูดลมหายใจเย็นเยียบเข้าลึก นาง พูดอย่างไม่เข้าใจว่า “ในเมื่อแสงแห่งวิถีดีเช่นนี้ ทำไมราชาเทวะไม่ส่งคนเข้าร่วมมากขึ้นเพื่อจะได้แย่งสิทธิ์หนึ่งร้อยคนนั้น”
“ราชาเทวะไม่ได้ห้ามไม่ให้ลูกศิษย์คนอื่นไป เพียงแต่ลูกศิษย์ที่ไปเอง ไม่ว่าแพ้ชนะจะไม่บันทึกในนามดินแดนฮ่วนเยวี่ยเท่านั้น” จวงซานฝืนยิ้ม
มู่ชิงเกองงงัน ราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยคนนี้ คิดอย่างไรกันแน่จึงไม่สนใจลาภยศสรรเสริญอะไรขนาดนี้
“เอาละ ที่ควรรู้เจ้าก็รู้แล้ว ที่ข้าควรบอกก็บอกไปมากแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่เจ้าร่วมงานสี่ดินแดนเทพถกวิถี ไปถึงแดนจงซานแล้วต้องตามติดข้าให้ดี อย่าได้ก่อเรื่องให้มีเรื่องยุ่งยากตามมา” จวงซานยืนขึ้นมากำชับมู่ชิงเกอ
พอเขากำชับจบก็เตรียมขอตัวจากไป
“ศิษย์พี่จวงซานค่อยๆ เดิน” มู่ชิงเกอส่งจวง ซานจากไป
นางยืนอยู่ที่บันไดหน้าวังมองทะเลเมฆภูเขาไกลออกไปแล้วสองตาก็หรี่ขึ้นมา “สี่ดินแดนเทพถกวิถี เป็นโอกาสดีที่หาได้ยากมาก ได้ทั้งเพิ่มตบะบำเพ็ญได้ทั้งเสริมสร้างพลัง แล้วยังใช้สร้างชื่อเสียงได้อีก”
นัยน์ตามู่ชิงเกอเป็นประกายมุมปากโค้งขึ้นมา
นางเชื่อว่าเพียงแค่นางสามารถมีผลงานยอดเยี่ยม กระทั่งได้ที่หนึ่งในสี่ดินแดนเทพถกวิถีครั้งนี้ก็จะสามารถทำให้ชื่อมู่ชิงเกอนี้ดังไปทั่วทั้งแผ่นดินเทพตะวันออก หากมู่เทียนอินอยู่ที่แผ่นดินเทพตะวันออกล่ะก็ จะต้องรู้ว่านางมาแล้ว
มู่ชิเกอสะบัดแขนเสื้อแล้วออกจากเขาวังน้อยมุ่งหน้าไปยังบ้านเล็กบนเขา
ก่อนจะจากไปยังดินแดนจงซาน นางอยากขอความรู้จากผู้เฒ่าลึกลับท่านนั้นเพื่อเพิ่มความมั่นใจให้ตัวเอง
เพียงแต่น่าเสียดาย ขณะที่นางไปถึงบ้านเล็กบนเขาผู้เฒ่าลึกลับกลับไม่อยู่ นางรออยู่บนยอดเขานานแล้วก็ไม่เห็นเขากลับมาจึงต้องกลับไปอย่างเสียไม่ได้
ผู้เฒ่าเป็นใครกันแล้วเขามีฐานะอะไรนะหรือ
คำถามนี้ซ่อนอยู่ในใจมู่ชิงเกอ แต่น่าเสียดายที่ผู้เฒ่าไม่ยอมเปิดเผย นางเองก็ทำอะไรไม่ได้
อีกสามวัน สิบลูกศิษย์ใหญ่ดินแดนฮ่วนเยวี่ย ก็ขึ้นเรืออากาศ มุ่งหน้าสู่ดินแดนจงซาน
ดินแดนจงซานอยู่ทางเหนือของแผ่นดินเทพตะวันออก
พวกเขาสามารถเลือกวิ่งข้ามแผ่นดินใหญ่ และสามารถเลือกนั่งเรืออากาศเข้ามหาสมุทรดวงดาว เพื่อประหยัดเวลาให้ถึงดินแดนจงซานเร็วขึ้นหลีเฉาจึงเลือกใช้เรืออากาศเดินทางในมหาสมุทรดวงดาว
เมื่อพวกเขาไปถึงดินแดนจงซาน หลังจากนั้นสิบวัน หลีเฉาก็ยิ้มพูดกับอีกเก้าคนว่า ”ดีที่ครั้งนี้เป็นดินแดนจงซาน พวกเราสามารถไปทางมหาสมุทรดวงดาวได้ หากเป็นดินแดนเหว่ยอี้จะไปได้เพียงทางบก เวลาเดินทางจะช้าลงไปมาก”
เวลาสิบวันด้วยความเร็วของเรืออากาศจึงไวมาก ทั้งยังสามารถให้พวกเขาบำเพ็ญได้อย่างสบาย ทำให้ระหว่างเดินทางไม่เหนื่อยล้าเนื่องจากการเร่งเดินทาง หากไปทางบกคงต้องเดินถึงยี่สิบกว่าวันจึงสามารถไปดินแดนจงซานได้
“ดินแดนจงซานนี้ไม่ได้มานานแล้ว” สี่น้อยมองทิวทัศน์เบื้องหน้าพลางยิ้มพูด
มู่ชิงเกอมาดินแดนจงซานเป็นครั้งแรก ทิวทัศน์แปลกประหลาดเบื้องหน้าทำให้นางเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น ดินแดนจงซานเบื้องหน้านาง ต่างกับดินแดนฮ่วนเยวี่ยนัก
ดินแดนจงซานราวกับเป็นฟันเฟืองที่เชื่อมต่อฟ้าดิน บนนั้นเป็นเทือกเขาขึ้นลงมีทิวทัศน์สวยงาม บางครั้งก็เห็นหอสูงเรือนสูงโดดเด่นซ่อนอยู่ภายในลมแรง หิมะจัด
ที่นี่เป็นโลกที่เป็นสีขาวล้วน
แต่ในผิวพื้นที่ติดต่อกันกลับเป็นหญ้าเขียวชอุ่มให้กลิ่นอายฤดูใบไม้ผลิ ในผืนหญ้าและดอกไม้ป่า มีสัตว์เล็กๆ กระโดดไปมา เค้าโครงเมืองเห็นเป็นลายเส้นขึ้นลงระหว่างฟ้าดิน
“ดินแดนจงซานนี้ต่างกับดินแดนฮ่วนเยวี่ยของเรา แบ่งเป็นเมืองหิมะกับเมืองใบไม้ผลิ เมืองใบไม้ผลิคล้ายกับเมืองล่างของดินแดนฮ่วนเยวี่ย ต่างอยู่อาศัยโดยมนุษย์เทพที่ขึ้นกับดินแดนจงซาน ส่วนเมืองหิมะคล้ายกับเมืองบนของดินแดนฮ่วนเยวี่ยเป็นที่พักอาศัยของลูกศิษย์ดินแดนจงซาน” จวงซานอยู่ข้างมู่ชิงเกออธิบายเสียงเบาให้เขาฟัง
มู่ชิงเกอผงกศีรษะสื่อว่าเข้าใจแล้ว
“พวกเราไปเมืองใบไม้ผลิ ที่นั่นจะมีลูกศิษย์ดินแดนจงซานคอยรับรองอยู่” หลีเฉามองคนที่เหลือแล้วพูด
คนที่เหลือย่อมผงกศีรษะรับคำ
ทั้งสิบคนเดินมุ่งไปทางเมืองใบไม้ผลิ
ระหว่างทางมู่ชิงเกอถามจวงซาน “ศิษย์พี่จวงซาน ระหว่างนี้จะต้องมีพิธีรีตองอะไรบ้างไหม”
จวงซานตอบว่า “ไม่ได้มีพิธีรีตองอะไรพิเศษ เจ้าคอยตามข้าก็พอแล้ว ตามปกติลูกศิษย์จากดินแดนอื่นมักจะไปถึงเมืองบริวารก่อนให้ลูกศิษย์รับรองพักผ่อนสักพัก รอให้ทุกดินแดนมาพร้อมแล้วจึงเข้าดินแดนด้วยกัน”
มู่ชิงเกอผงกศีรษะแสดงว่าเข้าใจ
พวกฮ่วนเยวี่ยสิบคนเข้าไปในเมืองใบไม้ผลิ พอเข้าไปแล้วก็รู้สึกได้ถึงผู้คนในกลุ่มมนุษย์เทพ เมืองเช่นนี้ความจริงไม่ได้ต่างกับเมืองที่มนุษย์ธรรมดาอาศัยอยู่เลย
มีทั้งตลาดที่รุ่งเรือง ทั้งศาลาหอสูง คนสัญจรไปมาหนาแน่นและธุรกิจเฟื่องฟู
นอกเหนือจากนั้นก็คือถํ้าเขาวิญญาณที่สร้างขึ้นไว้ให้บรรดามนุษย์เทพบำเพ็ญ เช่นเวลาเข้า เมืองหากมอบหยกเทพเพียงพอ ก็จะสามารถเข้าพักอาศัยถํ้าในเมืองที่มีไอวิญญาณได้ แล้วคอยจ่ายหยกเทพเช่าต่อตามเวลาเท่านั้น
“ทุกท่านมาจากดินแดนฮ่วนเยวี่ยหรือ”
พอเข้าเมืองก็มีลูกศิษย์ที่ห้อยป้ายของดินแดนจงซานเดินเข้ามา
ดูท่าพวกเขาก็คือลูกศิษย์ต้อนรับที่หลีเฉาพูดถึง
หลีเฉาพยักหน้า “ถูกต้อง”
เมื่อตรวจสอบหมายเลขตรงกันแล้ว ลูกศิษย์แดนจงซานยิ้มกว้างขึ้นทำความเคารพระหว่างลูกศิษย์ด้วยกันต่อหลีเฉาแล้วจึงถามว่า “ขอทราบชื่อและมีหนังสือรับรองของราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยหรือไม่”
หลีเฉาว่า “ข้าน้อยสิบลูกศิษย์ใหญ่ตำหนักหน้าดินแดนฮ่วนเยวี่ย หลีเฉา” ตามด้วยหยิบหนังสือของราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยออกมาเพื่อรับรองตัวตน
“ที่แท้เป็นใหญ่น้อยฮ่วนเยวี่ย” ลูกศิษย์ดินแดนจงซานตกใจ รับหนังสือไปตรวจสอบอย่างละเอียด แล้วจึงคืนให้หลีเฉา
หลีเฉาบอกเขาว่า “พวกเราทั้งสิบคนคือสิบลูกศิษย์ใหญ่”
ลูกศิษย์แดนจงซานยิ้มแล้วพูดว่า “เคยได้ยินมาว่าการถกวิถีทุกครั้งดินแดนฮ่วนเยวี่ยจะส่งมาแต่สิบลูกศิษย์ใหญ่ตำหนักหน้า ฮ่วนเยวี่ยทั้งสิบ ดูแล้วครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน”
เขาพูดแล้วมองไปที่คนทั้งเก้า
มองไปกลับสองรอบ เขาก็ถามหลีเฉาด้วยอาการประหลาดใจว่า “เอ๊ะ ขอถามใหญ่น้อย ฮ่วนเยวี่ยทั้งสิบเลื่องชื่อมานาน มนุษย์เทพแผ่นดินเทพตะวันออกส่วนใหญ่ก็พอรู้จักกันอยู่ ข้าสังเกตทุกท่านแล้ว ตรวจได้ตรงกันหมด แต่ทำไมมีหนึ่งท่าน…” เขายิ้ม แล้วพูดว่า “ได้ยินว่าสามน้อยฮ่วนเยวี่ยเซียนสุ่ย ใบหน้าขาวเหมือนบัณฑิตอ่อนแอ ทำไมจึงไม่มีผู้ใดเป็นเช่นดังที่ว่าไว้”
คำพูดของเขาทำให้มู่ชิงเกอมองไปที่หลีเฉา
หลีเฉาบอกลูกศิษย์ดินแดนจงซานว่า “นั่นเป็นเรื่องในอดีต เวลานี้เซียนสุ่ยไม่ได้เป็นสามน้อยฮ่วนเยวี่ยแล้ว สามน้อยฮ่วนเยวี่ยปัจจุบันเป็นคนอื่น”
พูดจบ เขาชี้ไปที่มู่ชิงเกอว่า “คนนี้ชื่อมู่ชิงเกอ เวลานี้เขาจึงเป็นสามน้อยฮ่วนเยวี่ยของพวกเราดินแดนฮ่วนเยวี่ย”
ลูกศิษย์ต้อนรับแดนจงซานคนนั้นตาดำหดลง มองมู่ชิงเกอหลายรอบ ถามหลีเฉาให้แน่ใจด้วยเสียงตื่นเต้นว่า “ใหญ่น้อย มีข่าวในแผ่นดินเทพตะวันออกว่าสามน้อยฮ่วนเยวี่ยทำคุณครั้งใหญ่ นำของที่อดีตราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยทำหายไปเมื่อ 38,000 ปี ก่อนกลับดินแดนฮ่วนเยวี่ยได้ ทำให้อดีตราชาเทวะได้ตายตาหลับหรือว่าสามน้อยที่ทำความชอบยิ่งใหญ่ก็คือ ท่านนี้หรือ”
จะไม่ให้เขาตกใจคงไม่ได้
ความชอบของมู่ชิงเกอครั้งนี้ทำให้ไม่ว่าดินแดนเทพไหนก็มีลูกศิษย์นับไม่ถ้วนอิจฉาริษยาทั้งนั้น
เนื่องจากมีความชอบนี้แล้วเท่ากับมีบุญคุณต่อดินแดนเทพ ต่อไปอยู่ในดินแดนเทพฐานะย่อมไม่ธรรมดา หากถือโอกาสขออะไรจากราชาเทวะก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ได้รับ
อย่างไรก็ตามนี่คือประโยชน์มหาศาลที่ทุกคนต่างพากันอิจฉา
เดิมทีพอข่าวนี้ออกมา คนดินแดนเทพอื่นยังเข้าใจว่าเป็นเซียนสุ่ย ไม่นึกว่าสามน้อยฮ่วนเยวี่ยได้เปลี่ยนคนแล้ว ทั้งยังเป็นคนที่ไม่มีใครรู้จักมาก่อน
“เป็นคนนี้นั้นแหละ” หลีเฉาผงกศีรษะ
ได้รับการยืนยันแล้วลูกศิษย์ต้อนรับดินแดนจงซานคนนั้นจึงได้สติ ทำความเคารพมู่ชิงเกอแล้วพูดอย่างสุภาพว่า “สามน้อยมู่ทำความชอบยิ่งใหญ่ นับได้ว่าสร้างชื่อครั้งใหญ่ในสี่ดินแดนเทพเลย”
มู่ชิงเกอยิ้มน้อยๆ พูดอย่างถ่อมตัวว่า “มิกล้า เป็นความชอบที่ทุกคนร่วมกันทำต่างหาก”
“สามน้อยมู่ถ่อมตัวมากทีเดียว” ลูกศิษย์ดินแดนจงซานกล่าว
เมื่อตรวจสอบฐานะคนทั้งสิบแล้ว ลูกศิษย์ดินแดนจงซานจึงนำพวกเขาไปยังถํ้าในเมืองที่จัดเตรียมไว้แล้ว
”ชิๆ ไปเหวหนอนคราวนี้ทำให้เจ้าสามได้อะไรมามากเลยนะ” ห้าน้อยพูดกับสี่น้อย
สี่น้อยบอกห้าน้อย “ถือว่าเป็นวาสนาของสามน้อยเขา”
ห้าน้อยพูดอย่างสะท้อนใจว่า “เฮ้อ น่าเสียดายแทนเซียนสุ่ย หากเขายังเป็นสามน้อยฮ่วนเยวี่ย แล้วไปยังเหวหนอนพร้อมกัน อาศัยความเร็วของเขา ความชอบยิ่งใหญ่นี้ต้องเป็นของเขาแน่นอน”
“เรื่องที่ผ่านมาอย่าไปพูดดีกว่า” สี่น้อยเตือนไปคำหนึ่ง
เวลานี้เขายังอยากมีความสัมพันธ์อันดีกับมู่ชิงเกอ เพราะว่าอาจารย์ปรุงยาระดับมหาเทพนั้นหาได้ยากมากจริงๆ
“เจ้าว่าราชาเทวะรู้เรื่องที่เขาเป็นอาจารย์ปรุงยาหรือไม่ อยู่ดีๆ ห้าน้อยก็ถามขึ้นมา