ตอนที่ 604
ให้ตายเถอะ เจ้าเจ้าเจ้าเจ้า
“ราชาเทวะรู้ว่าเขาปรุงยาเป็นหรือไม่นั้นข้าไม่รู้ แต่ในดินแดนฮ่วนเยวี่ยมีอะไรที่ปิดราชาเทวะได้เล่า ต่างกันเพียงแค่ราชาเทวะของพวกเราไม่ได้ใส่ใจเท่านั้น” สี่น้อยยิ้มขำ
ห้าน้อยชะงักแล้วพยักหน้าทันที “ถูกต้องราชาเทวะของพวกเรานั้นลึกลํ้านัก ความคิดของเขาคนรอบข้างยากจะเข้าใจ”
ลูกศิษย์ต้อนรับของดินแดนจงซานนำคนของดินแดนฮ่วนเยวี่ยไปยังถํ้าเดี่ยวๆ แห่งหนึ่ง
ถํ้านี้ดูจากภายนอกเหมือนเรือนธรรมดา มีกำแพงมีประตูแดงหลังคาเขียว ด้านในมีลานกลางมี เรือนหน้ามีสวนไม้ดอกและศาลาริมนํ้า
ต่างกันที่พอลึกเข้าไปก็เป็นถํ้าที่เจาะเข้าไปในเทือกเขาวิญญาณที่จะใช้บำเพ็ญได้
สิบคน คนละห้อง ดินแดนจงซานเตรียมการมาได้ดีมาก ก่อนไปเขาก็บอกคนจากดินแดนฮ่วนเยวี่ยทั้งสิบคนว่า “ลูกศิษย์ดินแดนเหวยอี้มาถึงเมื่อวานนี้แล้ว ขาดเพียงคนของดินแดนจั๋วอวี่ หลังจากพวกเขามาแล้วก็จะมีคนมาแจ้งให้ทุกท่านขึ้นไปเมืองหิมะด้วยกัน”
หลังจากเอ่ยเรียบร้อยแล้วลูกศิษย์ดินแดนจงซานก็ขอตัวกลับไป
หลีเฉาบอกซวนเฉียงว่า “เจ้าเจ็ด เจ้าเป็นผู้หญิงคนเดียว ให้เจ้าเลือกก่อน”
ขณะที่เขาพูดคำนี้นั้นสายตาของมู่ชิงเกอก็เบนไปอีกด้านหนึ่ง แต่ก็ไม่มีใครสังเกตเห็น หรือต่อให้เห็นก็นึกว่าเขากำลังชมทิวทัศน์เท่านั้น
ซวนเฉียงไม่ปฏิเสธ ผงกศีรษะแล้วเดินไปยังห้องที่นางเลือก
หลังจากนางเลือกเสร็จหลีเฉาก็มองมู่ชิงเกอว่า “เจ้าสาม ประสบการณ์เจ้าน้อยที่สุด ครั้งนี้พวกเรายกให้ไปเลือกห้องที่เจ้าชอบได้เลย ครั้งหน้าค่อยเรียงตามลำดับ”
คำพูดทีเล่นทีจริงทำให้มู่ชิงเกออึ้งไป
แน่นอนนางก็ไม่ปฏิเสธหรือทำอิดออด เพียงแต่เดินเข้าห้องไปอย่างไม่ใส่ใจเพราะไม่ได้มีอารมณ์เลือกอะไรอยู่แล้ว
หลังจากทั้งสองคนเลือกแล้ว คนอื่นก็เลือกกันต่อไป
เป็นเช่นดังที่หลีเฉาว่า พวกเขาต่างเลือกตามลำดับเพื่อลดการแก่งแย่งโดยไม่จำเป็น จวงซานอยู่อันดับสุดท้าย ย่อมเข้าห้องที่คนอื่นเลือกเหลือแล้ว
ความจริงห้องทั้งหมดตกแต่งเหมือนกันหมดไม่มีอะไรให้เลือกอยู่แล้ว
เมืองใบไม้ผลิดินแดนจงซานถึงแม้มีเทือกเขาวิญญาณให้ผู้บำเพ็ญ แต่ความเข้มข้นของพลังเทพก็ยังเทียบไม่ได้กับวังน้อยของพวกเขาที่ดินแดนฮ่วนเยวี่ย
ดังนั้นการเลือกห้องความจริงก็เพียงเลือกห้องที่ตัวเองดูเข้าตาเท่านั้น
เมื่อจัดการเรียบร้อยแล้วหลีเฉาบอกทุกคนว่า “คนของดินแดนจั๋วอวี่ยังมาไม่ถึง พวกเราอาจจะต้องอยู่ที่เมืองใบไม้ผลิอีกหลายวัน หลายวันนี้พวกเจ้าเคลื่อนไหวได้อิสระ แต่จำให้แม่นว่าพวกเราคนฮ่วนเยวี่ยไม่ก่อเรื่อง แต่ก็ไม่กลัวมีเรื่อง จุดประสงค์ที่มาครั้งนี้เพื่องานสี่ดินแดนเทพถกวิถี ทุกอย่างต้องถือเรื่องนี้เป็นสำคัญ”
ทั้งหมดต่างผงกศีรษะ
แปดน้อยพูดอย่างไม่พอใจ “เจ้าดินแดนจั๋วอวี่พวกนี้มาช้าสุดทุกครั้งเลย”
เก้าน้อยมองเขาแล้วยิ้มว่า “ครั้งนี้พวกเขาอาจไม่ตั้งใจ ดินแดนจั๋วอวี่ไกลจากดินแดนจงซานมากที่สุด คงเป็นเพราะล่าช้าระหว่างเดินทาง”
“ไกลสุดก็ควรรีบออกเดินทางก่อนสิ การที่พวกเขาแกล้งมาช้าสุดทุกครั้ง ไม่ใช่เพราะอยากวางท่าหรือ” แปดน้อยยังคงไม่พอใจ
“เอาเถอะเรื่องดินแดนอื่นพวกเราอย่าไปวิจารณ์มาก ที่นี่เป็นดินแดนจงซานไม่ใช่ดินแดนฮ่วนเยวี่ยของพวกเรา” หลีเฉาเตือน
คำเตือนนี้ยุติการวิจารณ์ของแปดน้อยกับเก้าน้อยลง
ตลอดทางจากดินแดนฮ่วนเยวี่ย ถึงแม้นั่งเรืออากาศแต่ก็ยังมีอาการเพลียอยู่บ้าง
ทั้งสิบคนต่างกลับเข้าห้องตัวเองเพื่อพักผ่อน
มู่ชิงเกอบำเพ็ญในห้องสักพักก็รู้สึกแจ่มใสขึ้นมาไม่น้อย คิดจะออกไปเดินเล่นข้างนอก แต่ก่อนออกจากห้อง จู่ๆ นางก็ถามขึ้นว่า ‘ราชครู ถิ่นเดิมตระกูลมู่อยู่ที่ไหนหรือ’
ไม่นานนัก เสียงของราชครูก็ดังขึ้นในสมองของมู่ชิงเกอ ‘ถิ่นเดิมตระกูลมู่อยู่ที่แผ่นดินเทพตะวันตก’
แผ่นดินเทพตะวันตกหรือ
มู่ชิงเกอเม้มริมฝีปาก นางถามอีก ‘ตั้งแต่ข้าเข้ามาแผ่นดินเทพตะวันออก เห็นผู้คนต่างนับถือดินแดนเทพเป็นสิ่งสูงสุด หรือว่าตระกูลมู่ครั้งนั้นก็เป็นเจ้าของดินแดนเทพหรือ’
‘แผ่นดินเทพถือดินแดนเทพเป็นสูงสุดจริง แผ่นดินเทพปัจจุบันเป็นอย่างไรข้าไม่รู้ แต่ครั้งนั้นดินแดนเทพที่ตระกูลมู่ควบคุมเป็นดินแดนเทพที่แข็งแกร่งที่สุดของแผ่นดินเทพทั้งสี่สมุทร ทหารเผ่ามารที่มีพลังสูงนั้นมีเพียงลูกศิษย์ของตระกูลมู่เท่านั้นที่สามารถต่อสู้กับ ทหารเผ่ามารได้’ เสียงของราชครูมีน้ำเสียงคิดคำนึงถึงอดีต
เขานิ่งเงียบไปสักครู่จึงบอกมู่ชิงเกอว่า ‘ถิ่นเดิมตระกูลมู่ รกร้างมานานแล้ว สิ่งที่ข้าพูดเหล่านี้นายน้อยคงยากจะเข้าใจ อาจจะต้องรอสักวันหนึ่งที่นายน้อยไปถึงดินแดนเทพรกร้างด้วยตัวเอง ท่านก็จะรับรู้ถึงความยิ่งใหญ่ของบรรพบุรุษตระกูลมู่เอง’
‘ข้ารู้แล้ว’ มู่ชิงเกอพูดคำนี้แล้วก็จบการพูดคุยกับราชครู แล้วผลักประตูออกไป
เงื่อนปมที่มีอยู่ในใจนาง นางไม่รู้ว่าครั้งนั้นตระกูลมู่มีข้อขัดแย้งมากแค่ไหนกับเผ่ามาร รบกันไปกี่ครั้ง คนตระกูลมู่ตายไปแล้วเท่าไรในมือของเผ่ามาร แล้วมีคนของเผ่ามารตายไปเท่าไรในมือของตระกลมู่
เวลานี้ ความต้องการของพวกราชครูที่มีต่อนางคือเพียงแค่แย่งชิงตำแหน่งนายน้อยตระกูลมู่มาให้ได้ นำกลุ่มคนภักดีที่เหลือของตระกูลมู่กลับคืนสู่ถิ่นเดิม ฟื้นฟูความยิ่งใหญ่ของตระกูลมู่ขึ้นมาอีกครั้ง ล้างแค้นให้บรรพบุรุษตระกูลมู่
หากวันใดวันหนึ่งพวกเขาหรือเผ่าเทพต้องการให้นางเป็นศัตรูกับแดนมารเล่า
มู่ชิงเกอส่ายหน้าอย่างแรงด้วยสายตามั่นคง ‘ใครก็ไม่อาจสั่งข้าได้ข้าจะไม่ยอมเป็นศัตรูกับอามั่วแน่ หากใครบังคับข้า ข้าจะสังหารมันผู้นั้นก่อน’
สลัดเรื่องว้าวุ่นออกไปแล้วมู่ชิงเกอก็ปรับอารมณ์ใหม่ แล้วเดินออกไปข้างนอก
เมื่อนางเดินออกไปนอกห้องก็เห็นประตูทุกห้องต่างปิดสนิท ดูท่าทางทุกคนคงกำลังบำเพ็ญ มู่ชิงเกอไม่คิดรบกวนจึงเดินออกจากประตูใหญ่ไปคนเดียว คิดจะเที่ยวดูเมืองใบไม้ผลิดินแดนจงซานเสียหน่อย
แต่ขณะที่นางเพิ่งเดินมาถึงถนนนอกประตูและมองเห็นคนคนหนึ่งก็ชะงักไป
คนคนนั้นแวบผ่านางไปเพียงชั่วแวบเดียว แต่นางก็เห็นใบหน้าของเขาได้ชัดเจนรวมทั้งสีหน้าด้วย
‘เป็นไปได้อย่างไรทำไมเขาจึงปรากฎตัวอยู่ที่นี่ได้’
ใจคอมู่ชิงเกอหวาดหวั่นอย่างยิ่ง นางคิดแล้วจึงเดินไล่ตามไปยังทางที่คนคนนั้นมุ่งไป
แต่นางเดินไปได้เพียงไม่กี่ก้าวก็ได้ยินเสียงของจวงซานดังมาจากข้างหลัง
“เจ้าสามจะไปไหนหรือ”
มู่ชิงเกอจำต้องหยุดแล้วหันไปมองจวงซาน บอกเขาว่า “ศิษย์พี่จวงซาน ข้าเพิ่งบำเพ็ญเสร็จจะออกไปเดินเล่นข้างนอกน่ะ”
จวงซานพยักหน้าเดินมากล่าวกับนางว่า “ข้าก็คิดเหมือนกัน ไปด้วยกันดีไหม”
เมื่อเขาชวนมู่ชิงเกอย่อมปฏิเสธไม่ได้
เพียงแต่นางยังคงมองตามทิศทางของคนที่เพิ่งจากไป อย่างใช้ความคิด แววตาออกอาการไม่แน่ใจนัก ‘จะเป็นเขาหรือ ไม่หรอก เขาไม่มีทางมาปรากฎตัวอยู่ที่นี่ได้ ต้องเป็นคนที่คล้ายกันแน่หรือว่าข้ามองผิดไป’
“เจ้าสาม เจ้าคิดอะไรอยู่หรือ” จวงซานเห็นอาการใจลอยของมู่ชิงเกอจึงถามขึ้น
มู่ชิงเกอหยุดคิดเก็บความสงสัยเอาไว้ในใจแล้วสั่นศีรษะให้จวงซาน “ไม่มี เมื่อครู่คล้ายพบคนรู้จักแต่ก็ไม่แน่ใจ”
จวงซานพยักหน้า บอกนางว่า “เจ้าเพิ่งบินขึ้นมาไม่นาน เวลาส่วนใหญ่ก็อยู่ในฮ่วนเยวี่ย ไม่น่าจะมีคนรู้จักได้ แต่ก็ไม่แน่ว่าคนที่เจ้ารู้จักก็อาจจะบินขึ้นมาด้วยและเข้าร่วมอยู่ในดินแดนจงซานก็ได้”
การวิเคราะห์ของเขามีเหตุผลมาก แต่ก็เป็นเพียงการคาดเดาไปตามปกติ
มู่ชิงเกอยิ้มส่ายหน้าไม่ได้อธิบายอะไรมากมาย
คนรู้จักนั้นไม่ใช่ลูกศิษย์ดินแดนจงซานแน่นอนอยู่แล้ว
“พวกเราไปเถอะ อาจแค่ดูผิดเท่านั้น” คนไปไกลแล้ว คิดต่อไปก็ไม่มีประโยชน์มู่ชิงเกอจึงปล่อยเลยตามเลย
อีกทั้งหากเป็นคนผู้นั้นจริง เมื่อนางไม่ไปหาเขา เขาก็ต้องมาหานางเอง
ไม่ต้องรีบ
ไม่ต้องรีบ
“ดี” จวงซานพยักหน้าแล้วเดินไปพร้อมมู่ชิงเกอ มุ่งหน้าไปยังตลาดในเมืองใบไม้ผลิ
ทั้งคู่เพียงแค่มาเดินเล่นไม่ได้มีเป้าหมายอะไร ดังนั้นจึงเดินดูของอย่างสบายใจไปตามทาง ชื่นชมวัฒนธรรมพื้นบ้านของดินแดนจงซาน
ที่อาศัยอยู่ในเมืองล้วนเป็นมนุษย์เทพที่สามารถบำเพ็ญได้
เพียงแต่บางคนไม่มีพรสวรรค์ทำให้การบำเพ็ญยากที่จะก้าวหน้าจึงใช้ชีวิตเหมือนมนุษย์ธรรมดา การบำเพ็ญจึงเป็นเพียงแค่ธรรมเนียมประจำวันเท่านั้นไม่ได้มีความใฝ่ฝันต้องการที่จะแข็งแกร่งขึ้น
ที่พักในดินแดนจงซานห่างจากตลาดที่ครึกครื้นที่สุดอยู่ช่วงหนึ่ง
เวลานี้ว่างๆ ทั้งคู่จึงค่อยๆ เดินอย่างสบายอารมณ์
“ดินแดนจงซานนี้ข้าก็เพิ่งมาครั้งที่สองเอง” จวงซาน บอกมู่ชิงเกอ
มู่ชิงเกอมองเขาและตั้งใจฟัง
“ครั้งก่อนมาดินแดนจวงซานเพื่อจัดการเรื่องหนึ่งไม่ได้มีเวลาเดินเล่น ดังนั้นข้าจึงไม่คุ้นเคยกับเมืองใบไม้ผลิเลย” จวงซานยิ้มพูด
“ศิษย์พี่จวงซานมักอยู่แต่ในดินแดนฮ่วนเยวี่ยหรือ แผ่นดินเทพตะวันออกกว้างใหญ่ถึงเพียงนี้ แผ่นดินเทพทั้งสี่สมุทรยิ่งกว้างใหญ่ไพศาล ทำไมศิษย์พี่จึงไม่ออกไปบ่อยๆ เล่า” มู่ชิงเกอถาม
จวงซานยิ้มพูดว่า “ที่ข้าบำเพ็ญไม่ใช่เพื่อไขว่คว้าพลังอันไรขีดจำกัด ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นประสบการณ์หรือว่าโอกาสต่างๆ ล้วนดึงดูดใจข้าได้ไม่มากนัก อีกทั้งข้าชื่นชอบชีวิตที่สุขสงบของดินแดนฮ่วนเยวี่ย”
“การบำเพ็ญไม่ใช่เพื่อต้องการให้ตัวเองแข็งแกร่ง ข้าเพิ่งได้ยินเหตุผลนี้เป็นครั้งแรก” มู่ชิงเกอชะงัก ยิ้มแล้วพูด
จวงซานยิ้มแล้วยื่นแขนมาที่เบื้องหน้ามู่ชิงเกออย่างกะทันหัน เขาพูดว่า “เจ้าเป็นอาจารย์ปรุงยาย่อมจะต้องจับชีพจรเป็นใช่ไหม”
มู่ชิงเกอพยักหน้าเข้าใจความหมายจวงซาน นางยื่นมือใช้สองนิ้วแตะชีพจรจวงซาน แค่จับนิดเดียวก็เบิกตาทั้งสองข้างออกกว้างแล้วคลายมือออก
“ศิษย์พี่ ชีพจรท่าน…”
“แตกซ่านไปหมดแล้วใช่ไหม” จวงซานเก็บมือด้วยความสงบแล้วจัดแขนเสื้อ
มู่ชิงเกอเม้มปากพยักหน้า ชีพจรจวงซานมีปัญหาแน่นอนไม่เหมือนคนปกติ หากคนปกติมีชีพจรเช่นนี้ ร่างคงระเบิดสิ้นไปนานแล้ว แต่จวงซานยังมีชีวิตอยู่ได้จนถึงบัดนี้
“ข้าบำเพ็ญเพียงเพื่อให้มีชีวิต” จวงซานพูดเรียบๆ “ข้าเกิดมาถึงแม้มีสิทธิ์แห่งเทพที่มีพรสวรรค์ไม่เลว แต่ชีพจรข้ากลับแตกซ่าน หากรักษาไม่ได้ข้าจะอยู่ได้ไม่เกินร้อยปี ร้อยปีอย่าว่าแต่มนุษย์เทพเลย แม้แต่มนุษย์ธรรมดาในแผ่นดินเทพก็ยังสามารถผ่านอายุขัยนี้ไปได้ง่ายๆ ข้า ไม่อยากตายจึงได้แต่ต้องช่วยเหลือตัวเอง”
“ช่วยเหลือตัวเอง” มู่ชิงเกอพึมพำ นางคิดไม่ถึงเลยว่า ศิษย์พี่จวงซานที่ให้ความรู้สึกที่อบอุ่นแก่นางมาตลอดเวลาจะมีโรคแอบแฝงเช่นนี้
จวงซานพยักหน้า “ใช่แล้ว ช่วยเหลือตัวเอง”